ART EYE VIEW—เพชร ภาธรรัตน์ ตกหลุมรักฝรั่งเศส เมื่ออายุ 19 ปี
ยามนั้น เธอยังเป็นนักศึกษาศิลปะ ปี 3 ของ University of Miami รัฐ Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา
“ไปเรียนซัมเมอร์ที่ ฟงเทนโบล(Fontainebleau) เป็นโรงเรียนสอนศิลปะที่ชาวอเมริกันที่ไปเปิด อยู่ในวัง เช้าก็จะเดินเข้าวังไปเรียนหนังสือ ทำนองนั้น มันสวยมาก ไอ้ปราสาทฟงเทนโบล เนี่ย เรียนอยู่ 2 เดือน เต็มๆ กับคนที่เค้าเรียนศิลปะ ซึ่งมาจากทั่วโลก และทั่วอเมริกา
แผนกสถาปัตยกรรม และแผนกดนตรีก็มีสอน มีฝรั่งคนนึงที่เรียนคลาสเดียวกันชื่อ ซาร่า หลังจากนั้นเค้ากลับมาแต่งงานกับคนไทย ชื่อ คุณสุรจิต เป็นสถาปนิก และก็ทำร้านกับ พัชรินทร์ พิบูลสงคราม (เดิมชื่อ แพทริเชีย ออสมอนด์ )
สองคนนี้ ตอนนั้นเค้าไปเรียนที่ University of Rhode Island แล้วไปเจอเราตอนเรียนซัมเมอร์ที่ฟงเทนโบ จากนั้นก็เป็นเพื่อนกันมาจนถึงตอนนี้
พอเรียนจบมันก็เลยมีความฝังใจในฝรั่งเศส เพราะตอนที่ไปเรียน คลาสที่เรียนเค้าพาเราทัวร์ไปทั่วฝรั่งเศส เลยได้เห็นความงามของปราสาท ราชวังต่างๆ”
หลังเรียนจบจากมหาวิทยาลัย เพชรกลับมาเมืองไทย แต่ยังเก็บความทรงจำดีๆที่มีต่อฝรั่งเศสเอาไว้ตลอด
“กลับ มาทำงานศิลปะอยู่พักใหญ่ รุ่นเดียวกับรุ่นเก๋ากึ๊กอย่าง ประพันธ์(ศรีสุตา) ถวัลย์ (ดัชนี) และดำรง (วงศ์อุปราช) ซึ่งตอนนี้ก็ซี้แง๋ไปแล้ว
ที่เมืองไทย ตอนนั้นแกลเลอรี่แทบจะยังไม่มีเลย จำได้ว่า เคยแสดงงานที่ อาลิยองฟองเซ่
และ AUA ด้วย ซึ่งเป็น cultural center ของประเทศที่เราไปเรียนศิลปะจากเค้ามา แล้วก็เคยแสดงงานที่หอศิลป์พีระศรี และจัดงานเองครั้งหนึ่งที่ โรงแรมมณเฑียร
แล้วก็มาจัดที่ British Council ตอนนั้นขาเป๋ เพราะไปรถคว่ำที่เชียงใหม่ ทีนี้ที่แสดงงานอยู่ 3 ชั้น ไม่มีลิฟท์ ต้องให้คนแบกขึ้นไป ขากลับลงมา ถวัลย์นั่นแหล่ะที่เป็นคนอุ้มลงมา ตึ๊กๆๆ(หัวเราะ)”
งานศิลปะที่เพชรทำเป็นงาน Painting แนว Abstract และ Semi Abstract
“มีคนซื้อไปสะสมบ้าง ตอนจัดงานที่ AUA มี ฯพณฯ ถนัด คอมันตร์ เป็นประธานเปิด ส่วนที่ อาลิยองฟองเซ่ ก็เป็นท่านฑูตของฝรั่งเศส กับอธิบดีกรมศิลปากร”
ก่อนที่เธอจะหันมาทำงานด้านแฟชั่น และมีร้านเสื้อผ้าชื่อว่า PP ซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคบุกเบิก
สยามเซ็นเตอร์
“เป็นร้านแรกของสยามเซ็นเตอร์ และเป็นหนึ่งในตำนานThai Lady to Wear ตอนที่นิตยสารดิฉันมีอายุครบ 30 ปี ก็มาสัมภาษณ์” (ปัจจุบันเธอได้กลายมาเป็นคอลัมนิสต์ เขียนคอลัมน์ “แฟชั่นในมุมศิลป์” ให้กับนิตยสารเล่มนี้)
“ดิฉันทำร้านเองหมด ออกแบบเอง ตั้งแต่ต้นจนจบ สมัยนู้นยังไม่มีหรอก ที่จะมาทำรันเวย์ มีเสื้อผ้าหน้าผม มีช่าง แต่ดิฉันจัด One Man Show ที่สยามอินเตอร์คอนติเนลตัล และเคยทำให้ สมาคม International Women Club จากนั้นโรงแรมมณเฑียรก็เคยให้ไปจัดโชว์ที่พัทยา รวมถึงโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์
ความสนใจในแฟชั่นของเรา มันมีมาตั้งแต่เด็กๆ และการทำ แฟชั่นนี่ก็ยังถือเป็น Outletให้ศิลปะ เพราะเราก็ยังเอาสีที่เราใช้ในงานศิลปะมาใช้อยู่”
แต่ทำแฟชั่นที่เมืองไทยได้ 7-8 ปี เธอก็ย้ายกลับไปอเมริกา
“ไปเปิดบูติคที่ฮาวาย เปิดได้ซักปีกว่าๆ ก็ไม่ไหว ทำคนเดียวไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นห่วงร้านที่เมืองไทย เพราะตอนนั้นยังไม่ปิด จากนั้นก็ไปอยู่ที่แอลเอ ไปเป็นพนักงานทำงานประจำ เข้า 9 โมงเช้า ออก 5โมงเย็น กินเงินเดือนโดยที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องธุรกิจ
พอมีเวลาก็ไปเรียน ที่ UCLA (University of California,, Los Angeles) บ่อยๆ คลาสศิลปะเรียนหมดทุกคลาส รวมถึงคลาสถ่ายรูป จนเคนเค้าบอกว่า ถ้าเกิดนับเป็นปริญญาเธอคงได้ด็อกเตอร์ 2ใบแล้ว (หัวเราะ) เรียนไป ทำงานออกแบบเสื้อไป ตอนหลังกลับไปทำปริญญาโทอีก 2 ใบ ระหว่างนั้นบางทีก็ข้ามมาเที่ยวฝรั่งเศส เพราะมีเพื่อนรักอยู่ที่ฝรั่งเศส 2 คน ไปอยู่กับเค้า”
ปัจจุบัน เป็นเวลา 6 ปีแล้ว ที่เพชรกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไทย ณ คอนโดส่วนตัว ที่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ทว่าเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา เธอได้กลับไปเยือนประเทศที่เธอตกหลุมรักอีกครั้ง และใช้จ่ายเวลาไปเพื่อการเสพชมสถานที่ต่างๆ มากกว่าครั้งไหนๆ
“ กลับมาทำคอนโดเสร็จ นอนพักจนเบื่อ ก็คิดอยากไปเที่ยวฝรั่งเศส แต่จริงๆแล้ว แม้จะกลับมาอยู่เมืองไทย ก็ยังไปๆมาๆอยู่ เรื่อยๆ เพื่อนๆไปกันเป็นกลุ่มๆ เราก็ตามไปด้วย หลังจากครั้งนั้น เลยเกิดความคิดว่ากลับไปถ่ายรูปอีกดีกว่า”
เธอบอกว่า การไปหนล่าสุดนี้ นอกจากไปเปิดโลกเพื่อพบเจอสิ่งแปลกใหม่ที่พบเห็นได้เสมอที่ฝรั่งเศส ยังถือว่าได้กลับไปเยี่ยมเยือนอดีตของตัวเองไปในตัว
“อย่างตอนไปยืนถ่ายรูปกับ ไอ้ไข่ ที่ศิลปิน Miro เค้าทำ ได้กลับยืนใหม่ บอกตัวเอง 40 ปีต่อมาฉันได้กลับมายืนตรงนี้อีก(หัวเราะ) ได้นึกถึงตอนที่เรามาเรียน อาจารย์พามา แล้วจำได้ว่าสนุกแค่ไหน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยกลับไป 2-3 ครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรจริงจัง”
จึงทำให้การไปฝรั่งเศสหนล่าสุดของเพชร มีภาพถ่ายติดตัวกลับมาเป็นจำนวนมาก และถือเป็นบันทึกความประทับใจที่เธอมีต่อศิลปะในฝรั่งเศส นับจากครั้งแรกที่ตกหลุมรัก กระทั่งปัจจุบันที่ยังฝังใจ
ฝรั่งเศสเป็นต้นแบบของศิลปะ เค้ามีมาตั้งกี่ศตวรรษ ถ้าเกิดเราจะย้อนง่ายๆแค่อิมเพรสชั่นนิสต์ซึ่ม ตามมาด้วยโฟวิซั่ม อะไรต่างๆ สารพัดวิซั่ม จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 ศิลปะถึงได้ย้ายจากศูนย์กลางของศิลปะโลกคือฝรั่งเศส ไปอยู่อเมริกา เพราะศิลปินหนีสงครามไปอยู่นิวยอร์กกันหมด
และปัจจุบันฝรั่งเศสมีของแปลกใหม่ตลอด แม้แต่การนำเสนองานศิลปะ ที่เอาของเก่าและของใหม่มารวมกัน จัดนิทรรศการเชิญคนนั้นคนนี้มาตลอด ไปคัด ไปสรรหามา ไม่ว่าจะไปเมืองเล็กเมืองน้อยที่ไหน เค้าก็จะมีศิลปะให้เราดู”
เธอเล่าย้อนอดีตไปเมื่อ 40 กว่าปีให้ฟังอีกครั้งว่า
” เราเคยไปเรียนกับกลุ่มศิลปิน ซึ่งเป็นอาจารย์เด้งๆของฝรั่งเศส และคัดเลือกมาจากในอเมริกา ตอนอยู่ฝรั่งเศส ตอนนั้นเราหายใจเป็นศิลปะเลยก็ว่าได้
ก่อนจะเริ่มเรียน ก็จะมีลงไปทัวร์ชมศิลปะ แค่ 6 คน มีคนหนึ่งเค้าเป็นลูกสะใภ้ของ Painter ที่ดังมากของอเมริกา เป็นนิวยอร์กเกอร์ อยู่กลุ่มเดียวกัน
และเคยไป Private Tour กับศิลปินคนนึงซึ่งเป็นอเมริกันและย้ายไปอยู่ที่ฝรั่งเศสกับสามี ไปเปิดโรงเรียนสอนศิลปะอยู่ที่ปารีส เราเรียนที่ฟงเทนโบล ซึ่งไปเจอกับกลุ่มที่มาเรียนในปารีส แล้วเราไปทัวร์ริเวร่า ด้วยกัน
ปีนั้น Art Tour ริเวร่า มันฝังเข้าไปในใจเราเลย เพราะว่าเราได้ไปทุกแห่ง ทั้งมิวเซียมเปิดใหม่ สตูดิโอของศิลปิน อะไรต่ออะไร เรารู้แหล่งต่างๆเกี่ยวกับศิลปะที่ควรจะไปเที่ยว มันก็เลยฝังใจมา และชอบมาตั้งแต่นั้น”
จึงเป็นธรรมดา ที่เด็กผู้ถูกนำไปปล่อยไว้ ณ บ้านนอกของอเมริกาเช่นเธอในยามนั้น จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจ และหลงใหลในฝรั่งเศส
“ความสวยงามของฝรั่งเศส มันผิดกันเลยกับอเมริกาที่เราเคยอยู่ ตอนเรียน เราอยู่ Miami ส่วนกลางของ รัฐ Ohio ซึ่งเป็นรัฐนึงที่เหมือนกับอยู่ บ้านนอกของกรุงเทพ (หัวเราะ) เวลาไปเรียนประจำ พ่อแม่ก็ส่งไปโรงเรียนที่ มันอยู่ไกล 5 กิโลเมตร ไม่อยู่ใกล้ใครเลย เหมือนไปขังเราไว้ในป่า
เพราะฉนั้นฝรั่งเศส มันก็เลยเป็นอีกโลกนึงของเรา ที่เรามีความประทับใจต่อมันอยู่ตลอดเวลา ไปครั้งนี้ ก็เลยกลับไปเก็บรูปทั้งหมดเลย ไปถึงปราสาทฟงเทนโบล ครั้งแรก รู้สึกว่าชั้นกลับมาเยี่ยมบ้านเก่า กลับมาวังที่เคยอยู่ อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ)”
ภาพถ่ายของเพชรจึงเป็นการมองฝรั่งเศสผ่านสายตาศิลป์
“ เรามองมันจากมุมศิลป์ทั้งนั้นเลย ไม่ได้ไปเก็บภาพแบบนักท่องเที่ยว รูปทุกรูปมันมีศิลปะอยู่ในนั้น และมีครบทั้ง 9 แขนง อย่างรูปพระราชวังแวร์ซาย ซึ่งมีการแสดงนั่น มันก็มีดนตรี เพียงแต่มันไม่ได้ออกเสียงมาให้เราดูในภาพ
มันมีทั้งดนตรี มีแฟชั่น มีคอสตูม เปลี่ยนเสื้อผ้า อะไรต่ออะไร มีการแสดงละคร มียุคสมัย มันอยู่ในนั้นหมด อย่างยายแก่ๆ ที่เป็นคนไร้บ้าน เค้าก็ยืนฟังคอนเสิร์ตข้างถนน ด้านหลังเด็กที่กระโดดเชือก ก็มีเด็กที่กำลังปีนป่ายงานศิลปะ
แล้วอย่างไอ้ประติมากรรม ลูกกลมๆข้างหน้าเนี่ย อันนั้นก็เป็นของศิลปินที่เค้าดังมาก แล้วด้านหลังไปก็เป็นงานประติมากรรมต่อไปอีกชิ้นนึง ส่วนเสานั่นก็เป็นสถาปัตยกรรมของวัง ซึ่งมันขึ้นชื่อ
หรือว่าเดินไปไหน แม้แต่ป้ายโฆษณา อย่างโค้ก ซึ่งติดอยู่ตรงที่รอรถบัส รอรถเมล์ มันก็เป็นศิลปะ ดิฉันเห็นแล้ว แทบจะกระโดดลงจากรถแทบไม่ทัน รีบวิ่งไปถ่าย โฆษณานี้ เรารู้นี่ว่าเป็น Karl Lagerfeld ดีไซเนอร์ใหญ่ของ CHANEL เราเคยเห็นเค้าตั้งแต่อ้วนแล้วก็มาลดความอ้วนจนผอม พอมาเจอคำว่า โค้กไลท์ ด้วย เรื่องราวมันเลยพันกันไปหมด ศิลป์ซ้อนศิลป์ และสิ่งพวกนี้ที่มันทำให้เรามีชีวิตอยู่ เห็นแล้วกรี๊ด เพราะเรา บูชาและรักคนที่เค้ามีความคิดสร้างสรรค์แล้วก็เก่งเรื่องนวัตกรรมมาก”
เพชรให้ชื่อภาพถ่ายชุดนี้ว่า “ศิลป์กระจาย” ซึ่งมีนัยหมายถึง การข้ามยุคข้ามสมัยของศิลปะในยุคเก่าที่ตกทอดมาให้ยุคปัจจุบันได้เสพชม หรือแม้กระทั่งการที่ศิลปะที่ถือกำเนิดจากที่หนึ่ง ถูกเคลื่อนย้ายมาไว้ให้ผู้คนได้เชยชมในอีกที่หนึ่ง รวมถึงการที่ศิลปะแขนงต่างๆถูกพัดพามาเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
“จากยุคพระเจ้าหลุยส์มาจนถึงปัจจุบัน มันก็เป็นการกระจายข้ามยุคข้ามสมัย จะใช้คำว่า กระจาย หรือว่าสืบต่อ ตกทอด มันก็คือกระจาย หรือกระจายจากเมืองถึงเมือง เพราะว่าศิลปะมีแทบจะทุกเมืองของฝรั่งเศส
แล้วอย่างประติมากรรมเป่าแก้วบางชิ้น ที่เป็นลูกปัดแก้ว ก็เป็นแก้วมูราโน่ ที่เป่ามาจากโรงงานเป่าแก้ว จากเมืองที่มีชื่อเสียงของอิตาลี การกระจายในที่นี่จึงหมายถึงการกระจายข้ามประเทศด้วย
รูปที่เห็นเป็นขบวนรถม้าสีม่วง สมัยนู้นมีรถม้า แต่สมัยนี้รถม้าได้กลายมาเป็นงานประติมากรรมของศิลปิน แล้วใช้สีม่วง เพราะว่าเป็นสีของพระมหากษัตริย์ ของ โป๊ป สันตะปาปา แล้วข้างหลังก็คือตึกของพระราชวังแวร์ซาย มันข้ามยุค ข้ามสมัย ข้ามอะไรไปหมดเลย”
ผู้ชมที่ได้ชมภาพถ่ายของเธอ บางคนบอกว่า อยากกลับไปมองฝรั่งเศสในมุมมองแบบเธอดูบ้าง แม้ที่ผ่านมาจะค่อนข้างมั่นใจว่ารู้จักฝรั่งเศสดีพอ ,บางคนบอกว่าอยากจะเดินตามเลนส์ของเธอไป
และบางคนบอกว่า
“ขอบคุณที่พาฉันไปเที่ยวฝรั่งเศส”
+
นิทรรศการ “ศิลป์กระจาย” ภาพถ่ายศิลปะประเทศฝรั่งเศส โดย เพชร ภาธรรัตน์ เปิดแสดง ระหว่างวันนี้ – 13 กรกฏาคม พ.ศ.2555 ณ People’s Gallery ชั้น 2 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร O-2214-6630
Text by ฮักก้า Photo by พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร
>>หนึ่งเสียงของคุณมีความหมาย ใครคือศิลปินไทย ที่คุณชื่นชอบ ใน “ชีวิต” และ “ผลงาน”<<
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW เซคชั่น Celeb Online www.astvmanager.com และ เซคชั่น LIVE หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ Email: thinksea@hotmail.com
Comments are closed.