Travel

Autumn in Japan บินหรู แบ็กแพ็กเที่ยวโตเกียว

Pinterest LinkedIn Tumblr


>>สำรวจสเตตัสคนรอบข้างตอนนี้แทบไม่มีใครไม่เคยเช็กอินสถานที่ต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นเลย เพราะฉะนั้น เพื่อไม่ให้น้อยหน้าจึงขอแพ็กกระเป๋าเหินเวหาไปเยือนญี่ปุ่นในช่วงฤดูใบไม้ร่วงบ้าง เพื่อตอบสนองสิ่งที่ใจปรารถนา

ต้องยอมรับว่าปัจจัยหลักที่ทำให้หลายคนเลือกเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นปีนี้มากเป็นประวัติการณ์ นั่นเป็นเพราะว่าผลจากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นยกเลิกค่าวีซ่าเข้าประเทศ หลังจากโดนพิษเศรษฐกิจโลก และเหตุการณ์แผ่นดินไหวจนเกิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิด ส่งผลให้ปัจจัยถัดมาคือ ราคาตั๋วเครื่องบินของสายการบินต่างๆ ห้ำหั่นราคาตัดกันจนยั่วเงินในกระเป๋าให้หลายคนเลือกเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นไม่น้อย และประการสุดท้ายคือ สิ่งดีงามและคุณค่าต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งเรื่องวัฒนธรรม เทคโนโลยีที่ทันสมัย แฟชั่น อาหารการกิน แหล่งท่องเที่ยว และภูมิประเทศ ที่ตอกย้ำการตัดสินใจให้หลายคนเลือกไปเยือนประเทศญี่ปุ่นมากกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย

ดังนั้นจึงทำให้การเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นจึงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเหมือนในอดีต ที่จะไปเยือนประเทศญี่ปุ่นทีจะต้องคำนวณค่าใช้จ่ายจิปาถะมากมาย เนื่องจากญี่ปุ่นขึ้นชื่อในเรื่องของค่าครองชีพที่แพงระยับ โดยเฉพาะค่าพาหนะในการเดินทางไปไหนแต่ละแห่ง เรียกว่าบางครั้งแพงกว่าค่าอาหารและที่พักด้วยซ้ำไป นี่ยังไม่รวมถึงค่าตั๋วเครื่องที่แพงเวอร์

สำหรับผมแล้วเคยไปเยือนญี่ปุ่นเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว เพราะเป็นประเทศที่อย่างที่บอกว่าทุกอย่างดีหมดยกเว้นเรื่องค่าครองชีพ จึงหันไปเยือนประเทศอื่นแทน แต่การมาเยือนครั้งนี้นับว่าเป็นความลงตัวกันหลายๆ อย่างของสามเพื่อนซี้ต่างวัย เริ่มจากพี่ใหญ่สุดของทริป “พี่โจ๊ก-บุญโชค พานิชศิลป์” รองบรรณาธิการนิตยสารอิมเมจ เกี่ยวแขนไปกับพี่ดอนเพื่อนซี้ และบรรณาธิการบริหารนิตยสารเฉพาะกลุ่มอย่างแอตติจูต “พี่ต๊ะ-ธวัชชัย ดีพัฒนา” รวมทั้งหมด 4 ชีวิต

สิ่งที่เพื่อนซี้ต่างวัยมีจุดมุ่งหมายและความต้องการเหมือนกัน นั่นคือ เที่ยวแบบประหยัด กินง่ายอยู่ง่าย และแสวงหาประสบการณ์ต่างแดนใหม่ๆ อย่างที่ยังไม่ได้มีใครมากำหนด รวมถึงการเรียนรู้วัฒนธรรมท้องถิ่นอันดีงามของชาวอาทิตย์อุทัยนั่นเอง

แต่การเดินทางเหินเวหาจากประเทศไทยไปยังญี่ปุ่นดูเหมือนจะตรงกันข้าม เพราะพวกเราเลือกเดินทางด้วยสายการบินแอร์ เอเชีย เอ็กซ์ แบบชั้นธุรกิจ (Business Class) ที่ฟังดูเผินๆ เมื่อพูดถึงชั้นธุรกิจหลายคนจะเข้าใจว่าแพงเกินไป เอาเงินจากตั๋วเครื่องบินแพงๆ ไปจ่ายค่ากินค่าอยู่จะดีกว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วชั้นธุรกิจของสายการบินแอร์ เอเชีย เอ็กซ์ กลับไม่แพงอย่างที่คิด แถมมีเวลาเอนนอนหลับชาร์จร่างกาย เพื่อเตรียมเปิดประตูสู่การผจญภัยกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในญี่ปุ่นจะดีกว่า
Bus Station
ฟังครั้งแรกอาจจะดูขัดแย้งกันหน่อยสำหรับการเดินทางทริปนี้ เพราะเล่นบินหรู แต่แบ็กแพ็กเที่ยว แต่มันได้ผลจริงๆ เพราะเมื่อเดินทางไปถึงสนามบินนาริตะ ในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเช้า ทั้ง 4 คนรู้สึกสดชื่นมีพลัง เมื่อผ่านช่องตรวจคนเข้าเมืองและรับกระเป๋าแล้ว ก็ออกมาช่องผู้โดยสารขาเข้า จากนั้นก็หาเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถแอร์พอร์ตบัสเพื่อเข้าเมืองโตเกียว ซึ่งราคาก็ใช้ได้เลยทีเดียว อยู่ที่ประมาณ 900 บาท

พลขับรถแอร์พอร์ตบัสหน้าตาเป็นมิตรพาเรา 4 ชีวิตพร้อมด้วยเพื่อนนักท่องเที่ยวแปลกหน้าทั้งเอเชียและตะวันตกแวะรับผู้โดยสารอีกประมาณ 3 เทอร์มินัล ก่อนมุ่งหน้าไปยังโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่น โดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง แสงอาทิตย์ยามเช้าช่วยปลุกให้ทุกคนตื่นและเบิกอรุณยามเช้าเพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่ไม่ต่างจากเมืองหลวงประเทศอื่นๆ มากนัก นั่นคือ สภาพการจราจรยามเช้าเมื่อรถแอร์พอร์ตบัสเคลื่อนเข้าสู่ตัวเมืองชั้นใน พร้อมกับบังม่านตาด้วยตึกสูงต่ำลดหลั่นสลับกันไป เพื่อประกาศให้รู้ว่านี่คือ เมืองหลวงที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก
โรงแรม Ace Inn Shinjuku
เคลิบเคลิ้มและเพลิดเพลินอยู่พักใหญ่ รถแอร์พอร์ตบัสก็พามาถึงจุดจอดรถหลักในกรุงโตเกียว ที่นี่คือย่านใจกลางเมืองชิจูกุ แต่ยังไม่ใช่เขตที่พักของพวกเรา ดังนั้น จึงต้องกางแผนที่เดินต่อไปและใช้วิธีการถามไถ่คนแถวนั้น ว่ารู้จักเขตนี้ไหม โรงแรมนี้อยู่ไกลหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้มาคือ ไม่มีคำตอบ! เพราะปัญหาอย่างหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวคือชาวญี่ปุ่นมักพูดภาษาอังกฤษแล้วเราฟังไม่รู้เรื่อง (แต่พวกเขาอ่านและเขียนอย่างเข้าใจ) พลอยให้เราเริ่มไม่มั่นใจไปด้วย สุดท้ายโชคก็นำพา คลำจนมาถึงทางลงรถไฟใต้ดินจนได้ แต่ที่ทำให้ทุกคนตื่นในภวังค์อีกก็คือ แล้วเราจะนั่งรถไฟเส้นทางไหน เพราะมีมากมายจนตาลาย แถมผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ทั้งไปทั้งมาผ่านตามช่องทางต่างๆ จนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง บางครั้งป้ายบอกทางก็มีเพียงภาษาญี่ปุ่น แต่สิ่งที่น่ารักอีกอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่น คือ สื่อสารไม่เข้าใจแต่จะนำพาเราไปถึงที่หมายที่เราต้องการเลยทีเดียว

หลังจากทำเอาเหงื่อตกแต่เช้าและสนุกกับการหาทางขึ้นทางลงรถไฟอยู่นานก็มาถึงที่พักจนได้ โรงแรม Ace Inn Shinjuku ย่านกาตามาชิ ซึ่งเป็นโฮสเทล (Hostel) ราคาไม่แพง ประมาณ 800 บาทต่อคนต่อคืน ห้องนอนเป็นแบบแคปซูลในห้องใหญ่เดียวกัน แต่สะอาดและปลอดภัย ห้องอาบน้ำรวมแบบหยอดเหรียญ แต่มีห้องผ่อนคลายรวมและมีฟรีไวไฟให้ใช้ไม่อั้นชนิดแบตเตอรี่หมดก็ไม่มีใครว่า ที่นี่เป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวแบบแบ็กแพกเกอร์รุ่นใหม่หลายเชื้อชาติ ทั้งเอเชีย ฝรั่งผิวดำผิวขาว เพราะส่วนใหญ่ทุกคนใช้โรงแรมเป็นแค่ที่นอน ที่เหลือก็ออกไปใช้ชีวิตสัมผัสกับไลฟ์สไตล์ต่างๆ ภายนอก

สองวันแรกที่ใช้ชีวิตอยู่ในโตเกียวอากาศไม่เป็นใจเท่าไหร่ เพราะมีพายุเข้าทำให้มีฝนตกแบบ Non-Stop สองวันสองวันคืนชนิดที่ว่าจะไม่มีเวลาให้ออกไปไหนเลยทีเดียว เมื่อมีจังหวะจึงพกร่มบางใสอันเป็นเอกลักษณ์ของญี่ปุ่นจากโรงแรมออกไปท้าสายฝน โดยเดินลัดเลาะออกไปหาอาหารญี่ปุ่นกิน จนไปถูกใจร้านน่ารักๆ ร้านหนึ่งบนถนนซูมิโยชิโจว ซึ่งเป็นอาหารญี่ปุ่นพื้นเมืองรสชาติดี ถ้าเปรียบเทียบสไตล์ร้านอาหารพื้นเมืองบ้านเรา แต่รสชาติไม่เปรี้ยวแซบเท่านั้นเอง พร้อมด้วยเครื่องดื่มสาเก เบียร์ วิสกี้ และเครื่องดื่มอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งหลังจากเรามาถึงได้ไม่นานลูกค้าก็แน่นร้านมีทั้งคนทำงานและวัยรุ่น บนถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารมากมาย เลือกเอาเลยว่าจะกินแบบไหน

ในช่วงกลางวันเราใช้เวลาเดินฝ่าสายฝนไปเมืองย่านชินจูกุ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 2 กิโลเมตร เดินกันชิลๆ เพราะสองข้างทางมีอะไรใหม่ๆ ให้ดูเพลินตา จนมาโผล่อีกทีก็คือชินจูกุซอย 2 ซึ่งซอยนี้เป็นที่รู้กันว่าเป็นย่านเกย์เปิดเผยของชาวอาทิตย์อุทัย งานนี้จึงเข้าทางพี่ต๊ะ บรรณาธิการนิตยสารแอตติจูตที่ถือโอกาสเดินสำรวจร้านรวงว่ามีอะไรบ้าง ปรากฎว่าที่นี่เป็นย่านถนนคล้ายกับสีลมบ้านเรา มีทั้งร้านอาหาร ผับ บาร์ เซานา และที่เป็นแม็กเน็ตอย่างดีเลยก็คือ ร้านเซ็กซ์ชอป ภายในมีทั้งหนังแผ่น ของเล่น และอุปกรณ์เสริมในการเพิ่มความสนุกและตื่นเต้นในการมีเซ็กซ์มากมายล้นร้าน ทำเอาหมดเวลาไปกับย่านนี้นานที่สุด แต่ไม่ได้ซื้อนะครับแค่มาสำรวจเท่านั้นเอง

โชคดีในช่วงที่ฝนสงบลง ในย่านชินจูกุมีการปิดถนนเพื่อเปิดพื้นที่ในการจัดกิจกรรมสำหรับเด็กๆ ให้มาปลดปล่อยความเป็นเด็ก ทั้งกิจกรรมเพนต์สี เป่าลูกโป่ง จำหน่ายเสื้อผ้าและของเด็กเล่น พร้อมด้วยการละเล่นต่างๆ เพื่อให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในการปลูกฝังให้เด็กๆ มีสติปัญญาที่ดีขึ้น

ตกค่ำผมมีนัดกับ “ทาโร่” ซึ่งเป็นเพื่อนรุ่นน้องชาวญี่ปุ่นที่เคยเจอกันครั้งหนึ่งที่เมืองไทย โดยทาโร่ลงทุนนั่งรถบัสจากที่พักแถวมหาวิทยาลัยของเขาในชิบะที่ห่างจากกรุงโตเกียวประมาณ 40 กิโลเมตร แล้วต่อด้วยรถไฟใต้ดิน ก่อนที่จะมาเจอผม จากนั้นให้ทาโร่นำพาไปกินข้าวมื้อค่ำกัน โดยให้โจทย์เขาไปเลยว่าอยากกินอาหารปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่น

ระหว่างนั่งดื่มและปิ้งย่างอย่างสนุกสนานนั้น ผมก็เพิ่งทราบว่าตอนนี้ทาโร่กำลังเรียนปริญญาโทด้านวิศวะเครื่องกลอยู่ ผมก็ตกใจว่าตอนนี้ทาโร่เรียนปริญญาโทแล้วหรือ เพราะเพิ่งเจอเขาไม่นานมานี้ยังเรียนปริญญาตรีอยู่เลย จึงหวนนึกไปว่าผมเคยเจอเขาเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งตอนนี้เขาเรียนอยู่ปี 4 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยในเมืองชิบะ แต่จริงๆ แล้วบ้านเกิดของทาโร่อยู่ที่ฟุกุชิมะ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น การมาเจอคราวนี้จึงเหมือนเป็นการอัปเดตชีวิตกันแบบใกล้ชิด หลังจากที่คุยกันผ่านเฟซบุ๊กอย่างเดียว และให้กำลังใจทาโร่เพื่อให้เขาทำวิทยานิพนธ์เสร็จเร็วๆ เรียนจบปริญญาโทจะได้ออกไปหางานทำตามที่ตัวเองวาดฝันไว้

การได้พบกับทาโร่ครั้งนี้เป็นสิ่งตอกย้ำให้รู้ว่า มีชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเป็นคนที่มีจิตใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มองโลกในแง่ดี และมีความจริงจังเสมอ ถึงแม้ว่าเราจะมีเวลาเพียงแค่ช่วงระยะสั้นที่ได้รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ ก่อนจากลาผมพร้อมด้วยเพื่อนซี้ต่างวัยต่างสัญญากันว่าถ้าทาโร่มีโอกาสไปเยือนประเทศไทยเมื่อไหร่ พวกเราจะดูแลและพาเขาไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในประเทศไทย หรือถ้าพวกเรามีโอกาสมาเยือนญี่ปุ่นอีกครั้งจะหาโอกาสไปเยือนบ้านของเขาที่ฟุกุชิมา และเมืองอื่นๆ ใกล้เคียงกันอีกด้วย

รุ่งสายวันต่อมาหลังจากนอนฟังเสียงฝนพรำในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่โตเกียวมาทั้งคืน วันนี้อากาศเป็นใจต้อนรับเราอย่างดี จึงนั่งรถไฟใต้ดินเพื่อมุ่งหน้าไปยัง “ศาลเจ้าเมจิ” (Meiji Shrine) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์อุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิ (Emperor Meiji) และพระจักรพรรดินีโซเค (Empress Shoken) ภายหลังจากที่ทั้งสองพระองค์สวรรคต ศาลเจ้าแห่งนี้สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1920 โดยการร่วมมือของประชาชนทั่วญี่ปุ่นที่ช่วยกันบริจาคต้นไม้กว่า 100,000 ต้น เพื่อสร้างป่าแห่งนี้ขึ้น ศาลเจ้าเมจินั้นเป็นศาสนสถานในศาสนาชินโตอันเป็นศาสนาเก่าแก่และดั้งเดิมของญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นศาลเจ้าแห่งนี้ถูกทำลายอย่างหนัก ศาลเจ้าปัจจุบันนั้นได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ราวปี ค.ศ. 1958 ด้วยงบประมาณที่เกิดจากการระดมทุนสาธารณะอีกครั้งนั่นเอง

ปัจจุบันศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางป่าไม้อันร่มรื่นเขียวครึ้มท่ามกลางการโอบล้อมของตึกสูงระฟ้าและเมืองใหญ่อย่างย่านชินจูกุและชิบูย่า มีนักท่องเที่ยวแวะมาเยี่ยมเยือนกันตลอดทั้งปีแบบไม่ขาดสาย นอกจากจะเป็นศาลเจ้าที่คนนิยมมาสวดมนต์ขอพรในช่วงปีใหม่แล้ว ยังเป็นสถานที่แต่งงานตามแบบประเพณีญี่ปุ่นโบราณที่คู่บ่าวสาวนิยมมาจัดงานกันอีกด้วย ซึ่งเราสามารถเห็นประเพณีเก่าแก่อันทรงคุณค่านี้ได้เสมอๆ ในคราวที่มาเยือนวัดแห่งนี้
Dinner with Taro
จากนั้นก็เดินทางลัดเลาะชมเมืองและวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นเพื่อมุ่งหน้าไปชอปปิ้งในย่านฮาราจูกุ แต่ก็มาหยุดอยู่ที่ร้านกาแฟสุดฮิปร้านหนึ่ง ซึ่งภายในตกแต่งด้วยของใช้เก๋ๆ มากมายละเลียดไปพร้อมกับเสียงเพลงและบรรยากาศรอบด้านที่ให้ความรู้สึกผสมผสานระหว่างความเป็นญี่ปุ่นและตะวันตก

เมื่อมาถึงย่านฮาราจุกุพวกเราเดินผ่านแบบแทบไม่มีหยุดรั้ง เพราะแฟชั่นเสื้อผ้าย่านนี้ดูจะมีน้อยชิ้นที่เราสามารถใส่ได้ เพราะออกจะเป็นแนวล้ำแฟชั่นเกินไป และคุณภาพผ้าก็คล้ายกับแพลทินัมบ้านเรา ใส่แล้วกลัวว่าจะดูเป็นตัวตลกไปหน่อย ไม่เหมือนน้องๆ ย่านนี้ที่เขาแต่งเต็มตั้งแต่หัวจดเช้าราวกับคอสเพย์ออกมาจากตู้กระจกอย่างไรอย่างนั้น แต่จะสะดุดตาก็กับร้านขายของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่นักประดิษฐ์ของญี่ปุ่นมีความมุมานะ และสร้างสรรค์ชิ้นงานได้อย่างน่าสนใจ
Meiji Shrine
พวกเราใช้การเดินเท้าแทนการนั่งรถแท็กซี่ หรือรถไฟ เพื่อมุ่งหน้าไปยังชิบูย่า ซึ่งย่านนี้ดูจะเหมาะกับพวกเราหน่อย เพราะส่วนใหญ่เป็นคนทำงานและนักท่องเที่ยว ร้านรวงหรือชอปต่างๆ ก็เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์เนม ไม่ว่าจะเป็นร้านหลุยส์ วิตตอง, ดิออร์, กุชชี, โลเอเว่ หรือร้านยี่ห้อพื้นเมืองที่ไปสร้างชื่อระดับโลกอย่าง อิสเซย์ มิยาเกะ และคอม เดอ มากาซงศ์ เป็นต้น แต่ที่สะดุดตาที่สุดก็เห็นจะเป็นบูติกของปราด้า ที่ตั้งเด่นเป็นสง่าตกแต่งด้วยกระจกที่เล่นระดับจนดูแปลกตา ชวนให้นักท่องเที่ยวไม่พลาดที่จะกดชัตเตอร์ภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก

สรุปแล้วพวกเราเดินชอปปิ้งในย่านชิบูย่าไม่ได้ของกลับมาเลยสักชิ้น เพราะอย่างแรกเลย คือ ราคาแพง สองคือสินค้าหลายอย่างเรามีอยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่ประสงค์ที่จะซื้อกลับไปให้เต็มบ้าน ซื้อไปก็ไม่ได้ใช้ และสิ่งที่มีอยู่ก็ยังใช้ไม่หมดและทั่วถึง จากนั้นพวกเราจึงตัดสินใจแวะจิบสปาร์กลิ้งของ ชองดอง (Chandon) ยามบ่าย เพราะบังเอิญว่าวันนี้เขามาจัดเป็นร้านกลางแจ้งเพื่อทำโปรโมชัน พวกเราจึงขอพักขาพร้อมกับจิบสปาร์กลิ้งชมผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแทน :: Text by FLASH
Meiji Shrine
Flight File

ปัจจุบันสายการบินไทย แอร์เอเชีย เอ็กซ์ บินตรงจากท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังกรุงโตเกียว (ท่าอากาศยานนาริตะ) และโอซากา (ท่าอากาศยานคันไซ) ด้วยเครื่องแอร์บัส เอ330-300 จำนวน 2 ลำ ซึ่งจัดที่นั่ง 377 ที่นั่ง แบ่งเป็นชั้นธุรกิจ 12 ที่นั่ง และชั้นประหยัด 365 ที่นั่ง

สำหรับที่นั่งชั้นธุรกิจบนเครื่องบินแอร์บัส เอ330-300 ประกอบไปด้วยที่นั่งจำนวน 12 ที่นั่งบริเวณส่วนหน้าของเครื่องบิน ผู้โดยสารจึงสามารถสัมผัสได้ถึงความเป็นส่วนตัว มาพร้อมกับพนักพิงที่สามารถปรับระดับเอนนอนได้ มีพื้นที่กว้างขวาง สะดวกสบายพร้อมหัวปลั๊กไฟขนาดมาตรฐานสากล ถาดอาหาร ที่วางแก้ว ไฟอ่านหนังสือ และฉากกั้นเพิ่มความเป็นส่วนตัวระหว่างที่นั่ง

นอกจากนั้นผู้โดยสารชั้นธุรกิจยังสามารถเพลิดเพลินไปกับบริการพิเศษอื่นๆ ที่มาพร้อมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น บริการเลือกที่นั่ง บริการเช็กอิน ขึ้นเครื่องบิน และรับกระเป๋าก่อนใคร บริการโหลดสัมภาระลงใต้ท้องเครื่องบินได้สูงสุดถึง 40 กิโลกรัม รวมทั้งบริการอาหาร หมอน และผ้ำห่มบนเครื่องบิน

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0-2515-9999 หรือคลิกที่เว็บไซต์ www.airasia.com
http://www.airasia.com/th/th/home.page?cid=1
Meiji Shrine
Meiji Shrine
Harajuku

Prada Boutique
shopping-Shibuya
Chandon Outdoor

Comments are closed.

Pin It