Advice

โสเภณี 10 แบบในประวัติศาสตร์โลก ตอนจบ/Dr.DEN Sexociety

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN

มาต่อตอนจบ กับอีก 5 แบบที่เหลือกันครับ

6. คณิกา (Ganika)

คณิกาก็คือ เกอิชาในเวอร์ชั่นอินเดียนั่นเอง ผู้หญิงเหล่านี้ชื่นมื่นกับที่ยืนในระดับสูงของสังคม และการมีนางคณิกาไว้ใกล้ๆ ตัวสักคนหนึ่ง มันหมายถึงคุณจะมีโชคดีและความมั่งคั่งตามมา

นางคณิกาจะไม่มีวันได้แต่งงาน และไม่มีวันเป็นแม่ม่าย พวกเธอจึงรอดพ้นจากตราบาปของสังคมในความเป็นแม่ม่าย เพราะแม่ม่ายของชาวฮินดูนั้นถูกพิจารณาว่าเป็นกาลกิณี และถูกห้ามมิให้ปรากฏตัวต่อสาธารณะ

สังคมอินเดียยอมรับการมีโสเภณี 9 แบบ และคณิกาเป็นโสเภณีชั้นสูงสุด นอกจากพรสวรรค์ทางเพศแล้ว โสเภณีชั้นสูงของอินเดียเหล่านี้ยังถูกคาดหวังให้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ ในด้านการแสดงศิลปะอีกด้วย ทันทีที่พวกเธอศึกษาครบจนกระบวนความ ผู้หญิงเหล่านี้ก็จะถูกยกระดับขึ้นเป็นนางคณิกา

ในขณะที่โสเภณีแบบอื่นๆ เป็นเพียงแม่บ้านทั่วไปที่หาลำไพ่พิเศษ เพื่อช่วยเหลือสามีซึ่งควบคุมพวกเธอ หรือไม่ก็เป็นสาวใช้ที่ถูกกำหนดให้รับใช้เจ้านายในทางเพศควบคู่ไปกับการรับใช้ทั่วไป

แต่คณิกาจะได้รับเกียรติให้รับใช้ในราชสำนัก และมีเพลงกับบทกวีที่เขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญความงาม และทักษะของพวกเธอ ในขณะที่พวกเธอรับใช้ชนชั้นสูงของสังคมนั้น พวกเธอก็ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐ นอกจากนี้พวกเธอยังเป็นสมบัติของรัฐด้วย และจะถูกเฆี่ยนหรือปรับถ้าปฏิเสธลูกค้าที่เป็นชนชั้นสูงคนใดคนหนึ่ง

7. โซนาห์ (Zonah)

โซนาห์คือ โสเภณีในคัมภีร์ฮิบรู พวกเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ตรงที่ไม่มีผู้ชายคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ และไม่ต้องรับผิดชอบในการผลิตลูกเพื่อสืบสกุล

โซนาห์มีตัวตนอยู่นอกกฎหมายของคัมภีร์ฮิบรู มีข้อห้ามในคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อสำหรับกำหนดพฤติกรรมของผู้หญิงเหล่านี้

ข้อห้ามที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ห้ามผู้เป็นพ่อขายลูกสาวไปเป็นโสเภณี และถ้าลูกสาวของนักบวชกลายเป็นโซนาห์ เธอก็จะถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นจนตาย นักบวชถูกห้ามแต่งงานกับโซนาห์ แต่ชายอื่นๆ สามารถแต่งงานและมีความสุขทางเพศกับพวกเธอได้อย่างเท่าเทียมกัน

โสเภณีแบบอื่นๆ นั้นประจำอยู่ที่วิหารของเทพเจ้านอกศาสนาฮิบรู ว่ากันว่ามีข้อห้ามมิให้ผู้หญิงชาวอิสราเอลเป็นโสเภณีประจำวิหารเหล่านั้น

8. เฮไทรา (Hetaira)

เฮไทราคือ โสเภณีชั้นสูงในกรุงเอเธนส์ของกรีกโบราณ เนื่องจากการค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายในมหานครแห่งนี้ และด้วยเหตุที่พลเมืองเอเธนส์ไม่สามารถเป็นโสเภณีได้ เฮไทราจึงมักเป็นทาสคนหนึ่ง บางทีก็เป็นผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเอเธนส์ แต่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้เกิดจากชาวเอเธนส์

เฮไทราแตกต่างจากโสเภณีแบบอื่นๆที่ประกอบอาชีพอยู่หลังห้องปิด กล่าวคือพวกเธอมักจะถูกพบเห็นว่าทำงานรับใช้อยู่ในงานเลี้ยง พวกเธอถูกห้ามแต่งงานกับพลเมืองเอเธนส์ แต่สามารถถูกซื้อและปลดปล่อยให้เป็นอิสระได้

แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่เป็นที่ชื่นชมของสังคมก็ตาม สถานภาพเฮไทราของพวกเธอจะไม่มีวันถูกลบล้างไปได้ และถ้าพวกเธอถูกจับได้ว่าแสร้งกระทำตนเป็นพลเมืองเต็มตัว พวกเธอก็จะถูกจับตัวส่งฟ้องศาล ถ้าพบว่ามีความผิดจริงก็จะถูกสั่งให้กลายเป็นทาสไปตลอดชีวิต

เฮไทราถูกซื้อไปเป็นเมียเก็บของผู้มีอิทธิพลชั้นสูงอยู่บ่อยๆ และเป็นที่รู้กันดีว่าพวกเธอถูกจ้างให้มานั่งเป็นนางแบบสำหรับการแกะสลักรูปปั้นเทพีวีนัส ทั้งนี้ก็เพราะความสง่างามเป็นเลิศของพวกเธอนั่นเอง

9. ทาวาอิฟ (Tawaif)

ทาวาอิฟ ถูกรู้จักในฐานะศิลปินนักแสดงในอินเดียเหนือระหว่างศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ทาวาอิฟก็เหมือนกับเกอิชาของญี่ปุ่นเช่นกัน พวกเธอเป็นนักเต้นระบำและนักเล่นดนตรี โดยทั่วไปไม่มีใครคิดว่าพวกเธอเป็นโสเภณี แต่เป็นนักแสดงที่มีกลุ่มผู้อุปถัมภ์ขาประจำแทนที่จะมีลูกค้าขาจร หลายคนร่ำรวย โดยเฉพาะคนที่เลือกผู้อุปถัมภ์อย่างฉลาด

ทาวาอิฟที่มีลูกสาวสามารถส่งต่อมรดกอันมั่งคั่งนั้นได้ และมักมีการสืบทอดอาชีพกันเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ แล้ว การมาจากการสืบตระกูลทาวาอิฟอันยาวนานนั้นเป็นการเพิ่มฐานะทางสังคมให้แก่พวกเธอด้วย

พวกเธอถูกห้ามแต่งงาน แต่สามารถมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับผู้อุปถัมภ์ของพวกเธอได้ ซึ่งทำให้พวกเธอมีสถานะเหมือภรรยาคนหนึ่งทุกอย่าง ยกเว้นทางกฎหมาย เป็นที่น่าสนใจว่าพวกเธอมักจะถูกพบเห็นว่าอยู่เคียงข้างภรรยาตามประเพณีเสมอ เหมือนด้านทั้งสองของเหรียญเดียวกัน

ในขณะที่ภรรยาตามกฎหมายสามารถสืบตระกูลได้อย่างน่านับถือ แต่ทาวาอิฟก็เป็นสาวสวยที่อยู่เคียงข้างกายบนเตียงนอนของบุรุษผู้มีอำนาจวาสนา

10. มุตาห์ (Mutah)

เรื่องของมุตาห์นั้นเป็นความเจ้าเล่ห์แสนกลพอสมควร มันเป็นการแต่งงานชั่วคราวของชาวอิสลาม ซึ่งทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงว่าจะแต่งงานกันแค่ช่วงเวลาหนึ่งตามที่กำหนด สัญญาอาจเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาก็ได้ และส่วนต่างๆ ของการแต่งงานจะถูกตกลงกันไว้ล่วงหน้า รวมทั้งข้อที่ว่าฝ่ายหญิงจะได้รับสินสอดเท่าไร จะมีการแตะเนื้อต้องตัวกันได้แค่ไหน และการแต่งงานจะยืนยาวเท่าใด

ในทางหนึ่ง มันก็คือวิธีที่จะทำให้คนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนการแต่งานเต็มรูปแบบ เพื่อดูว่าพวกเขาจะเหมาะสมกันหรือไม่ โดยไม่ต้องฝ่าฝืนกฎหมายอิสลามข้อใดๆ

บางสัญญาสามารถระบุว่าจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวก็ได้ และบางสัญญาก็กระทำกันภายใต้การจับตามองของพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย บางสัญญาสามารถระบุได้ว่าการแต่งงานครั้งนั้นจะยืนยาวแค่ไม่กี่ชั่วโมง และฝ่ายหญิงจะได้รับค่าตอบแทนด้วย

พูดให้ชัดๆ ก็คือ มันสามารถถูกใช้เป็นการค้าประเวณีแบบหัวหมอเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามทางศาสนาอิสลาม ซึ่งชาวมุสลิมบางนิกายอย่างสุหนี่ต่อต้านเรื่องการค้าประเวณีอย่างแข็งขัน ด้วยเหตุที่ระยะเวลาถูกจำกัดและมีการจ่ายเงิน จึงเห็นได้ชัดว่ามุตาห์ก็คือ ช่องโหว่ทางกฏหมายที่จะทำให้หนุ่มสาวสามารถมีคู่นอนได้โดยไม่ผิดหลักศาสนา คือไม่ต้องแต่งงานกันจริงๆ ก็สามารถมีเซ็กซ์กันได้
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)

พิเศษสำหรับแฟนเพจ! ส่งความสวย เตรียมรับปี58 เชิญทำทรีตเมนต์ฟื้นฟูบำรุงผิวใสเด้งกับ Dersignature มูลค่า 3,800 บาท ฟรี! เพียงร่วมสนุกง่ายๆ เริ่มแล้ววันนี้ – 31 ธค.ศกนี้

 
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
 

Comments are closed.

Pin It