Art Eye View

มีแต่เราและเงา : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ในท่ามกลางของอากาศยามเช้าที่แสนเย็นสบาย ฉันนั่งอยู่ในสถานที่อันมิใช่บ้าน

จากการที่ได้หลับสนิทเมื่อคืน ทำให้เช้านี้สดชื่นนัก..แม้จะนอนอยู่ในโรงพยาบาล

กลางดึกของคืนก่อนที่ฉันตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย

เห็นแต่เสื้อผ้าสีขาวแขวนเรียงรายอยู่บนราวตาก สายลมพัดเอาเสื้อผ้าเหล่านั้นปลิวไปมา ชุดสีขาวเหล่านั้นไหวเพยิบพยาบตามแรงลมราวกับมีชีวิต

ฉันให้รู้สึกหวาดกลัว วิ่งหนีไปเสียที่อื่น แต่ไม่ว่าจะหนีไปทางใดก็ไม่พ้น กลับยิ่งพบกับชุดสีขาวที่แขวนเรียงรายและปลิวไปมานั่นขวางทางไปจนทั่วในทุกๆ ทางเดินเต็มไปหมด ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความกลัว


ชุดสีขาวเหล่านั้นแกว่งไกวราวกับมันมีวิญญาณสิงสถิตย์ ฉันร้องไห้ออกมาโดยมิได้ตั้งใจ ทั้งกลัวและรู้สึกเหนื่อยล้าที่ในหน้าอกข้างช้าย

ในความมืดนั้นฉันได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเอง

และเสียงของหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ดังตุบๆ ตับๆ แสนน่ากลัว

จิตใจของฉันรับรู้ชัดเจนถึงจังหวะการเต้นของหัวใจตนเองมันยุกๆ ยิกๆ ราวกับเส้นเคลื่อนไหวในจอมอร์นิเตอร์ของโรงพยาบาล มันยุกๆ ยิกๆ ราวกับตัวไส้เดือนที่ถูกขี้เถ้าแล้วสปริงตัวไปมา และมันดังตุบตับ..ราวกับเสียงกลองกำลังรัว

ฉะนั้น ฉันเบี่ยงตัวนอนตะแคงช้าย หน้าอกของฉันเบียดชิดกับฟูกนอน ในร่องรอยทาบทับของเนื้อนวลกับฟูกนิ่มนั้น
แรงสะเทือนในการเต้นของหัวใจดังตุบ ตับ ๆ รัวและ แรง ราวกับว่ามันอยากจะ ออกมาดีดดิ้น อยู่นอกทรวงอก

ฉันไม่รั้งรออีกต่อไป เอื้อมมือควานหายาที่อยู่ในกระเป๋า ฉันยังไม่เคยกินมันสักเม็ด แต่คืนนี้ฉันจะกินมัน

ราวครึ่งชั่วโมงผ่านไป ความขมและเย็นซ่าของเม็ดยาสีชมพูจิ๋วเม็ดนั้นซาบซ่านอยู่ในปลายลิ้นและปากของฉัน

ฉันไม่ได้กินมันแต่เอามันมาอมไว้ที่ใต้ลิ้น ด้วยหวังว่าการอมจะทำให้ฤทธิ์ยานั้นชึมผ่านไปยังหัวใจได้เร็วขึ้นกว่าการกินที่ต้องดูดซึมผ่านกระเพาะ

ความเหนื่อยที่แผ่ซ่านมาจากในทรวงอกข้างซ้ายเริ่มทวีขึ้นๆ เสียงไอค้อกแค้ก ดังมาจากกรงแมวฉันพยุงตัวลุกขึ้นเดินไปที่ห้องข้างนอก เปิดไฟดูเห็นลูกแอ๊ะแมวน้อยที่รักกำลังโก่งตัวไอ

“เป็นอะไรไปลูก หนูเป็นอะไร”

แมวน้อยไอถี่ๆ ติดกันอย่างน่าเป็นหวง ฉันเปิดกรงแมวยื่นมือเข้าไปลูบหลังแมวน้อยนั่น ปากพร่ำรำพันอยู่แต่ว่า

“อย่าเป็นอะไรไปนะลูกๆ”

“บัดชบ!! ทำไมเราต้องมาป่วยพร้อมกันอย่างนี้ด้วยนะ” ฉันกล่าวสบถ ออกมากับตัวเอง

แมวน้อยค่อยๆ ซุกตัวลงนอนอยู่ในอาการปกติอีกครั้ง ฉันยืนขึ้นแล้วพาตัวเองกลับเข้ายังห้องนอน เพียงแค่การเคลื่อนไหวเท่านี้ฉันยังเหนื่อยแสนเหนื่อย

ฉันตัดสินใจโทรเรียกพ่อให้ช่วยพาฉันไปส่งโรงพยาบาล


หมอซักถามอาการในเบื้องต้น วัดการเต้นหัวใจของฉันด้วยคลื่นไฟฟ้า แล้วฉีดยาช่วยลดระดับการเต้นของมันลงมาอย่างเร่งด่วน ฉันกลายเป็นคนไข้ของโรงพยาบาลอีกครั้ง

สายลมพัดเอื่อยๆ ในยามสาย ฉันนั่งอยู่ที่บนเตียง ส่งใจไปบ้าน

คิดถึงหญิงสาวกับดอกไม้แห้งในตู้ของรัก ในท่ามกลางอากาศของยามเช้าเช่นนี้เธอคงสวยงาม แสงแดด สีส้มอ่อนในยามเช้าคงเอิบอาบผิวสีส้มของเธอให้ผุดผ่องนวลใย กลิ่นของดอกรสสุคนธ์ในยามเช้า คงอวลอยู่รอบๆ กายของเธอ แล้วรอยยิ้ม อันอ่อนโยนเจือเศร้านั้นเล่า ก็คงปรากฏอยู่บนริมฝีปากเธออยู่อย่างนั้น

“แม่ดอกรักเร่” ของฉัน กับกล่องของขวัญในมือที่เธอโอบกอดไว้ เธอรู้ไหมว่ามันมี อะไรอยู่ข้างในนั้น สายสร้อยเก่าๆที่ติดมากับตู้ที่เธอห้อยคอนั่นเป็นมาอย่างไรเธอรู้ไหม ของทุกๆ อย่างมันมีการเดินทางของมัน กว่ามันจะมาพบและอยู่กับเราด้วยเหตุบางอย่าง นั่นคือเหตุแห่งการให้และการเห็นคุณค่าอย่างไรเล่า

สิ่งของเล็กๆ น้อยๆเหล่านี้ จึงไม่ตกไปสู่ถังขยะหรือจมหายผุพังไปกับดิน

“ปราถนา…” เธอคงนั่งอยู่ที่นั่น..เท้าที่จิกดอกไม้ไว้นั้น บอกเล่าถึงการอยากได้ในความรักอย่างล้นเหลือ

หลายปีดีดักผ่านมาแล้วที่หัวใจของฉันเคยเป็นหัวใจที่บรรจุแน่นไปด้วยความเปลี่ยวเหงา ถวิลหาความรักความใคร่ เพียรพยายามค้นหามันจากใครสักคน แต่จนแล้วจนรอดฉันก็หามันไม่พบ

ฉันทิ้งร่องรอยแห่งความปราถนาที่แสนหวานนั้นไว้ในเธอ ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนเป็นเรื่องราวแห่งความเหงาและความปราถนา

หญิงสาวที่อยู่ในห้วงของวันเวลาแห่งตู้ของรักอีกตัวนั้นเล่า เธอนั่งอยู่ราวกับกำลังมองเงาของตัวเอง เงาที่ไม่มีวันพลัดพรากจากเธอ เงาของเธอที่เป็นเพื่อนกับเธอในทุกโมงยาม

ฉันคิดถึง “แม่มาลีไร้ชื่อ” เธอยืนสะโอดสะองอยู่ท่ามกลางกองจดหมายรักในตู้นั้น ใบหน้าสวยสะบัดเชิดนั้น หาใช่ใบหน้าแห่งความไม่แยแสต่อสิ่งใด

แต่เป็นใบหน้าแห่งความภูมิใจในความงามและความรัก เธอคือสิ่งสร้างที่ถูกฉันสะกดไว้ด้วยมนต์มายาที่เปล่งจากจิตใจส่วนนั้น…

ฉันคิดถึงบ้านของฉัน คิดถึงพื้นปูนที่เจือสีเขียว

คิดถึงเสียงเพลงแว่วแผ่ว ที่บรรเลงขับกล่อมไปทั่วบ้าน คิดถึงผีเสื้อปีกงามและดอกไม้ คิดถึงหญิงสาวทุกๆ นางในตู้ของรัก.

จวนเที่ยงของวัน ฉันพบหมอและได้รับอนุญาติให้กลับบ้าน

ฉันขับรถกลับบ้านด้วยใจยินดีที่จะได้พบกับงาน..บ้านและสัตว์เลี้ยงของฉัน แต่ในหัวใจของฉันนั้นเงียบเหงาสิ้นดี

แสงแดดในยามกลางวันร้อนแรงทรงพลัง ฉายชัดเงาอันโดดเดี่ยวของฉันที่ทอดตามตัวของตัวเอง ฉันพยายามที่จะหาใครสักคนให้มาฟังเสียงพูดจากหัวใจของฉัน เสียงแห่งความเหงาและสับสน แต่ฉันก็หาไม่พบ..ไม่พบเลยแม้แต่คนเดียว

ฉันกลับมาบ้านของตัวเองอย่างเงียบๆ สิ้นเสียงดับลงของเครื่องยนต์รถ…เสียงร้องเมี้ยวๆ ดังขึ้นมาจากเพดานหลังคา นังเหมียวตัวแม่แมวนั่นเอง มันมารอฉัน ในทุกทีที่ฉันไม่ได้กลับบ้าน นังเหมียวตัวนี้มันจะมารอฉันใกล้ๆ ที่จอดรถเสมอ

ฉันรวบกระเป๋าผ้าที่ใส่ข้าวของไปโรงพยาบาล และถุงยาที่หมอจัดมาไว้ให้กินเพื่อรักษาร่างกายและโรค

แต่จิตใจอันเศร้าและสับสนของตัวเองนั้น ฉันยังมองไม่เห็นยาใดๆ จะบรรเทา

ถ่ายภาพโดย :  ชาญชัย แซ่ฉั่ว

รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It