Art Eye View

ไม่อยากมีแล้วบ้านในป่าดอกไม้ : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ในเวลาที่เรามีความทุกขฺ์ ไม่ว่าจะทุกข์ทางร่างกายเพราะเจ็บป่วย ไม่ว่าจะทุกข์ทางใจเพราะการสูญเสียสิ่งที่รัก ทั้งญาติ ทั้งคนที่เป็นเพื่อนและกัลยาณมิตรใครต่อใครทั้งหลาย ก็จะกล่าวคำต่างๆ อันให้กำลังใจกับเรา

หรือถ้าเป็นคนที่พบเจอกันก็จะเกื้อกูลดูแลต่อเราด้วยการปฏิบัติกับเราอย่างปราณี มากกว่าในเวลาปกติ นั่นคือการใส่ใจเราและการแสดงความมีน้ำใจยามทุกข์ อันมีความปราถนาดีอยากให้เราพ้นจากทุกข์

ในขณะเดียวกันเมื่อมีเพื่อนคนอื่นๆ มีความทุกข์เราก็จะแสดงอย่างนี้กลับไปด้วย เป็นการเกื้อกูลกันของมนุษย์

แต่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ทำดีกับเราอย่างไรมันก็ช่วยได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้ทั้งหมด วันและเวลาที่จะทำให้ทุกๆ อย่างคลี่คลายไปหากเป็นในเรื่องของความทุกข์ทางใจ ส่วนการปฏิบัติตัวดูแลตัวเองนั่นก็จะทำให้สุขภาพค่อยๆ ดีขึ้น หากเป็นในกรณีของสุขภาพ

เราจะสังเกตุได้ว่า ไม่ว่าทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ แม้จะมีคนที่รักและห่วงใยเราเท่าใดก็ไม่สามารถจะรับทุกข์เหล่านั้นหรือแบ่งปันมันไปจากเราได้ อาจจะมีความเศร้าหมองหดหู่ที่ครอบงำความรู้สึกของคนเหล่านั้นอยู่บ้าง แต่ทุกข์จริงๆ นั้น เราเป็นผู้รับไว้คนเดียว


เรื่องทุกเรื่องล้วนมีเหตุมีปัจจัยที่ก่อให้เกิด

ฉันอยากจะบอกว่า ต่อให้มีใครรักเรามากเท่าใดก็รับทุกข์แทนกันไม่ได้ เราเองต้องรับเองทั้งสิ้น คิดๆ ไปมันก็เหมือนวิบากกรรม ใช่..มันคงเป็นวิบากกรรมที่มาให้เรารับรู้และชดใช้บางสิ่งที่เราเคยกระทำไปตั้งแต่เมื่อใดนั้นเราอาจทั้งจำได้และจำไม่ได้

ในเวลานี้ฉันกำลังรับความทุกข์จากความพลัดพราก ฉันเรียนรู้ถึงความทรมานจากมัน

และฉันได้ตระหนักลึกๆ ในหัวใจของตัวเองว่า จะไม่มีวันพรากของรักของใครอย่างเป็นอันขาด เพราะความทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความทุกข์ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

จากที่ฉันเคยฝันไว้ว่า อยากจะมีบ้านอยู่ในป่าดอกไม้ที่ร่มและหอม ตอนนี้ฉันไม่มั่นใจในความฝันที่เคยมีมาดังเดิมเสียแล้ว

และนี่เป็นปลายฤดูฝน ฝนตกตอนกลางคืนเทกระหน่ำลงมาอย่างหนักเสียงฟ้าร้องคำรามและผ่าดังกึกก้องราวกับเทวดากำลังเตะถีบอะไรบางอย่างบนวิมานข้างบนด้วยความโมโหโกรธาอย่างสุดขีด ฉันนั่งทำงานไปและไม่วายหลับตาปี๋ไปด้วยเมื่อได้ยินเสียงฟ้าที่ผ่าลงมาอย่างติดๆ กัน

จิตใจของฉันคำนึงถึงสรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่อยู่ข้างนอกบ้าน ความเฉอะแฉะเปียกปอนจากฝนคงทำให้สิ่งที่น่ากลัวน่าขยะแขยงอยู่แล้วทวีความน่ากลัวขึ้น

คิดถึงงูใหญ่ที่กบดานอยูในบึงน้ำหรือป่าชื้นแฉะคงจะเพลินกับการหาอาหารคือสัตว์เล็กสัตว์น้อย ที่อยู่กลางความเฉอะแฉะของพื้นดินเศษใบไม้เปื่อยเน่าที่นองไปด้วยน้ำฝน ตั้งแต่ลูกแอ๊ะแมวน้อยของฉันหายไปอย่างลึกลับ ทำให้ฉันเกลียดป่าและเกลียดกลัวสัตว์ร้ายเหล่านี้

ความฝันที่ฉันเคยอยากอยู่ในบ้านป่าดอกไม้ที่ร่มและหอมนั้นจึงเริ่มแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นเพียงสวนดอกไม้ที่สะอาดและโล่งเตียนก็เป็นพอ


โดยปกติฉันไม่ค่อยลงมือทำงานตอนกลางคืนนัก แต่หลังจากที่ฉันผลัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองมาครั้งแล้วครั้งเล่า

จนกระทั่งความรู้สึกอันย่ำแย่ที่ทำงานไม่ได้ ของตัวเองถูกบีบคั้นจนมาถึงปลายทางของความรู้สึก ฉันทนให้ตัวเองอยู่ในสภาวะนี้ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว

ฉันเดินไปที่ตู้ของรัก มองงานแต่ละชิ้นที่วางอยู่ในนั้น เพื่อสร้างเชื้อไฟให้กับตัวเอง

ในที่ว่างบางที่ อันประกอบไปด้วยหนังสือที่วางไว้ ฉันเห็นภาพว่าควรจะปั้นอะไรมาใส่ไว้เคียงคู่กัน

ในที่ว่างของหัวใจอันเศร้าลึกๆ ของฉัน ฉันมีรูปลักษณ์อันใดที่ปรากฏอยู่ในใจนั้น ฉันจะดึงมันออกมาจากใจ ให้ปรากฏเป็นรูป ให้มาอยู่ในตู้เหล่านี้ และมันจะสวยงาม มันจะเป็นของขวัญแก่ผู้ที่ได้มาเยี่ยมเยือนและพบเห็น

ฉันปั้นนางกวักเล็กๆ ขึ้นมาได้หนึ่งตัว ฉันมองว่ามันไม่ได้สวยงามนัก มันอาจเป็นแค่งานที่มาเชื่อมรอยต่อระหว่างอารมณ์ความรู้สึกของฉันที่ดิ้นรนต่อสู้กับความเศร้าและไม่เป็นอันทำการงาน จนเกิดการงานขึ้นมาจนได้ คือนางกวักเล็กๆ ตัวนี้ คุณค่าของมันจึงมีกับฉันมาก ค่าที่เมื่อปั้นมันขึ้นมาแล้ว ฉันรู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น

เป็นเชื้อไฟที่เริ่มจุดติดในใจของฉัน ที่จมกับความเศร้ามาหลายต่อหลายต่อหลายวันเมือฉันเอานางกวักเข้าเก็บไว้ในตู้ ฉันก็รีบรุดขึ้นงานชิ้นใหม่อย่างไม่รอรี

ฉันได้นางฟ้าสาวน้อยนางหนึ่ง ที่ปีกทั้งสองของเธอนั้นเขียนว่า “รักและห่วง” ฉันปั้นมันจนจบลงในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อนำเข้าเก็บไว้ในตู้ ฉันพบว่ามันได้สร้างความสุขให้แก่ฉัน

ท่ามกลางฤดูฝนอันมืดครึ้มและเฉอะแฉะ ท่ามกลางดอกไม้ร่วงและใบไม้ร่วงที่เปื่อยเน่าทับถมลงบนพื้นดิน แต่หัวใจของฉันกลับมีประกายเรืองรองแผ่ซ่านไปทั้งหัวใจ

ในทุกทีที่เกิดการงานอันสร้างสรรค์ อาการเหล่านี้เป็นสิ่งตอบแทนอันล้ำค่าแก่จิตใจอย่างที่สุด ฉันพยายามเปรียบเทียบระหว่างใจและกาย

ฉันพบว่าทั้งใจและกายไม่ต่างกัน มันสอดประสานเคียงคู่กันอยู่ กายไม่สบายเราก็ต้องสู้ต้องหาหมอดูแลตัวเอง

ใจไม่สบายก็ต้องค้นหาสาเหตุและพยามแก้ไขยอมรับความเป็นจริง แล้วรีบทำสิ่งต่างๆ ที่จะฉุดให้จิตใจตื่นฟื้นจากวามทุกข์ตรมให้ได้

ฉันพบกับตัวเองว่าหากใจเราทุกข์มันจะดึงร่างกายให้ป่วยตามไปด้วย
และแน่นอนที่สุดหนทางแก้ทุกข์ให้กับตัวเองของฉันนั้นคือการงาน

ถ่ายภาพโดย :  ชาญชัย แซ่ฉั่ว


รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It