คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
มันเป็นตอนสายของวันที่สายลมข้างนอกหน้าต่างนั้นพัดมาอย่างร่าเริง และนำเอารอยยิ้มแห่งฤดูหนาวและ เสียงนกเขาตัวใดตัวหนึ่ง กำลังขันคูอยู่ที่ข้างนอก มาด้วย
นี่นับเป็นวันที่สามที่ฉันออกจากโรงพยาบาล และกลับมายังบ้าน ก่อนหน้าวันที่จะออกเดินทางนั้น ใจฉันตุ๊มๆ ต่อมๆ บอกกับตัวเองว่า เรากำลังจะไปรักษา โรคให้หายขาด แต่อีกใจฉันก็หวาดกลัว เพราะมีคำบอกเล่าว่า หลังจากการรักษาแล้วฉันอาจจะไม่เหมือนเดิมก็ได้
เสียงลมพัดกอไผ่ดังซู่ๆ ท้องฟ้ายามนี้ไร้เมฆมาบัง เสียงนกร้องจิิ๊บๆ อยู่ทั่วไปในอากาศ มองหาตัวที่ไหนไม่เห็น
ย้อนนึกถึงหลายวันก่อนที่ฉันเดินทางล่วงหน้าไปก่อนวันรักษาหนึ่งวัน โดยสารรถทัวร์และใส่กางเกงเสื้อผ้ายืดรัดกุมเหมาะแก่การเดินทาง สะพายกระเป๋าสตางค์ผ้าใบเก่าขาดยุ่ยหลายแผล และย่ามผ้าอีกใบหนึ่งสำหรับใส่เสื้อผ้าและของใช้จิปาถะ ก่อนถึงที่พักที่มีเพื่อนผู้ใจดีเอื้อเฟื้อที่หลับนอนอันใกล้กับโรงพยาบาล
ฉันแวะลงทานอาหารญี่ปุ่นที่ฉันชอบก่อนหนึ่งมื้อ เพื่อเป็นการให้กำลังใจตนเอง แต่ก็ทานไปไม่ได้มากนัก ตกกลางคืนก็ไปนอนที่บ้านของเพื่อน และหลับไปอย่างสนิท เช้าวันต่อมาก็รีบจัดแจงไปโรงพยาบาล แต่เช้าตรู่ ทุกๆ อย่างช่างรวดเร็วและง่ายดาย เพราะฉันเป็นคนไข้ที่ผ่านการนัดหมายไว้แล้ว และรอคิวมาถึงสามเดือน เมื่อเสร็จจากการตรวจร่างกายซ้ำอีกครั้ง
ตามกระบวนการของแพทย์แล้ว เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ทำการเข็นฉันไปยังห้องพักผู้ป่วยในทันที
ห้องพิเศษที่ฉันจองไว้นั้น เงียบสงบ สะดวกสบายเหมาะกับการพักฟื้น แต่สีห้องที่เก่าคร่ำไปนั้น ทำให้ฉันนึกกลัวอยู่บ้าง
ในระหว่างนั้นฉันพยายามทำจิตใจให้สงบสบาย ไม่คิดเรื่องงานและเรื่องใดๆ ให้จิตใจต้องว้าวุ่น ตอนบ่ายๆ ทางโรงพยาบาลได้เปิดโอกาสให้พวกเราคนไข้ได้ดูวิดีโอเกี่ยวกับการรักษาอย่างละเอียด พอตกกลางคืนฉันได้รับความเอื้อเฟื้อจากเพื่อน ที่หาคนมานอนเป็นกับฉัน เพราะห้องพิเศษนี้ จะต้องมีคนอยู่ด้วยตลอดเวลา และฉันได้ครอบครัวพ่อแม่ลูกที่น่ารักทั้ง 4 คน มานอนเป็นเพื่อนในตอนกลางคืน
ดึกสงัด ทุกคนหลับสนิทกันหมดแล้ว มีแต่ฉันที่ไม่ยอมหลับ ความเงียบสงัดและหนาวเย็นจากเครื่องปรับอากาศบวกกับความคิดในใจ ทำให้ฉันเป็นทุกข์และหวาดกลัวสุดจะพรรณา ฉันนอนคลุมโปง หดแขนหดขาและขดตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม นึกไปถึงเรื่องราวต่างๆ ของวิญญาณที่ปรากฏตามโรงพยาบาล ที่เคยได้ยินใครต่อใครเล่าให้ฟัง
ความกลัวนั้นแล่นเข้ามาจับขั้วหัวใจ ทรมานเหลือเกิน จนกระทั่งรุ่งเช้า ฉันผ่านคืนแรกของการนอนโรงพยาบาลไป โดยที่ไม่ได้หลับเลย ในเวลาเช้า พยาบาลเข้ามาเจาะเลือดอีกครั้ง และบอกว่า หมอจะมาพาไปในช่วงเช้า ฉันถูดงดน้ำและอาหารมาตั้งแต่เมื่อคืน ความหิวใดๆ ไม่ปรากฏแก่ฉัน จนใกล้ๆ เที่ยงฉันก็ได้รับน้ำหวานหนึ่งแก้วให้ดื่มเพื่อป้องกันมิให้น้ำตาลในเลือดต่ำ แล้วหลังจากนั้น ไม่นาน เจ้าหน้าที่ก็มาพาฉันไป
ฉันนอนอยู่บนเตียงใจก็นึกไปถึงนักโทษประหาร ว่าถ้าความตายอยู่ตรงหน้า แต่ถ้าเราไม่รู้ เราก็จะไม่กลัว แต่นักโทษประหารจะรู้ตัว เวลาถูกนำไปแดนประหาร และช่วงเวลาแห่งการรับรู้นั้นเอง ซึ่งเป็นความทุกข์ทรมานนัก ฉันนึกขอบคุณคนที่เข็นฉันไปอย่างทะนุถนอม เลี่ยงมุมโน้น ออกมุมนี้ เข้าไปในลิฟท์ ออกจากลิฟท์ ผ่านไปยังห้องต่างๆ
จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องที่เขียนว่า “ห้องสวนหัวใจ” ฉันรู้สึกหนาวเย็นไปทั่วทั้งตัว และหนาวเย็นยิ่งขึ้นเมื่อถูกเข็นเข้าไปในห้องนั้น เจ้าหน้าที่แพทย์และพยาบาลปลดเปลื้องชุดคนไข้ออกไปและติดแผ่นผ้าต่างๆ นานที่หนาและเหนียวหนับ ลงบนลำตัวฉันหลายต่อหลายจุด ติดสายของเครื่องมืออันระโยงระยางไว้ที่ตัวฉันมากมาย ฉันได้แต่นอนนิ่ง
เห็นหน้าของนายแพทย์ หลายต่อหลายท่านในห้องนั้น เป็นหน้าของบุคคลผู้เปี่ยมคุณวุฒิและสงบเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ เสียงของแพทย์หญิงที่พูดคุยเรื่องต่างๆ ไปด้วย ทำให้ฉันแสนอบอุ่นใจ
ฉันหลับตาลง ปิดการรับรู้ทางสายตา เหลือเพียงการรับรู้ทางความรู้สึก
“ฉีดยาชานะ เจ็บหน่อยนะ” หูฉันได้ยินเสียง และรับรู้ความเจ็บจากปลายเข็มที่ทิ่มแทงลงมาตรงซอกพับของขาหนีบด้านขวา เข็มแล้วเข็มเล่า เจ็บด้วยปลายเข็มที่ปักแทงลึกลงไป และจากการกด วนหนักๆ ในบริเวณเดียวกันนั้น ในขณะนั้นฉันได้ใช้สติแยกแยะความรู้สึกเจ็บจริงๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกาย ว่ามันยังเป็นความเจ็บที่ฉันทนได้
ไม่ได้เจ็บจนอยากจะกรีดร้อง หรือวิ่งหนีไปให้พ้นเสียแต่อย่างใด ในความเจ็บนั้นฉันยังตอบรับ “ค่ะ” กับแพทย์ที่รักษา ฉันเม้มริมฝีปากไว้แต่ก็พยายามที่จะยิ้มออกมา ด้วยนึกถึงจิตใจของผู้รักษาที่จะมองลงมายังคนไข้ตรงหน้า
ภาพขั้นตอนการรักษาอย่างละเอียดที่ได้ดูไปในวิดีโอเมื่อวันก่อนนั้น ผุดเข้ามาในความทรงจำของฉัน
ฉันใช้สติกำหนดรู้อาการเจ็บตามวิธีการที่ฉันเคยได้ฝึกนั่งสมาธิมาตามการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา แต่ทว่าภาพที่เห็นในวิดีโอ นั้นกลับผุดขึ้นมาทำร้ายฉันให้หวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ภาพของการเสียบเข็มอันยาวที่มีปลายเป็นท่อลึกลงไปในผิวหนังอันบอบบาง และเลือดที่ผุดไหลขึ้นมาปุดๆ ราวกับตาน้ำนั้น ทำให้ฉันแสนทรมาน
อาการนึกคิดที่เกิดขึ้นทำให้ฉันทรมานมากกว่าความเจ็บจริงที่ร่างกายกำลังได้รับเป็นอย่างยิ่ง ฉันรู้สึกถึง หัวใจที่เต้นเร็วและแรงของตัวเอง เสียงดังของหัวใจนั้นดังราวกับจะหลุดออกมาข้างนอกทรวงอก เหมือนมีอะไรบางอย่างไปสัมผัสกระทบที่ตรงหัวใจที่กำลังเต้นแรงนั้น มีความรู้สึกทรมานเกินกว่าจะอธิบายได้ เกิดขึ้นเป็นระยะๆ
บางขณะนั้นนั่นเอง ราวกับว่ามีอะไรมากระแทกลำตัวฉัน “คนไข้กระตุกๆ” ฉันได้ยินเสียงแพทย์พูดกัน
ฉันคิดว่าฉันอาจจะตายไปในเวลานั้นก็เป็นได้ ฉันคิดแล้ววางไว้ “ตายก็ตาย” ฉันไม่มีอะไร
แล้วฉันก็เคลิ้มไป คล้ายกับจะหลับ ในอาการเคลิ้มนั้นฉันเห็นขนมเค็กแสนสวยและน่ากิน ขนมจีบเป็นลูกๆ ที่ช่างน่ากินเสียเหลือเกิน ภาพของกินนั้นมาวนเวียนอยู่ตรงหน้าท่ามกลางอาการง่วง แต่เพียงไม่นานฉันก็ตื่นจากภวังค์นั้น ด้วยเสียงของแพทย์ที่พูดคุยกัน เสียงนั้นช่างสร้างความเป็นมิตรให้กับฉันอย่างล้นเหลือ
ฉันนอนภาวนาและกำหนดรู้ที่เคยฝึกฝนมาในพระพุทธศาศนา ระหว่างซอกพับของขาที่เจ็บด้วยเข็มอันแทงลึก และระหว่างหัวใจที่เต้นแรงและรู้สึกสัมผัสของอะไรบางอย่างเป็นระยะๆ ที่กำลังสัมผัสเข้ากับที่ตรงหัวใจนั้น ตาของฉันนั้นหลับสนิท เป็นการหลับตาอย่างตั้งใจ ตั้งใจที่จะไม่มองขั้นตอนที่กำลังเกิดขึ้นเพราะมันอาจจะทำให้ฉันหวาดกลัวจนสติแตกไปได้ นานเท่านาน จนกระทั่ง ได้ยินคำว่า “เสร็จแล้ว”
เสียงของเครื่องไฟฟ้าต่างๆ อันเป็นเครื่องมือทางการแพทย์หยุดลง ฉันลืมตาขึ้น พบคุณหมอผู้ชายที่ทำการ “สวนหัวใจ” ให้ฉัน เดินห่างออกไปด้วยท่าทีสงบน่าเคารพ คุณหมอผู้หญิงผุ้มีเสียงอันอบอุ่นยิ้มกับฉันในขณะที่กำลังถอดเครื่องมือต่างๆ ที่ทำการรักษาออกจากตัวฉัน คุณหมอถามอะไรบางอย่างฉันจำไม่ได้ แต่ฉันได้กล่าวขอบคุณ และบอกไปว่า
เสียงของคุณหมอทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นใจและรู้สึกถึงความเป็นมิตรมากมาย เมื่ออยู่ในภาวะเช่นนี้
ฉันถูกเข็นไปยังอีกห้องหนึ่ง ได้ยินเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ กล่าวคำว่า “เข็ม out” ฉันก็นึกถึงภาพในวิดีโอ ที่มีเข็มหลายต่อหลายอันปักคาอยู่ที่ซอกพับขาหนึบของฉัน และมันไม่ใช่เข็มเปล่าๆ มันเป็นเข็มที่มีปลายท่อที่สวนเข้าไปในเส้นเลือดคาอยู่ด้วย ???
ฉันหลับตาลงและเริ่มภาวนาอีกครั้ง เพื่อข่มความหวาดเสียวจากภาพในความจำ และอาการเจ็บจริงที่รู้สึก ในขณะจิตนั้น
“เจ็บมั้ยคะ” เสียเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญเป็นหญิงสาววัยกลางคนกล่าวถามฉัน
“เจ็บแต่ทนได้ค่ะ” ฉันตอบ
“น่ารักมาก รู้จักมีความอดทน” เจ้าหน้าที่กล่าวชม
แล้วมันก็เสร็จสิ้นลง… เขาพันผ้าพันแผลชนิดที่หนาเป็นพิเศษและพันมันไว้อย่างแน่นมากไว้ที่รอยแผลบนต้นขาของฉัน แล้วทับด้วยถุงทรายหนักหลายกิโล
ฉันถูกเข็นกลับมานอนยังห้องพัก ฉันมองนาฬิกาเสร็จเสรรพที่ฉันเข้าไปทำการรักษานั้นเป็นเวลาร่วมสองชั่วโมง
แล้วมันก็ผ่านไป… ใช่แล้วมันก็ผ่านไปจริงๆ การรักษาที่ฉันเฝ้ารอคอยมานานถึงสามเดือน กับอาการป่วยที่ทำให้ฉันตกอยู่ในอันตรายและขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิต และการเข้านอนโรงพยาบาลติดต่อกันหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา
บัดนี้โรค “หัวใจเต้นผิดจังหวะ” นั้นได้ถูกรักษาอย่างถูกวิธีการและจะหายขาดแล้ว
ฉันฟื้นตัวรวดเร็วมาก เพียงกินยาแก้ปวดตรงบาดแผลจากการรักษาไปสองเม็ดเท่านั้นและก็ไม่ได้กินอีก อาการปวดมีอยู่แต่ไม่ถึงกับต้องกินยาอีกต่อไป
ฉันนอนพักฟื้นต่ออีกหนึ่งคืน และหลับสนิทมิได้มีอาการกลัวภูติผีปีศาจแบบในคืนแรกอีกเลย
“นายดี” ประติมากร อดีตเพื่อนใจของฉัน มีน้ำใจมารับฉันกลับบ้าน และยังช่วยขนเตาเผาดินเผาของฉันซึ่งกำลังเสียอยู่ไปให้ช่างซ่อมอีกด้วย ท่ามกลางแดดแผดแรงยามบ่าย ฉันยืนมองพ่อและนายดีช่วยกันยกเตาขึ้นรถกันอย่างทุลักทุเล
นายดีเป็นมิตรแท้ยามยากของฉัน เมื่อเขาลากลับฉันยกมือไหว้เขาอย่างสนิทใจ ไม่มีความรักใดๆ แบบอื่นเคลือบแฝงระหว่างเรา มีแต่ความรู้สึกประดุจญาติ และมิตรแท้เพียงเท่านั้น
ฉันเอนกายลงพักผ่อน ในคืนแรกที่ได้กลับมานอนบ้านฉันหลับอย่างสนิทและฝันเห็นแต่สิ่งสวยงาม
ฝันเห็นเหล่านางรำใส่ชุดสีทองอร่าม บ้างยืนร่ายรำ บ้างกำลังแต่งตัว บ้างก็นอนพักผ่อนสำราญใจอยู่กับพื้น ในฝันยังเห็นภาพถ่ายผู้หญิงโบราณอีกภาพหนึ่ง นัยว่าเป็นสาวชาวจีน ใบหน้ารูปไข่นั้นทาด้วยสีขาวเขียนหน้าแสนงามประดุจนางเอกงิ้ว แต่งกายด้วยชุดผ้าเนื้อบางเบาแต่สุดจะงามล้ำ..อลังการ
บ้านของฉันในความฝันนั้นถูกตบแต่งอย่างงดงาม คล้ายดังฮาเร็ม
โอ…ความฝันของฉันนั้นราวกับความจริง มันสวยงามมาก ราวกับนางในรูปปั้นเหล่านั้นของฉันมาร่วมยินดีแซ่ซ้องในการกลับบ้านอย่างปลอดภัยและมีชีวิตใหม่ของฉันกระนั้น
แล้วมันก็ผ่านไป…อุปสรรคต่างๆ นานาๆ ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
วันรุ่งขึ้นฉันนอนหลับไปแม้ในกลางวัน ร่างกายนั้นช่างพร้อมที่จะหลับได้อยู่ตลอดเวลา คงเป็นเพราะผลจากการรักษา จนกระทั่้งตอนบ่ายๆ ฉันตื่นขึ้นมาและทำงานเบาๆ ด้วยการทำความสะอาดตู้ใบใหม่ หยิบงานที่มีมาจัดวาง ปูพื้นตู้ด้วยผ้าลายดอก วางสิ่งของเครื่องใช้เช่นน้ำหอมและเครื่องสำอางค์ลงไปเคียงคู่กับรูปปั้นของหญิงสาว
ข้างในตู้นั้นหอมกรุ่นไปด้วยไอกลิ่นของน้ำหอม และข้างนอกบ้านนั้นเริงร่าไปด้วยเสียงหัวเราะของสายลมหนาว ฉันเฝ้าเก็บพลังใจและความมุ่งหวังที่ถึงพร้อมไปกับวันข้างหน้าที่จะมาถึงอย่างสวยงาม
ในการเจ็บป่วยครั้งนี้มีสิ่งที่ทำให้ฉันได้รับรู้อย่างชัดเจนว่า ความทุกข์อันเกิดจากจินตนาการ กับความทุกข์ที่เกิดขึ้นจริงนั้น แตกต่างกัน
ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจริงนั้นมาให้เราได้สัมผัสและเราได้รู้สึก จะจริงแท้อย่างไรเราจะพบและรู้จักกับมันในขณะนั้นเราจะเผชิญมันได้อย่างกล้าหาญหรือหวาดกลัวเพียงไรขึ้นอยุ่กับกำลังใจและการฝึกจิตใจ
ส่วนความทุกข์ในจินตนาการนั่นต่างหากที่จะทำให้เราทุกข์มากขึ้น กลัวมากขึ้น ทรมานมากขึ้น ด้วยจิตที่ปรุงแต่งไปก่อนแล้วนั่นเอง แม้ว่าความเป็นจริงนั้นยังไม่มีอะไรแต่ความคิดและการปรุงแต่งอันเกิดจากจินตนาการหรือความทรงจำก็ทำให้ทุกข์เราหวาดกลัวจนเจียนตายเอาเสียแล้ว
อย่างเช่นจากการกลัวผี และจากภาพในวิีดีโอที่ฝังอยู่ในความทรงจำของฉันนั่นไง
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.