คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ท่ามกลางวิวทิวทัศน์ที่มองทะลุจากหน้าต่างบานโต ซึ่งแปลงมาจากบานประตู มาเป็นหน้าต่างบ้านของเรานั้น ฉันมองผ่านยอดไม้สูงลิบ ไปยังทิวเขาไกล ทิวเขาแห่งนั้นถูกมองบ่อยๆ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของข้างฝาบ้าน
ภาพเบื้องหน้าที่เห็นนั้นบางทีก็งดงามราวกับความฝัน ในยามเช้าท้องฟ้าครอบคลุมไปด้วยหมอกจางๆ เมื่อแรกตื่นนอนด้วยความเต็มอิ่มจากการที่ได้พักผ่อนเต็มที่ วิวภูเขาที่นอกบานหน้าต่างนั้นช่างดูอบอุ่น เบิกบาน ต้อนรับวันใหม่ของชีวิตเป็นยิ่งนัก…
ในยามสายและยามกลางวัน บรรยากาศจากป่ารอบบ้านนั้น ประกอบไปด้วยเสียกของนกร้อง เสียงของนกบางชนิดนั้นฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ในวัยเด็กกับชีวิตของหลานชาวนาในภาคกลางนั้น ฉันรู้จักและคุ้นชินเพียงเสียงร้องของนกกาเหว่า
แต่ที่บนดอยแห่งนี้ มีเสียงนกประหลาดร้องให้ฉันชอบทำเสียงร้องล้อตามอยู่บ่อยครั้ง…”สวยดี” “จ๋วยดี” เสียงแหลมเล็กที่ดังมาจากป่านั้นร้องเป็นคำชมเพราะพริ้ง เป็นที่รื่นรมย์ชวนสงสัยในหน้าตาของนกชนิดนั้น…แก่ฉันอยู่เสมอเมื่อได้ยิน
นอกจากที่ดินของเราโดยรอบๆ จะเต็มไปด้วยป่าตองตึงแล้ว พื้นที่ด้านหนึ่งที่ถัดไปจากห้องน้ำของเรา ก็ยังเป็นพื้นที่ของป่าชุมชนอีกด้วย..ในขณะที่นั่งทำงานอยู่ใต้ถุนบ้าน ตอนกลางวันฉันมักจะได้กลิ่นอันหอมรื่น..ของดอกไม้ลอยมากับอากาศเสมอๆ โอ..นั่นคงเป็นกลิ่นของดอกไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งจากป่า.. ฉันรักในความงดงามที่ฉันได้สัมผัสจากธรรมชาติเหล่านี้ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน
แต่ในยามเย็นที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำจวนพลบค่ำ ภาพของท้องฟ้าสีเหลืองส้มที่ฉันมองผ่านเลยไปจากกองฟืนอันระเกะระกะกองโต ที่เราได้ไปประมูลมาจากเศษไม้เก่าผุพัง เพื่อนำมาทำฟืนเผางาน และได้วางกองอยู่ที่กลางพื้นดิน ปากทางเข้าบ้านนั้น ทำให้ฉันรันทดหดหู่กับความเป็นจริงที่ไม่สวยงาม บ้านอันปุปะกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เรายังขาดแคลน ไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีเงิน ฉันมีแต่เพียงเพื่อนใจของฉันที่เป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวเท่านั้น….
ท่ามกลางความโดดเดี่ยวลึกๆ ที่ซ่อนอยู่ในจิตใจของฉัน ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นบ้างเมื่อเพื่อนใจของฉันมีเพื่อนฝูงและรุ่นพี่ของเขาขึ้นมาหา ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นล้วนเป็นคนที่เรียนจบมาด้วยกันและคบหากันมาในเส้นทางศิลปะ ที่ต่างมาหาและนั่งคุยเป็นครั้งคราว สิ่งเหล่านี้พลอยทำให้ฉันอบอุ่นใจไปด้วย
ฉันรักกลุ่มคนที่อยู่ในแวดวงการทำงานศิลปะ พวกเขามีความรู้ พูดคุยสนุก ละเอียดอ่อนทางความรู้สึกและจริงใจ..
ส่วนเพื่อนบ้านของเรานั้นมีเพียงไม่กี่หลังคาเรือน พวกเขาล้วนเป็นชาวไทยใหญ่ที่ถูกจ้างให้มาอยู่เพื่อเฝ้าทำสวนและดูแลที่ดินที่อยู่ใกล้ๆ กัน โดยรอบนั่นเอง..
การได้ใช้ชีวิตตามเวลาของธรรมชาติ คือการตื่นนอนเมื่อฟ้าสว่าง และการหยุดกิจกรรมการงานและเข้านอนเมื่อตอนพลบค่ำนั้น ทำให้ฉันได้ประจักษ์ถึงความสดชื่นที่เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างชัดเจน
แต่ก่อนแต่ไรที่ฉันเคยทำงานในห้องสี่เหลี่ยมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน และอยู่แต่ในห้องปรับอากาศนั้น ทำให้ตาของฉันเริ่มมีปัญหาในการสู้แสง เมื่อยามเวลากลางวันที่ฉันจะก้าวเท้าออกนอกคูหา ฉันจะต้องหยุดนิ่งที่หน้าประตูแล้วตั้งหลักมองออกไปข้างนอกครู่หนึ่งก่อน แล้วจึงค่อยเดินออกไปเสมอๆ
และทุกๆครั้งเมื่อตื่นนอนตอนตีสี่ด้วยเสียงของนาฬิกาปลุก ฉันจะลุกขึ้นมาด้วยความงัวเงียและมึนงงศรีษะอยู่ตลอดในทุกๆ เช้า จนเมื่ออาบน้ำสระผมแต่งตัวและเริ่มทำงาน อาการเหล่านั้นจึงจะค่อยๆ หายไปในตอนสายๆ ของวัน และเป็นเช่นนั้นทุกวัน จนทำให้ฉันเคยมีความคิดลึกๆ ว่า ฉันคงมีชีวิตอยู่อย่างยาวนานได้ราวสี่สิบปี เพราะด้วยวัยยี่สิบปลายๆ ในเวลานั้น ฉันก็เริ่มล้ากับสุขภาพของตนเองบ้างแล้วนั่นเอง
แต่เมื่อฉันมาอยู่ที่บ้านบนดอยแห่งนี้ อาการต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นได้หายไปราวปลิดทิ้ง เพราะฉันได้รับของขวัญเป็นความสดชื่นขึ้นมาแทนในทุกๆ เช้าที่ลืมตาตื่น..
ชีวิตของฉันนั้นน่าจะจบลงตรงเพียงแค่นี้ เมื่อฉันได้พบคนที่มีจิตใจดี เป็นคนที่มีความรักต่อกัน และได้อยู่ด้วยกันแล้ว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นเรื่องราวตอนจบ
แต่ชีวิตไม่ใช่นวนิยาย ไม่ว่าจะอยู่เคียงข้างกับใครในทุกๆ เช้าที่ลืมตาตื่น เราก็พบตัวของตัวเอง เขาก็พบตัวของเขา ต่างคนต่างยังมีลมหายใจที่เป็นเครื่องอยู่เคียงคู่กับตัวเองอย่างใกล้ชิดสนิทสนมอย่างที่สุดเกินที่จะพรรณา
สำหรับฉันในเวลานั้นไม่ได้ใฝ่ฝันถึงตนเองเลยว่าจะมาเป็นศิลปิน หรือกำลังเป็นศิลปิน
ฉันเพียงทำงานไปตามความรู้สึกนึกฝัน ไปวันๆ เท่านั้น การทำงานศิลปะถูกทำควบคู่ไปกับการเป็นแม่บ้าน ซึ่งก็เรียกตัวเองว่าแม่บ้านได้ไม่เต็มปากนัก เพราะฉันเองก็หาใช่แม่บ้านตามอุดมคติที่เคยพบเจอในหนังสือ หรือที่เคยเห็นในชีวิตครอบครัวของคนอื่นๆ ซึ่งมีความพรั่งพร้อม
เมื่อเวลาผ่านไป ในบางขณะเวลา ฉันยังแอบคิดว่าตนเองเป็นเหมือนส่วนเกิน ในขณะที่เพื่อนใจของฉันไปไหนๆ ในทุกๆ จะต้องมีฉันติดตามไปด้วยทุกๆ ครั้ง
เพราะบ้านของเรานั้นจะทิ้งให้ใครคนใดคนหนึ่งอยู่คนเดียวไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยวนัก..
นั่นเป็นเพราะฉันไม่มีสังคมอื่นใดกับใครๆ เลย ที่นั่นเป็นเมืองที่เพื่อนใจของฉันอยู่ เพื่อนของเขา ญาติของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันพบเจอนั้นล้วนเป็นของเขา..
ฉันเป็นคนตัวคนเดียวที่มาอิงแอบอยู่กับชีวิตและลมหายใจของเขา..
วันหนึ่งฉันจึงเอ่ยปากขอลงไปสมัครเป็นพนักงานทำงานในโรงแรมที่อยู่ข้างล่างนั้นได้หรือไม่ เพื่อที่ฉันจะได้มีเพื่อนพูดคุยกับคนอื่นๆ บ้าง
ฉันคิดว่าการทำงานในโรงแรมนั้นคงทำงานเป็นบางช่วงของเวลา ที่เรียกว่าเป็น ทำงานเป็นกะ..
เพื่อนใจกล่าวกับฉันว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว จะกลับเข้าไปอยู่อย่างเดิมอีกทำไม..?
ฉันจึงได้ฉุกคิด และพับล้มความตั้งใจที่จะไปสมัครหางานทำเพื่อต้องการจะมีเพื่อนนั้นจดหมดสิ้น
ด้วยเพราะเริ่มรู้สึกลึกๆ ถึงความโดดเดี่ยวของตนเอง ฉันจึงปั้นดินเป็นแจกันรูปกลมๆ แล้วเจาะรูเล็กๆ ไว้สำหรับใส่ดอกไม้ดอกเดียว
แจกันรูปกลมๆ นั้นเปรียบเสมือนก้อนหิน และดอกไม้ดอกเดียวดอกนั้นเปรียบเสมือนตัวของฉันนั่นเอง
ฉันกำลังบอกกับตนเองว่า ดอกไม้ดอกเดียวที่งอกออกมาจากก้อนหินได้นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่มันก็มีอยู่ และมันคือฉัน..
แม้เราจะขึ้นไปอยู่บนดอยแห่งนั้น แต่ก็มีผู้ซื้องานที่เดินทางมาเชียงใหม่ แล้วเดินทางขึ้นไปหาเพื่อนใจของฉันอยู่บ้างเนืองๆ พร้อมทั้งช่วยอุดหนุนซื้องานของเพื่อนใจและของฉันพ่วงท้ายบ้างด้วยเช่นกัน
และแจกันดอกไม้ดอกเดียวที่ถูกปั้นขึ้นมาหลายต่อหลายอันเหล่านั้นได้กลายเป็นของฝากของแถมแก่คนที่ขึ้นมาหาเรา
แทบทุกครั้งที่มีรายได้แม้เพียงเล็กน้อย รายได้เหล่านั้นจะถูกแบ่งปันไปยังผู้ที่มีความจำเป็นมากกว่าเราเสมอๆ
ฉันค่อยๆ เรียนรู้ถึงการมีชีวิตที่ฝืดเคือง ไม่ง่ายงามตามความฝัน..
การมีคนสนับสนุนและคอยติดตามผลงาน แม้จะไม่ได้ซื้อหากันอยู่ตลอดเวลานั้น ช่างมีคุณูปการต่อจิตใจของคนผู้ทำงานศิลปะเป็นอย่างยิ่ง เพราะในห้วงวลาที่กำลังก้าวเดินอยู่ในความเป็นจริงที่ลำบากของชีวิต เพียงแค่การติดต่อทักทายกันในระยะเพียงเสียงโทรศัพท์ถึงกันนั้น ทำให้ฉันชื่นใจ มีกำลังใจแทนเพื่อนใจของฉันทุกครั้ง
เมื่อได้ยินเสียงผู้สนับสนุนซื้องานของเขาได้สอบถามถึงความเป็นอยู่ของเรา ฉันมักนั่งฟังการสนทนานั้นๆ อยู่ใกล้ๆ เพื่อนใจของฉัน และโชคดีก็มีกับเราเสมอๆ แม้จะอยู่บนดอยไม่ใช่ร้านรวงสำหรับขายของ เมื่อมีผู้เคยซื้อผลงานของเพื่อนใจของฉันได้บอกกล่าวที่อยู่ของเราต่อเพื่อนฝูงที่มาเชียงใหม่ และพวกเขาเหล่านั้นได้แวะเวียนไปหาเรา
รวมทั้งเจ้าของแกลเลอรี่เก่าแก่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งก็ได้เดินทางขึ้นไปซื้องานรูปเด็กและเณรของเพื่อนใจของฉัน และซื้องานรูปหญิงสาวดินเผาของฉันติดลงไปเพื่อขาด้วย
ฉันรู้สึกดีใจมากๆ และก็คิดอยู่เสมอว่าเขาคงซื้องานของฉันติดกลับไปด้วยความสงสาร อยากจะช่วยเหลือฉันบ้างนั่นเอง
ในที่สุด…ฉันเริ่มเข้าใจคำว่า “เดี๋ยวมันก็มาเอง” อันเป็นคำตอบของคำถามที่ฉันเคยมีต่อเพื่อนใจ เมื่อถึงเวลาที่เราเงินหมด…
ถ่ายภาพโดย : องุ่น และมณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.