คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
วันเวลาแห่งความทุกข์ตรมของฉันค่อยๆ ผ่านพ้นไปอย่างเชื่องช้า..
ฉันแก้ความเบื่อหน่ายที่จะอยู่กับบ้านเพียง ด้วยการออกไปหาความรู้จากเรื่องราวต่างๆ ในร้านอินเตอร์เน็ต และนั่งหย่อนใจของตนเองอยู่ตามร้านขายน้ำชากาแฟในเมืองหัวหิน ฉันเดินไปเดินมาอยู่ตามตลาดหัวหินในทุกๆ วัน จนพ่อค้าแม่ค้าหลายๆ คนจดจำฉันได้..
ในวันหยุดร้านค้าและถนนในหัวหิน มีครอบครัวของคนกรุงเทพฯ และหนุ่มสาวมากมาย ต่างพากันเดินเกี่ยวก้อยชี้ชวนกันชมสิ่งนั้นสิ่งนี้ระหว่างการเดินเล่นและจับจ่ายซื้อของ
มองจากภายนอก พวกเขาล้วนดูสุขสบาย ส่วนฉันอยู่ในชุดเสื้อและผ้าถุงเก่าๆ ที่ก็เดินปนเปอยู่บนถนนสายเดียวกับพวกเขาเช่นกัน เพียงแต่ฉันไม่ได้เดินไปเพื่อจับจ่ายอะไร
ฉันเพียงเดินเรื่อยเปื่อย..และชอบมองดูผู้คน เป็นอยู่อย่างนั้นในเกือบทุกๆ วัน จนฉันเริ่มรู้สึกเบื่อ..และหันกลับมามองหาคุณค่าในตัวเอง..
ฉันเปิดถุงดินเหนียวที่นำมาด้วย และเริ่มปั้นงานขึ้นอีกครั้ง..การปั้นงานในครั้งนี้ เป็นการปั้นเพื่อ “หนี” จากจุดแห่งความย่ำแย่ทางความรู้สึก ที่ฉันกำลังยืนอยู่..ให้ไกลแสนไกล
ฉันนั่งปั้นงานอยู่ที่บนนอกชานของบ้านพักนั่นเอง จากชิ้นที่หนึ่ง สู่งานชิ้นที่สอง ชิ้นที่สาม และสี่ จนในที่สุดฉันจึงเริ่มมีรอยยิ้มให้กับตัวของตัวเอง
“ฉันกลับมาปั้นดินได้เหมือนเดิมแล้ว” ก่อนหน้านั้น ฉันคิดไปเองว่า เมื่อเกิดการแยกทางกันกับคนรัก ฉันคงจะเห็นทุกๆ อย่างที่เกี่ยวกับงานปั้นดินเป็นของแสลงใจ จนไม่สามารถจะปั้นดินได้อีก
ในวันเสาร์และอาทิตย์ เมื่อคุณชุมพลและภรรยาผู้เป็นเจ้าของบ้านศิลปิน ที่ฉันอาศัยอยู่ ได้เดินทางมาจากกรุงเทพฯ พวกท่านก็มักจะมาพูดจาให้กำลังใจฉันด้วยความเมตตาเสมอ และได้เอ่ยปากกับฉันว่า หากการปั้นงานอยู่บนบ้านตามลำพังจะทำให้ฉันเงียบเหงาละก็ ในวันเสาร์อาทิตย์ หากฉันอยากจะลงไปนั่งปั้นงานที่หอศิลป์ของบ้านศิลปินที่อยู่ด้านหน้าด้วยก็ เชิญตามสบายนะ
เนื่องจากที่หอศิลป์ของบ้านศิลปินนั้น มีงานภาพเขียน และงานศิลปวัตถุโบราณต่างๆ อันเป็นของสะสมของเจ้าของบ้าน จัดวางแสดงไว้ และยังเป็นที่ขายงานศิลปะและเครื่องประดับตกแต่งบ้านเรือนอีกด้วย ดังนั้นจึงมีผู้ที่สนใจงานศิลปะ และนักท่องเที่ยวเข้ามาเดินชมงานและเยี่ยมเยือนไม่ขาด
ฉันจึงรู้สึกอยากตอบแทนเจ้าของบ้านทั้งสอง เพราะในการที่ฉันมาอาศัยอยู่ในบ้านของเขาก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเงินทองอันใดเป็นค่าที่พักเลย การย้ายตัวเองลงไปนั่งทำงานอยู่ในหอศิลป์เฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในหอศิลป์มีสิ่งที่น่าสนใจสำหรับนักท่องเที่ยวมากขึ้น การกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ น่าจะพอเป็นการตอบแทนบุญคุณของเจ้าของบ้านทั้งสองได้
ดังนั้นฉันจึงได้ย้ายตัวเองลงไปนั่งทำงานอยู่ด้านในของหอศิลป์ ในทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ในขณะที่ฉันนั่งทำงานไปอย่างเงียบๆ โดยมี “สำลี” สุนัขแสนรักของฉันนั่งอยู่ใกล้กันไม่เคยห่าง ก็มักจะมีคนเดินเข้ามาหยุดดูและสนใจไต่ถาม ขณะที่บางคนผ่านมาหยุดมอง..แล้วก็ถ่ายภาพขณะที่ฉันกำลังนั่งทำงาน
ในวันหนึ่งฉันก็ได้รับคำเชิญจากช่างภาพผู้หนึ่ง ที่ได้บังเอิญมาพบเห็นฉันกำลังนั่งทำงานปั้น อย่างคนที่เปี่ยมไปด้วยสมาธิ
ช่างภาพผู้นั้นเกิดความประทับใจ จึงไปบอกกับคณะเพื่อนช่างภาพของเขา และได้ขออนุญาตกับทางบ้านศิลปิน เพื่อที่จะมาทำเวิร์กชอปถ่ายภาพ การทำงานของฉัน ฉันตอบรับด้วยความยินดี
ความชื่นชมจากคนที่ได้มาพบเห็นการทำงานของฉัน และการได้ฟังได้คุยกับบุคคลผู้มาแลกเปลี่ยนในขณะที่ฉันทำงาน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความภูมิใจในตัวเองของฉัน ค่อยๆ หวนกลับคืนมา…ท้องฟ้าของต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงาอีกต่อไปของฉัน จึงค่อยๆ สว่างขึ้น
งานใหม่ๆ หลายต่อหลายชิ้นได้ก่อเกิดขึ้น งานชิ้นเล็กๆ ได้ถูกแบ่งไปวางขายบ้างที่หน้าหอศิลป์แห่งนั้น และเจ้าของบ้านทั้งสองก็มักจะช่วยอุดหนุนซื้องานของฉันอยู่เสมอ..
ที่บ้านศิลปิน อ.หัวหิน นั้น มีเตาเผางานซึ่งอดีตเพื่อนใจของฉันได้เคยมาสร้างไว้ และเมื่อถึงเวลาที่งานมีจำนวนมากพอ ที่จะเผาได้ เขาก็ยังเดินทางมาเผางานให้กับฉัน
ก่อนหน้านี้ เมื่อฉันมองดูตนเองในกระจก ฉันเห็นแต่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีท่าทีเศร้าและทดท้อ
ในเวลาต่อมา เมื่อฉันมองดูตัวเองในกระจก ฉันกลับได้พบกับผู้หญิงคนเดิมซึ่งได้กลายท่าทีเป็นคนผู้มีความหวังและกำลังใจ
งานชิ้นเล็กๆ นั้น ฉันได้แบ่งไว้สำหรับขาย ส่วนงานชิ้นใหญ่ขึ้นมาหน่อยที่ฉันชอบเป็นพิเศษ ฉันจะเก็บเอาไว้โดยมีจุดหมายคือการนำงานไปหล่อเป็นบรอนซ์
ฉันต้องการพึ่งโรงหล่อแห่งใหม่โดยที่ไม่ไกลเกินไป..และได้รับคำแนะนำให้รู้จักกับโรงหล่อซึ่งอยู่ในจังหวัดอ่างทอง ในที่สุดฉันก็ได้นำงานดินเผาเป็นจำนวน 5 ชิ้น ไปหล่อเป็นงานบรอนซ์ ที่โรงหล่อแห่งใหม่คือ “เอเชียไฟน์อาร์ต”
นับแต่นั้นเป็นต้นมา จากเดิมที่งานของฉันเคยมีแต่ประเภทงานดินเผา ก็เริ่มมีงานที่เป็นวัสดุบรอนซ์ ออกมาวางจำหน่ายด้วย
แม้การขายงานจะไม่ได้ขายได้อย่างรวดเร็วทันใจ และจะทำให้ฉันมีเงินใช้ได้อย่างต่อเนื่องอย่างสุขสบายก็จริง แต่มันได้ทำให้ฉันรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง ความมีตัวตน และไม่ใช่คนว่างเปล่าอีกต่อไป ความรู้สึกเหล่านี้นี่เอง เป็นสิ่งที่ทำให้หัวใจของฉันสามารถยืนหยัดและสู้หน้าผู้คนได้ อย่างมั่นใจในตัวเอง
แม้จะอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ เพียงไรก็ตาม ความรู้สึกรักและภูมิใจในงานของตัวเองนี้ ช่างเป็นเกราะคุ้มหัวใจที่อ่อนไหวของฉันไม่ให้แปรปรวนได้อย่างประหลาด
เมื่อเวลาผ่านไปเจ็ดเดือนเต็มๆ ฉันจึงเริ่มแข็งแรงพอที่จะคิดหยัดยืนอยู่โดยลำพังได้ ฉันเริ่มคิดถึงการอยู่บ้าน..คิดถึงสถานที่ใดสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นสถานที่ของฉันเองอย่างแท้จริง
ฉันคิดถึงบ้านที่ได้ปลูกไว้ที่สิงห์บุรี จึงได้ขออนุญาตกับเจ้าของบ้านผู้อารีทั้งสอง ในการที่จะขอกลับไปอยู่บ้านของตนเองเสียที เจ้าของบ้านอนุญาตเป็นอย่างดี แต่ก็บอกว่า ฉันสามารถกลับมาอยู่ที่หัวหินได้ทุกเมื่อ
ฉันขนข้าวของใส่รถ อำลาเจ้าของบ้านทั้งสอง..และพี่ทวี เกษางาม ศิลปินซึ่งเป็นผู้จัดการและดูแลงานศิลปะต่างๆ ของบ้านศิลปิน
ฉันและสำลี เดินทางจากหัวหิน มุ่งหน้าไปสู่บ้านที่จังหวัดสิงห์บุรี…การกลับมาในครั้งนี้ ถือเป็นการได้กลับมาอยู่บ้านที่เป็นบ้านของตัวเองอย่างแท้จริง เพราะหลายบ้านที่ผ่านมานั้น ฉันเพียงอาศัยอยู่แต่ในที่ดินของผู้อื่น
พ่อกับแม่ของฉันต้อนรับการกลับมาของลูกด้วยความดีใจ
ความรู้สึกของฉันที่มีต่อญาติ และเพื่อนบ้านว่า อาจจะต้องอับอายต่อพวกเขาในการที่ชีวิตคู่ต้องอับปางลงนั้น สูญหายไปเสียสิ้น
ทุกๆ คนไม่มีใครวางท่าทีอย่างที่ฉันคิดและเป็นกังวลเลยแม้แต่น้อยนิด
บ้านที่สิงห์บุรีของฉันขณะนั้นแม้ตัวบ้านจะเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ห้องด้านนอกก็ยังไม่มีประตูและหน้าต่าง มีเพียงห้องนอนเท่านั้นที่มีหน้าต่างและประตูปิดเปิดได้อย่างปลอดภัย ฉันจึงนั่งทำงานอยู่ในห้องนอนนั่นเอง
กลับมาอยู่สิงห์บุรีได้ไม่นาน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์จากท่านแม่ชี ศันสนีย์ เสถียรสุต ซึ่งท่านได้มีเมตตาชักชวนฉันให้ไปร่วมแสดงงานเพื่อต้อนรับ ในงาน “ผู้นำเยาวชนจากนานาชาติ” ที่กำลังจะถูกจัดขึ้นที่เสถียรธรรมสถาน ณ ขณะนั้น
ฉันตอบตกลงด้วยความดีใจ และนำงานดินเผาที่มีทั้งหมดไปจัดแสดง..การติดตั้งงานเป็นไปอย่างเรียบง่าย และสวยงาม ฉันมีความสุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบรรยากาศที่สวยงามให้สถานที่แห่งนั้น และมีงานหญิงสาวของฉันไปแบ่งปันทางสายตาและจิตใจแก่ ผู้นำเยาวชนต่างๆ จากหลายประเทศ รวมทั้งกับเหล่าเยาวชนผู้เป็นเด็กกำพร้า จากบ้านโฮมฮัก ของมูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์เพื่อเด็กและเยาวชน จาก จ. ยโสธร
ในวันเปิดงานฉันได้รู้จักกับ แม่ติ๋ว – สุธาสินี น้อยอินทร์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฯ แห่งนี้ และเธอได้บอกกับฉันว่า เคยได้ยินเรื่องราวของฉันและเคยตามหาฉัน เพื่อที่จะชักชวนให้ไปทำการสอนเด็กๆ ที่ป่วยและขาดแม่ในมูลนิธิฯของเธอ แต่ก็ยังไม่เคยได้พบฉัน
จนกระทั่งในวันนี้ เธอได้มาพบฉันอย่างไม่คาดฝันและด้วยความบังเอิญ ในขณะที่เธอได้พาเด็กๆ ลูกๆ ในมูลนิธิฯ ของเธอมาเข้าค่ายและปฏิบัติธรรมที่เสถียรธรรมสถาน เธอจึงดีใจเป็นอย่างมาก
เธอได้เอ่ยปากชักชวนฉันให้ไปทำการสอนเด็กๆ ในมูลนิธิฯ ของเธอ เพียงไม่กี่วันก็ได้ หากฉันสะดวกจะไปเมื่อไหร่ ให้โทรหาเธอได้ทันที พร้อมกับได้ยื่นนามบัตรให้
ฉันรับนามบัตรนั้นไว้ ด้วยใจที่แบ่งรับแบ่งสู้….
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.