Interview

รักลงตัวของคู่รักไลฟ์สไตล์ตรงกัน! “กรกนก ยงสกุล & คณิศร เปรมประเสริฐ”

Pinterest LinkedIn Tumblr


เพราะไลฟ์สไตล์สุดที่จะใกล้เคียงกัน จนได้ชื่อว่าเป็นคู่รักสุดแอคทีฟ ว่างเมื่อไหร่ต้องแท็กทีมกันไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ อยู่ตลอด ทำให้ชีวิตคู่ของ “เล็ก-กรกนก ยงสกุล” สาวสังคมที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี กับสามีหนุ่มนักบริหาร “ปิ๊ด-คณิศร เปรมประเสริฐ” ไม่ต่างจากการเดินทาง (Journey) ที่เต็มไปด้วยสีสันหลากหลายรสชาติ และน่าค้นหาไม่รู้จบ ที่สำคัญ แม้ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย ในทุกเส้นทางที่เลือกเดิน ก็มีเพื่อนร่วมเดินทางที่พร้อมเข้าใจ และจับมือผจญภัยไปด้วยกันอยู่เสมอ
หากเปรียบเทียบการแต่งงาน เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ของชีวิต ในโอกาสที่ทั้งคู่เพิ่งฉลองครบรอบ 2 ปี ของการใช้ชีวิตคู่ไปหมาดๆ ในเดือนแห่งความรักที่ผ่านมา Celeb Online เลยชวนทั้งคู่มาโปรยความหวาน อัปเดตมุมมองความรัก หลังเปลี่ยนสเตตัสจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต ในหลากหลายแง่มุม ทั้งการปรับตัว การวางแผนอนาคต และแผนการปั๊มทายาทที่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีวี่แววซักที


ลงตัวกับชีวิตครอบครัวที่มีแค่ “เราสองคน”

หลังจากปล่อยให้กองเชียร์ลุ้นอยู่นานว่า​ แต่งงานแล้วเมื่อไหร่ทั้งคู่จะมีข่าวดี งานนี้ ทั้งคู่เลยถือโอกาสเคลียร์ชัดเลยว่า “เราสรุปกันแล้วว่า เราไม่อยากมีลูก” หนุ่มปิ๊ดเปิดฉากการสนทนาอย่างตรงประเด็น “ส่วนตัวเราเป็นคนรักเด็กนะ ผมเองตอนนี้ก็มีหลาน 7 คน แต่พอเรามานั่งเปิดใจคุยกันแบบตรงไปตรงมา เราคิดตรงกันว่าไม่อยากมีลูก ด้วยหลายๆ เหตุผล เราอาจจะโชคดีที่แต่งงานช้า เลยมีโอกาสเห็นคนรอบตัวที่มีครอบครัวและมีลูกก่อนเรา ซึ่งแน่นอนว่า มีทั้งครอบครัวที่สมหวังและผิดหวัง บางครอบครัวก็ยังมีความรักที่สมบูรณ์ แต่บางครอบครัวก็แตกแยกกันไป ที่สำคัญ พอมองกลับมาที่ไลฟ์สไตล์เราทั้งคู่ ซึ่งชอบความเป็นอิสระ สนุกกับการทำกิจกรรมต่างๆ บางทีดึกๆ ก็ยังชวนกันออกไปกินอาหารนอกบ้าน ชอบเดินทาง

ดังนั้น ถ้าวันหนึ่งเราคิดจะมีลูก​ มันเหมือนเป็นอีกแชปเตอร์ของชีวิตไปเลย สมมุติเราอยากไปโรดทริปเราก็อาจจะไปได้​ แต่คงไม่ได้ไปแบบสบายใจเต็มร้อย เพราะห่วงว่าลูกจะอยู่กับใคร หรือต่อให้ไปฝากคุณปู่คุณย่า หรือคุณตาคุณยายช่วยเลี้ยง เราก็ยังพะวง ยังไม่รวมสภาพสังคม สิ่งแวดล้อม ซึ่งเรามองว่าไม่ได้เหมือนยุคที่เราโตมา โลกทุกวันนี้เปลี่ยนไปหมด ย้อนกลับไป 30 ปีที่แล้ว ตอนนั้นน้ำยังใส จนเรากระโดดลงไปเล่นน้ำได้ เจอปลาก็ไม่ต้องตกใจ แต่เด็กทุกวันนี้ เจอปลาในคลอง คงรู้สึกแปลกใจ นี่ยังไม่รวมมลพิษทางอากาศ เชื่อมั้ยว่า แต่ละปีโลกเรามีคนที่เสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศ ประมาณ 2 ล้านคน น่ากลัวไม่แพ้โควิด-19 ที่คร่าชีวิตผู้คนนับล้าน อาจจะเหมือนเรามองโลกในแง่ร้ายนิดๆ แต่จริงๆ แล้วผมมองโลกตามความเป็นจริงที่น่ากลัวมากกว่า เลยคิดว่า ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นขอให้จบที่รุ่นเรา”


นอกจากจะตัดสินใจบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ยังเป็นการสานฝันลึกๆ ของตัวเอง ที่อยากอุทิศตัวเองเพื่อช่วยเหลือสังคม

“ผมเคยคุยกับเล็กว่า จากนี้ไปอีกไม่เกิน 10 ปี ผมอยากทำอะไรที่ได้ช่วยเหลือสังคม แต่ถ้าเรามีลูก วันนี้อีก 10 ปี ลูกเราอายุ 10 ขวบ สิ่งที่เราต้องโฟกัสคือ ลูก ไม่ใช่สังคม เพราะตอนนั้นลูกเรายังไม่เข้าวัยทีน จะไปเรียนอะไรต่อ จบมาจะไปทำอะไร อากาศจะหายใจได้หรือเปล่ายังไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราเลือกขอสนุกกับชีวิตแบบนี้ดีกว่า ซึ่งต้องบอกว่าโชคดีที่เราสองคนคิดเหมือนกันครับ” ปิ๊ดเล่ายาว โดยมีภรรยาคนสวยเป็นกองหนุนอยู่ข้างๆ

ไขข้อข้องใจเรื่องทายาทแล้ว มาชวนคุยถึงชีวิตคู่ หลังจากเปลี่ยนสเตตัสจากแฟนมาเป็นคู่ชีวิต ต้องมีการปรับตัวอย่างไรบ้าง คำถามนี้ เล็กเป็นฝ่ายเล่าอย่างออกรสว่า “อาจเพราะเราทั้งคู่ก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ตั้งแต่เริ่มคบกัน เราเลยพยายามเปิดเผยให้อีกฝ่ายเห็นเลยว่า ชีวิตเราเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน ก็ศึกษาว่าชีวิตเขาเป็นอย่างไรให้มากที่สุด การแต่งงานสำหรับเราเหมือนเป็นการทำให้ความสัมพันธ์ของเรามั่นคง มีการวางแผนในระยะยาวมากขึ้น ถามว่าพอมาอยู่ร่วมกัน แน่นอนว่า ต้องมีการปรับจูนเข้าหากันอยู่แล้ว ซึ่งเล็กคิดว่าเป็นเรื่องปกติในทุกความสัมพันธ์ แม้กระทั่งกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน เวลาที่มาอยู่ร่วมกันก็ต้องปรับตัว เพื่อให้เราเป็นจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆ มาเติมเต็มซึ่งกันและกัน

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในมุมมองของเล็กคือ มุมมองความคิด จากนี้เวลาจะทำอะไร เราไม่ได้คิดถึงแค่ตัวเรา แต่ก็มีเขาด้วย เช่นเวลาเราหิว เราก็จะห่วงว่าเขาก็ต้องหิว เราง่วง เขาก็จะง่วงมากกว่ามั้ย” เล็กเล่าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนเมื่อถูกถามว่า แล้วทั้งคู่มีวิธีดูแลกันอย่างไร ใครเป็นฝ่ายดูแลกันมากกว่า งานนี้ฝ่ายหญิงถึงกับอมยิ้ม

ขณะที่ ฝ่ายชายแซวว่า ถ้าถามว่าใครเป็นฝ่ายดูแลกันมากกว่า ชัดเจนครับว่าเป็นผม ซึ่งก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพราะพื้นฐานเล็กๆ เขาเติบโตที่เมืองนอก เขามีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างชัด ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะผมเองก็ชอบดูแลเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นหน้าที่ บางเวลาเขาก็เป็นฝ่ายดูแลผม ซึ่งผมคิดว่าเขาก็ทำได้ดีเลยทีเดียว”


คู่รักสายแอคทีฟ

นอกจากจะดูแลกันเป็นอย่างดีแล้ว ทั้งคู่ยังเป็นหนึ่งในคู่รักที่น่าอิจฉา เพราะมีไลฟ์สไตล์ความชอบที่เข้าขากันมากถึงมากที่สุด “มีคนแซวว่าเราเป็นคู่รักนักวิ่ง (หัวเราะ) เพราะตั้งแต่มารู้จักกับเขา เล็กก็เริ่มมาวิ่งมากขึ้น เราไปมาราธอนด้วยกันที่เยอรมนีกับญี่ปุ่น หรืออย่างดำน้ำ ก่อนหน้านี้ เราต่างคนต่างดำน้ำมาก่อนแล้ว พอรู้จักกันถึงมาดำน้ำด้วยกัน”

ด้านปิ๊ดเสริมว่า​ “พื้นฐานเราเป็นคนแอคทีฟทั้งคู่ ชอบไปลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อเปิดประสบการณ์อย่างช่วงโควิดที่ผ่านมา พอดีเพื่อนเขาทำเคเบิลสกี เราก็เลยไปลอง เพราะปกติก็เล่นเวคบอร์ดอยู่แล้ว แถมเคเบิลสกีก็เล่นได้แบบมี Social Distant หรือ อย่างช่วงก่อนแต่งงาน ผมชอบมอเตอร์ไซค์ เลยแอบไปซื้อมา กะว่าต่อให้เขาไม่ชอบ ก็ห้ามไม่ได้ (หัวเราะ) ปรากฏว่า พอซื้อแล้วมาบอกเขากลายเป็นผิดคาด เขาบอกว่า พอดีเลย เขามีเสื้อ Harley-Davidson Classic Limited Edition เก็บไว้ จะได้เอามาใส่ไปออกทริปกับผม ซึ่งด้วยความที่เขาเป็นคนเปิดรับแบบนี้ เราเลยสนุกไปด้วยกัน มีกิจกรรมด้วยกันบ่อย ไม่ว่าจะเป็น ขี่รถไปชมเมืองเก่า ไปกินร้านอาหารอร่อยที่ปกติอาจจะไปไม่ง่าย หาที่จอดรถยาก หรือถ้ามีเวลาก็ขับรถไปโรดทริป ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาอาจจะเบื่อ ทำไมไม่ไปเครื่องบิน มาขับรถ 6-7 ชั่วโมง แต่เขาก็โอเค”


ด้านเล็กเสริมว่า ข้อดีของการที่ทั้งคู่ชอบอะไรใหม่ๆ ทำให้มีหัวข้อในการสนทนาไม่รู้จบ ชีวิตคู่มีมิติความลึกมากขึ้น เช่น เวลาไปดำน้ำ ตอนอยู่ในน้ำเราอาจจะคุยกันไม่ได้ ต้องขึ้นพอคุยบนผิวน้ำ เราก็มาแลกเปลี่ยนกันว่าเราได้เห็นอะไร หรือเวลาไปโรดทริปก็เรียนรู้มากขึ้น เหมือนลงเรือลำเดียวกัน ต้องช่วยกันดูถนนหนทาง คอยหาร้านอาหารว่าจะกินที่ไหน นอนที่ไหน

“อย่างปีใหม่ที่ผ่านมา เราขับรถไปเชียงราย ไปแบบไม่มีแพลน ไม่ได้จองโรงแรม ค่ำไหนนอนนั่นจริงๆ อย่างตอนไปค้างคืนที่น่าน ไม่มีโรงแรมห้าดาว แต่เขานอนได้ ขอแค่ไม่มียุง ซึ่งเราก็เตรียมสเปรย์เผื่อไป หรือเวลาไปนอนแคมป์ริมน้ำ ห้องน้ำรวม เขาก็ไหว ใส่รองเท้าแบรนด์เนมลุยโคลน” ปิ๊ดเล่าไปขำไป


เปิดเส้นทางรักแท้ไม่แพ้ระยะทาง

แม้จะดูเป็นคู่รักที่ลงล็อกกันไปทุกเรื่อง แต่ถ้าไปย้อนสำรวจเรื่องราวความรักของของทั้งคู่ กลับไม่น่าเชื่อว่าจะมาบรรจบกันได้ แต่ขึ้นชื่อว่า พรหมลิขิต ต่อให้อยู่กันคนละประเทศ กามเทพก็แผลงศรรักได้

“ผมเป็นฝ่ายเริ่มจีบเขาก่อน” ปิ๊ดสารภาพแบบแมนๆ ก่อนย้อนวันวานแสนหวานว่า ตอนนั้นเขาทำงานอยู่บริษัทที่ทำเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่สิงคโปร์ อยู่มาวันหนึ่งบริษัทต้องติดต่อกับทาง โบ๊ต ลากูน ยอช์ตติ้ง (Boat Lagoon Yachting) ซึ่งเป็นธุรกิจของพี่ชายฝ่ายหญิง ในระหว่างที่ท่องโลกอินเทอร์เน็ต เพื่อหาข้อมูล ปิ๊ดกลับพบข้อมูลเกี่ยวกับฝ่ายหญิงมากมาย ยิ่งศึกษายิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจ จนอยากทำความรู้จัก

“ผมตัดสินใจส่งข้อความไปหาเขา แต่ก็กลัวว่าเขาจะตกใจ เลยทำทีเป็นเหมือนติดต่อธุรกิจ เขียนข้อความกึ่งๆ Business proposal ไปหาเขา” ปิ๊ดเกริ่นถึงกุศโลบายจีบหญิงอันแยบยล จนฝ่ายหญิงต้องเสริมว่า


“ข้อความที่เขาส่งมาทางการมาก จนเล็กไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาสนใจเรา มาเริ่มรู้ตัว​ ตอนที่เขาขอไลน์ส่วนตัว เริ่มไลน์ทักทายมาตอนเช้า ก็เริ่มคิดว่าไม่ใช่แล้ว แต่ก็อยากรู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน เพราะเขาก็เป็นผู้ชายที่น่าสนใจดี สังเกตจากหัวข้อบทสนทนาที่เขามาคุยกับเล็ก มีความสนใจคล้ายๆ กัน คุยแล้วต่อยอดกันได้”

“ตอนที่เริ่มจีบเขา อย่างที่เล็กบอกว่า​อายุเราก็ไม่น้อย ผมอายุมากกว่าเล็ก 3 ปี เลยไม่ได้มาแนวจีบพร่ำเพรื่อ แต่ทำการบ้านมาพอสมควร ต้องขอบคุณโซเชียลมีเดีย ทำให้เราหาข้อมูลและทำความรู้จักเขาได้ง่ายขึ้น ว่าเขามีไลฟ์สไตล์ประมาณไหน ชอบทำกิจกรรมอะไร ซึ่งเราก็ดูแล้วว่าเข้ากับเราได้ ชอบออกกำลัง ดำน้ำ ไปเที่ยว ชอบทานอาหารนอกบ้าน ที่สำคัญ ​เขาเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจ หน้าที่การงานที่เขาทำเกี่ยวกับการเทรนนิงพนักงานในองค์กร ก็คล้ายๆ กับผมที่เน้นนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยให้องค์กรต่างๆ ขับเคลื่อนไปได้ดีขึ้น”


ถามว่า นานแค่ไหนกว่าจะตกลงปลงใจคบกันเป็นแฟน ทั้งคู่อมยิ้มก่อนจะบอกว่า ถามก่อนดีกว่าว่า นานแค่ไหนกว่าจะได้เจอหน้ากัน เพราะตอนนั้นด้วยความที่ฝ่ายชายทำงานอยู่ที่สิงคโปร์ ถึงจะไปๆ มาๆ แต่ก็ยังอาศัยกลยุทธ์ช้าแต่ชัวร์ รอจนมั่นใจจริงๆ รู้สึกว่า ยิ่งคุยยิ่งอยากรู้จักมากขึ้น ถึงขอนัดเจอ

“เป็นเดือนนะครับกว่าเราจะนัดเจอกัน หลังจากนั้นก็อีก 4-5 เดือนถึงจะเป็นแฟน และผมก็ค่อยๆ เข้าไปในจักรวาลของเขา จำได้ว่ามีครั้งหนึ่งเขาพาผมไปเจอเพื่อนเขาเกือบ 10 คน แล้วเพื่อนเขามีหลายสไตล์มาก มีทั้งสาวหวาน สาวเปรี้ยว มั่นใจ ความรู้สึกเราตอนนั้นเหมือนตกเป็นเหยื่อ (หัวเราะ)”

“จริงๆ เล็กไม่ได้คิดว่าจะพาไปเจอเพื่อน เพื่อทดสอบอะไรเขาหรอก​ แค่ต้องการให้เขาเห็นมากกว่าว่า ถ้าจะเดินเข้ามาในชีวิตเรา คุณต้องเจออะไรบ้าง ซึ่งวันนั้นเพื่อนๆ เล็กก็ประทับใจเขานะ ให้เขาผ่านหมด”


“จริงๆ ก่อนจะจีบเขา ผมเองก็เตรียมใจมาประมาณหนึ่งอยู่แล้วว่า มีอะไรที่ผมต้องเจอ เพราะจากการติดตามเรื่องราวของเขา ก็พอรู้ว่าเล็กเขามีชีวิตแบบไหน มีสังคม หน้าที่การงานประมาณไหน ซึ่งเราก็คุยกันชัดเจนว่า ช่วงไหนที่งานผมแน่น ก็อาจจะไปเป็นเพื่อนเขาไม่ได้ทุกงาน ถ้าช่วงไหนเบาๆ ก็โอเค เพราะเล็กเขาเป็นคนที่พลังล้น นี่ขนาดปิดสวิตซ์แล้วนะ ไม่งั้น 7 วันไม่พอต้อง 8 วันครึ่ง ถึงจะพอกับกิจกรรมของเขา

พอเริ่มคบกัน เราเจอกันค่อนข้างบ่อย จากเดิมที่อยู่สิงคโปร์เป็นหลัก กลายเป็นอยู่ไทย 3 อาทิตย์ ไปสิงคโปร์แค่ 1 อาทิตย์ โชคดีที่เราอยู่ในสายงานเทคโนโลยี​ เราทำงานที่ไหนก็ได้ เลยมีโอกาสได้ใช้เวลาเรียนรู้กันพอสมควร​ ตอนที่คบกัน เราต่างฝ่ายต่างเป็นตัวของตัวเองทั้งคู่ เพราะอย่างที่บอก เรามาคบกันตอนอายุเยอะเลย ถ้ามีอะไรที่รับไม่ได้ หรือไม่ใช่ ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลากัน แต่ปรากฏว่าไม่มี”


หลังจากคบหาดูใจกันมา 2 ปี ในที่สุดเสียงของหัวใจก็บอกว่า ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ใช่ ภารกิจในการเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานของปิ๊ดจึงเริ่มต้นขึ้น

“ผมตั้งใจจัดทริปยุโรป เตรียมซื้อแหวน วางแผนขอแต่งงานไว้ในหัวเสร็จสรรพ ตั้งใจจะไปขอแต่งงานที่ทะเลสาบเบลาเซ ซึ่งตั้งอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ เพราะเป็นทะเลสาบที่มีตำนานเรื่องความรัก โดยเลือกช่วงฤดูใบไม้ร่วง เพราะอยากได้บรรยากาศของใบไม้เปลี่ยนสี ซึ่งเอาจริงๆ ก็คาดการณ์ค่อนข้างลำบาก ช่วงที่ไปต้องคอยเช็ก​ หาข้อมูลทุกวันว่าใบไม้จะเปลี่ยนสีวันไหน จนพอถึงวันที่ไป ภาพที่คิดไว้ในหัวคือ บรรยากาศแบบส่วนตัว อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ แต่พอไปถึงสถานที่จริง กลับมีสักขีพยานอยู่เป็นสิบ ผมเองก็เขิน ไปยืนอยู่ตรงก้อนหินที่ตั้งใจคุกเข่าขอเขาแต่งงานอยู่นานเกือบ 10 นาที จนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน คิดในใจว่า ไม่ได้แล้ว เป็นไรเป็นกัน จะมัวเขินไม่ได้ อย่างน้อยถ้าจะมีใครถ่ายรูปไป ก็เป็นต่างชาติ ไม่ใช่คนไทย ก็เลยคุกเข่าขอเขา”

“ตอนแรกเล็กไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเขาจะเซอร์ไพรส์ ตอนที่ไปถึงตรงนั้น เห็นเขาไปยืนตรงโขดหินก็จะให้ช่วยถ่ายรูปให้ ปรากฏว่าเห็นเขายืนเก้ๆ กังๆ ม้วนไปม้วนมาอยู่นาน เลยสงสัย ตอนนั้นในหัวคิดไปสารพัดว่า ถ้าเขาขอแต่งงานจริงๆ เราต้องทำตัวอย่างไร ดีใจเบอร์ไหน วันนั้นหน้าก็ไม่ได้แต่ง ผมก็ไม่ได้สระ หันไปหาคุณแม่ ท่านก็รู้เห็นเป็นใจ เพราะเป็นคนช่วยถ่ายวิดีโอให้” เล็กเล่าไปยิ้มไป จนสามีแซวว่า “ตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าเขาไม่เซย์เยส ผมคงปล่อยให้อยู่ตรงนั้นเลย”


บนเส้นทางรักที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าอกเข้าใจนี้เอง ถ้าจะให้ทั้งคู่ให้คำจำกัดความความรักครั้งนี้ ปิ๊ดตอบว่า “เล็กคือความสบายใจ เราสามารถใช้ชีวิตอยู่กับเขาได้โดยที่เป็นตัวของตัวเอง เขาคือคนที่เราทั้งรัก​ เอ็นดู ห่วงใย และการที่เราเห็นเขามีความตั้งใจเวลาทำอะไรหลายๆ อย่างในชีวิต เรายิ่งอยากสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบอย่างเต็มที่​ เพื่อให้เขาได้สมหวังในสิ่งที่ต้องการ

ขณะที่เล็ก เสริมว่า “ความรักของเราเหมือน Journey หรือการเดินทางที่เราสร้างมาด้วยกัน บางครั้งเรานึกย้อนไปว่า เราคบกันมากี่ปีแล้ว จริงๆ ก็แค่ 4​ ปีกว่า แต่ในความรู้สึกเราเหมือนว่านานกว่านั้น เล็กว่าเป็นเพราะเราสร้างประสบการณ์ ความทรงจำที่ดีร่วมกัน ตั้งแต่คบกันมาเราเคยทะเลาะกันแค่ 2 ครั้ง ถือว่าน้อยนะ ที่สำคัญ เราจะมีกฎในการทะเลาะกันเลยว่า “ไม่ทะเลาะกันข้ามคืน” และยังมีประโยคเตือนใจว่า We fight because we fight with love ต่อให้จะมีช่วงเวลาที่เราไม่เข้าใจกันบ้าง แต่ลึกๆ เราไม่ได้เกลียดกัน ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความรัก ถามว่าตอนนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไร เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะเวลาทะเลาะกันเราไม่ปล่อยข้ามคืน ง่วงหรือเพลียแค่ไหนก็ต้องเคลียร์ให้จบ” ปิ๊ดฉายภาพให้เห็นถึงชีวิตคู่อย่างออกรส ก่อนเสริมว่า

“ถ้าถามว่ามีเรื่องอะไรที่ห่วงเล็กเป็นพิเศษ อย่างที่บอก เขาเป็นคนทำอะไรทำจริง ตั้งใจ พลังเยอะ ลึกๆ ผมเชื่อว่า คนเราทุกคนมีพลังจำกัด ต่อให้เขาอาจจะพลังมากกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่อยากให้ใช้ไปกับทุกเรื่อง อยากให้ใจเย็นๆ บ้าง ที่สำคัญ บางครั้งการตัดสินใจ​ทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน อาจจะไม่ได้ละเอียดถี่ถ้วนมากนัก ซึ่งผมเองในฐานะคู่ชีวิตก็จะคอยแอบดูอยู่ห่างๆ และพร้อมสนับสนุนเขาเสมอ”

ขณะที่ เล็กออกตัวว่า ไม่ห่วงเรื่องหน้าที่การงาน สุขภาพของสามี เพราะจัดอยู่ในเกณฑ์ดีอยู่แล้ว จึงขอทำหน้าที่เป็นซัพพอร์ตเตอร์ พร้อมเคียงข้างและแบ่งปันทุกความรู้สึกกับสามีแทน


เส้นทางชีวิตที่ออกแบบเอง

อัปเดตชีวิตรักมาพอหอมปากหอมคอ ถือโอกาสเบรกความหวาน มาอัปเดตหน้าที่การงานของทั้งคู่ขณะนี้กันบ้าง เริ่มจากฝ่ายชาย นอกจากจะช่วยดูแลภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของครอบครัว ตอนนี้ยังมาร่วมงานกับ กูเกิล ประเทศไทย รับหน้าที่ดูแลกลุ่มลูกค้าในโซนเอเชียแปซิฟิก ซึ่งเนื้องานหลักๆ จะคาบเกี่ยวกับทั้งด้านการขาย การทำพาร์ตเนอร์ชิฟ และการพัฒนาธุรกิจด้วยการนำเอาเทคโนโลยีไปใช้

“ก่อนหน้าจะมาทำงานที่ กูเกิล ผมทำงานอยู่บริษัทเทคโนโลยีแห่งหนึ่ง ประจำอยู่ที่สิงคโปร์ หน้าที่หลักคือ ช่วยขยายตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำ 2 ปี เพื่อเรียนรู้ หาประสบการณ์ ปรากฏอยู่นาน 7 ปี จนทางกูเกิลมาทาบทาม​ เพราะเห็นว่าเรามีประสบการณ์ตรงกับสิ่งที่เขามองหา ผมเองจริงๆ ตอนแรกแทบจะปิดประตูให้กับการทำงานที่อื่นแล้ว แต่พอเป็น กูเกิล ซึ่งเป็นบริษัทระดับโลก ที่ผมเคยอ่านหนังสือ ศึกษาวัฒนธรรมองค์กรของเขามาบ้าง ก็อยากลอง เลยตัดสินใจถอนสมอจากสิงคโปร์กลับมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงโควิด-19 พอดี จนตอนนี้ผมยังขนของกลับมาไม่หมดเลย​ เพราะเดินทางไม่สะดวก”


อย่างไรก็ตาม แม้จะอยู่ในแวดวงไอทีและเทคโนโลยีมาเกือบ 20 ปี ตั้งแต่สมัยเรียน แต่ด้วยความที่เห็นภาพตัวเองชัดว่า ไม่ได้มาแนวเขียนโปรแกรม แต่เน้นดูภาพรวม การบริหาร ทำอย่างไรให้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร เลยทำงานสายนี้มาตลอด ซึ่งปิ๊ดย้ำว่า หลายคนอาจจะมองว่า เทคโนโลยีเป็นเรื่องขององค์กรขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่

“อย่างตอนที่อยู่สิงคโปร์ ผมก็ดีลกับธุรกิจขนาดเล็ก เพื่อให้เขานำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยในการทำงาน สร้างธุรกิจ หรืออย่างที่อินโดนีเซีย เราเข้าไปช่วยสตาร์ทอัพหลายราย ตั้งแต่ยังมีทีมแค่ 20-50 คน จนเขากลายเป็นสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น ซึ่งจะว่าไปก็เป็นงานที่ทำแล้วรู้สึกภูมิใจที่ได้ส่วนเล็กๆ ในความสำเร็จขององค์กรที่เราแนะนำเข้าไป รู้สึกว่างานของเรามีคุณค่าและมีความหมาย”

ไหนๆ ก็มาจากสายเทคโนโลยี เลยถือโอกาสนอกเรื่องชวนคุยเรื่อง Clubhouse แพลตฟอร์มที่กำลังมาแรงในขณะนี้ “ผมเข้าไปจอยแล้ว แต่ตอนนี้ยังเน้นเป็นผู้ฟัง ผมชอบฟังผู้บริหารจากกลุ่มธุรกิจต่างๆ มาแชร์มุมมองและกลยุทธ์ที่แต่ละคนงัดมาใช้ ในช่วงเวลาวิกฤตที่ไม่เคยมีใครเคยเจอมาก่อน ซึ่งผมคิดว่าเป็นเสน่ห์ที่สุดของแพลตฟอร์มนี้เลยก็ว่าได้ เพราะหาอ่านไม่ได้จากหนังสือหรือตำราเล่มไหน”


มาถึงฝั่งภรรยาคนเก่ง ปัจจุบันเธอเป็นเจ้าของสถาบัน “อาร์บีแอล เทรนนิง อคาเดมี” (RBL Training Academy) รับทำเทรนนิง เพื่อพัฒนาบุคลากรให้องค์กรต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปีนี้เข้าสู่ปีที่ 7

“ก่อนหน้านี้เล็กช่วยธุรกิจครอบครัว จนวันหนึ่งคิดว่าอยากสร้างธุรกิจของตัวเอง จุดเริ่มต้นมาจากการตั้งคำถามว่า เราจะนำความรู้ที่มีไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร พอดีช่วงนั้นเล็กได้มีโอกาส​ไปเทกคอร์สเกี่ยวกับการพัฒนาตัวเองกับวิทยากรชื่อดังทั้งในอเมริกาและสิงคโปร์

ยิ่งเรียนก็ยิ่งอิน สุดท้ายเลยต่อยอดเป็นอาชีพ ซึ่งต้องบอกว่าเริ่มจากศูนย์ แต่เพราะที่บ้านปลูกฝังมาตลอดว่า ถ้าจะทำอะไร ต้องหาเส้นทางของเรา ไม่เดินตามใคร อาจจะล้มบ้างลุกบ้าง เป็นเรื่องปกติ เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดเวิร์กชอปเล็กๆ ปรากฏว่าเสียงตอบรับดี มีคนมามากกว่าที่คิด เราเองก็รู้สึกดี ที่คนให้คุณค่ากับความรู้ของเรา เลยจัดเวิร์กชอปมาเรื่อยๆ โดยเปลี่ยนหัวข้อไปตลอด จนวันหนึ่งมีผู้ใหญ่ชักชวนให้ไปทำเทรนนิงกับองค์กร ก็ไปทำ ทำให้เริ่มเห็นช่องทางในการทำ​ in house training ให้องค์กรต่างๆ จากตรงนั้นเลยค่อยๆ ต่อยอดมาจนถึงวันนี้ อาศัยเรียนรู้จากศูนย์ทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่โทร.หาลูกค้า ทำนัด ขอเข้าไปพรีเซนต์ เพราะทีมงานตอนแรกมีแค่เล็กกับเลขาฯ”

ทุกวันนี้ เล็กยังสนุกกับงานที่ได้สร้างประโยชน์ให้คนอื่น เธอยังไม่หยุดต่อยอดความรู้ของตัวเอง ด้วยการอ่านหนังสือทุกวัน “แต่ก่อนอ่านเดือนละเล่ม ค่อยๆ เพิ่มมาเรื่อยๆ จนตอนนี้อ่านเดือนละสามเล่ม พยายามอ่านหนังสือทุกวัน ให้ได้วันละ 40 นาทีจนกลายเป็นนิสัยไปแล้ว” เล็กทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It