Advice

ศัลยแพทย์คิวทอง “หมอนพรัตน์” ผู้อยู่เบื้องหลังโมหน้า-อัพนม "หญิงแย้"

Pinterest LinkedIn Tumblr

By Lady Manager

การทำศัลยกรรมเปลี่ยนจากมนุษย์หน้าปลวกเป็นหน้าสวยแหล่ม ราวกับดาราไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อมอีกต่อไป เพราะการทำ ศัลยกรรมสามารถเสกชีวิต ให้ดีขึ้นได้ เพราะทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้

งั้น เรามาทำความรู้จักกับคุณหมอคิวทองในยุคนี้กันดีกว่า

น.พ.นพรัตน์ รัตนวราห แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ประจำโรงพยาบาลสมิติเวช หมอนพเรียกได้ว่าเป็นหมอศัลย์คิวทอง รุ่นใหม่ไฟแรง หรือบางคนอาจรู้จักกันในฐานะแฟนหนุ่มของ หญิงแย้- นนทพร ธีระวัฒนสุข พริตตี้เงินล้าน ฉายาเจ้าแม่ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต หมอนพนี่แหล่ะ ที่เป็นผู้ผ่าตัดยกเครื่องทั้งหน้า-นม พลิกโฉมหญิงแย้จากสาวหน้าหมวยบ้านๆ ให้เป็นสาวสวยทุกองศาขนาดนี้

เส้นทางศัลยแพทย์ตกแต่ง ใจรักศิลปะ +ชอบผ่า!

“ผมชอบอะไรที่สวยๆ งามๆ ชอบศิลปะ และผมรู้สึกว่าผมถนัดใช้มือ เพราะอย่างตอนเรียนถ้าให้ผมไปท่องจำยาแบบแนวอายุรกรรม จ่ายยาโน่นยานี่ ผมไม่ชอบ ผมชอบ 'ผ่า' ชอบใช้มือ ผ่าโน่นผ่านี่ ก็เอาสองอันมารวมกันเลยเป็นหมอผ่าตัดศัลยกรรม จะให้ผมเป็นวิศวะ หมอจ่ายยา ผมไม่ถนัด

ในเมืองไทยน่าจะมีหมอศัลยกรรมตกแต่งเมืองไทยประมาณ 200 กว่าคน แต่เกาหลีเขามีเยอะมากเลยนะ เป็นพันคน
คุณหมอนพรัตน์กับแฟนสาว หญิงแย้- นนทพร ธีระวัฒนสุข
ต้องจบหมอก่อน 6 ปี พอจบปุ้บก็ต้องไปเรียนศัลกรรมทั่วไป ของผมเลือกเป็นหลักสูตรแบบเทรนเร็ว แต่จะเทรนเยอะกว่าคนอื่น เพราะคนอื่นจบปุ้บต้องไปต่อข้างนอกเป็นหมอทั่วไป 3 ปีก่อน แล้วถึงจะมีสิทธิ์กลับมาเทรน แต่ของผมจบปุ้บต่อเลย ต้องเรียน 4 ปี ได้บอร์ดวุฒิบัตรศัลยกรรมทั่วไป

จากนั้นต้องมาสมัครเรียนเพิ่มเติมอีกที่จุฬาฯ คือ ไปเรียนศัลกรรมตกแต่งอีก 2 ปี พอจบเสร็จก็ไปต่อศัลยกรรมตกแต่งไปดูงานที่ซิดนีย์ ออสเตรเลียอีก หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ทำ

แต่ปัจจุบันหลักสูตรเปลี่ยนไปนิดหน่อย คือ เรียนศัลยกรรมทั่วไปประมาณ 2-3 ปี แล้วก็ไปต่อศัลยกรรมตกแต่งเลย โดยที่ไม่ต้องสอบบอร์ดศัลยกรรมทั่วไปก่อน นั่นคือ ต้องใช้เวลาทั้งสิ้น 5 ปีเป็นอย่างน้อยในการที่จะจบหมอเสร็จแล้วมาเป็นหมอศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งในเนื้อหาก็จะรวมทุกโรคเลย

เช่น ศัลยกรรมทางมือ ก็เป็นหนึ่งในศัลยกรรมตกแต่ง ศัลยกรรมเลเซอร์ หรือโรคพิการแต่กำเนิด หรือเรื่องของการถูกเผาไหม้ น้ำร้อนลวกก็ใช่ บาดเจ็บบนใบหน้า กระดูกแตกหน้าแตก กระดูกหักบนใบหน้าก็ใช่ และคอสเมติกก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งทุกอย่างเราต้องเทรนทั้งหมดเลย แล้วแต่สถานที่เทรนที่ไหนเค้าจะเน้นตรงไหน หมอที่จบมาก็สามารถทำได้ทุกอย่าง

ข้อดีของคนที่จบแบบลักษณะนี้ เวลาที่จะทำศัลยกรรมอย่างหนึ่ง สมมติเราจะทำหน้า หรือตัดไขมันหน้าท้อง หรือเสริมหน้าอก มันไม่ได้อยู่เฉพาะที่ผิวหนัง แต่คนที่เทรนด้านศัลยกรรมทั่วไปมาก่อน หากพบปัญหาเกิดขึ้น เช่น ดูดไขมันแล้วมันไปโดนท้องข้างใน หมอเหล่านี้ก็สามารถแก้ปัญหา หรือรู้โครงสร้างเพื่อป้องกันไม่ให้มันเกิดปัญหาเหล่านั้นได้ เพราะเขาได้เทรนมาอย่างถูกต้องแล้ว

หรือผ่าบนใบหน้าแล้วไปลดกระดูกกรามหรือเสริมคาง หมอที่จบมาเฉพาะทางนี้เขาก็รู้โครงสร้างล่วงหน้าแล้ว เค้าเคยผ่ามาทุกอย่าง จะรู้ว่าตรงนี้ต้องระวังเส้น ประสาทอะไร ต้องระวัง กล้ามเนื้ออะไร กระดูกอะไรที่มักจะโผล่ออกมา ก็ทำให้ความผิดพลาดต่างๆ เกิดขึ้นได้น้อย หรือถ้าเกิดขึ้นก็แก้ปัญหาได้”

พกรูปดาราโชว์หมอ อธิบายความต้องการได้ดีกว่าคำพูด

“คอนเซ็ปต์ของผมมี 3 ข้อในการทำศัลยกรรม

1) ความต้องการ ความชอบ เพราะทุกคนพูดอย่างเดียวกัน แต่ความหมายจะคนละอย่างกันได้ ผมจะดูความชอบของคนไข้ก่อน คือ ชอบอย่างไร แนวไหน ประมาณไหน ซึ่งผมจะให้ดูจากรูป มันจะอธิบายความหมายได้ดีกว่าคำพูดแบบหลายพันเท่า


ดูจากรูปชอบแบบนี้ไม่ชอบแบบนี้ อันนี้มันสูงไป เตี้ยไป ผมก็พอรู้คอนเซ็ปต์ว่าชอบอย่างไร เช่น เอารูปดารามา หรือดูคนไข้เก่าที่ทำกับผม ผมจะรู้ว่าสเปกเขา คำว่าโด่งมาก น้อย หรือชั้นตาใหญ่ ชั้นตาเล็ก คางยาว สั้น มันจะประมาณไหน บางทีคนไข้บอกเอาจมูกแบบธรรมชาติก็พอไม่ต้องโด่งเยอะ แต่รูปที่เค้าหยิบออกมาแต่ละรูป คือ เป็นจมูกที่โด่งมากๆ ทั้งนั้น ผมก็รู้ว่าความต้องการเขาอยู่ตรงนี้

2) ผมต้องดูโครงหน้าแต่ละคน สไตล์หน้าของแต่ละคน ทำแบบนี้มาแล้วจะเเมทช์กันมั้ย ต้องดูสไตล์หน้าก่อน สมมติหน้าผากเขาสูงเท่านี้ ปากเขากว้างเท่านี้ จมูกเขาควรจะต้องเป็นอย่างไร ซึ่งออกมาแล้วมันจะดูกลมกลืน เขาเรียกว่า คอนเซ็ปต์ออฟบิวตี้ ซึ่งหมอเฉพาะทางด้านนี้โดยตรงเขาจะเรียนเรื่องนี้ 1 บทใหญ่ๆ เลยเพื่อจะได้รู้ว่าอะไรคือสัดส่วนที่เหมาะสมที่เขาศึกษา วิจัยมาแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราต้องยึดตามตรงเป๊ะ เราก็ดูตามความนิยมด้วย

3) เนื้อเขาไหวหรือเปล่า บางคนจมูกสั้นมาก แล้วเขาต้องการยาวจัด ซึ่งจริงๆ ทำไม่ได้ เพราะเนื้อเขามันได้แค่นั้น เราก็จะบอกล่วงหน้าก่อนเลยว่า ตรงนี้ผมดึงแล้วรู้สึกว่าเนื้อมันตึงนะ จมูกสั้นมากนะ ถ้าทำยาวโอกาสเสี่ยงอันตราย เนื้อบาง ดูเป็นแท่ง ไม่สวย มีสูง แต่จะพยายามให้ได้เยอะที่สุดตามที่เนื้อของคนนั้นจะรับได้”

ข้อจำกัดการทำจมูก ต้องคำนึงอะไรบ้าง

“การทำตา ทำจมูกเป็นการศัลยกรรมที่นิยมที่สุดในแถบเอเชียของเรา วิธีการทำ ขั้นแรกคนไข้ต้องมาพบหมอก่อน มาปรึกษาหารือกันว่า ความต้องการให้รูปร่างจมูก ตา เป็นอย่างไร แล้วหมอก็จะต้องตรวจว่าโครงสร้างโดยรวมของคนไข้เป็นอย่างไร

นอกจากผู้หญิงแล้วปัจจุบันผู้ชายแท้มาทำเยอะขึ้น ส่วนใหญ่ก็จมูก ปาก คาง ตาก็มี ทำปากให้บาง ให้ดูเหมือนกระจับ ส่วนจมูกผู้ชายมีทรงไม่เยอะ คือ โด่งตรง แต่อย่าเป็นแท่ง ซึ่งยากตรงนี้ ต้องทำให้เนียน จมูกผู้ชายไม่ต้อง slope เหมือนผู้หญิง


สำหรับการเสริมจมูกก็มีวัสดุหลายชนิดครับ ที่นิยมที่สุดจะเป็นซิลิโคน ซิลิโคนที่ใช้ก็จะเป็น Medical Grade Silicone คือ ซิลิโคนที่ร่างกายไม่ทำการต่อต้าน


ข้อจำกัดจมูกที่ไม่สามารถทำให้โด่งได้มากคือ ส่วนใหญ่คือ บริเวณปลาย เพราะต้องยอมรับว่าเนื้อแต่ละคนมีความยืดหยุ่นไม่เท่ากัน บางคนดูเหมือนยืดได้ แต่ความจริงมันไม่ยืด เนื้อเยอะแต่แข็ง

ถ้าเราทำปลายให้ยาวและโด่งขึ้นไม่ได้ ก็อย่าทำให้ตรงสันจมูกขึ้นเยอะ ถ้าเมื่อไหร่ที่สันสูงกว่าปลาย หน้าจะแปลกทันที เพราะฉะนั้นการทำจมูกต้องให้มีสัดส่วน

อีกอย่างคือ ความหนาบางของเนื้อ ถ้าเนื้อค่อนข้างหนา พอเสริมโด่ง มันก็จะดูไม่เป็นแท่ง แต่ถ้าหนังบางมาก ต่อให้เหลาเนียน มันก็ดูเป็นแท่งได้

และเรื่องโครงหน้า ถ้าคนนั้นหน้าผากแบนมาก ทำสันสูงปุ๊บ หน้าจะแปลก แต่ถ้าหน้าผากโหนกสูง เราก็เติมตรงสันได้เยอะ ให้ออกมายังไงให้ดูสวย

ผมจะไม่ทำอะไรนอกเหนือจากมาตรฐานที่มีอยู่ ปกติในการทำอาจมีปรับนิดปรับหน่อยให้เหมาะสม แต่ไม่มีการสร้างเองขึ้นมาใหม่ เพราะมันมีมาตรฐานของมันอยู่ ถ้าไปทำอะไรที่ผิดเพี้ยนไป โอกาสเกิดปัญหาก็จะมี เอาวัสดุไปทำที่เกินมาตรฐานจริง ที่มีจะเป็นลักษณะมีความผิดปกติ เช่น หน้าผากยุบ กะโหลกยุบ ซึ่งจะมีวัสดุที่ผลิตมาเฉพาะ”

อย่าคาดหวังสูง คนทำศัลย์ต้องผ่า-แก้ 2 รอบขึ้นไปจริงรึ!?

“การผ่าตัดมันมีความผิดพลาดเสมอ ไม่ได้ 100% อย่าคาดหวังสูง ต้องเตรียมใจไว้ด้วยถ้าผิดพลาด แต่เราสามารถแก้ไขได้ มันไม่ใช่การผ่าตัดที่ผิดวิธี มันคือวิธีที่สแตนดาร์ด

จะบอกว่าหมอศัลยกรรมทุกคนในโลกทำแล้วต้องเคยมีปัญหา ถ้าหมอคนไหนบอกว่า ทำแล้วไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยต้องแก้เลย แสดงว่า เขาโกหก เพราะว่าทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด ต้องมีผิดพลาด หรือถ้าไม่ผิดพลาดก็อาจจะเป็นเรื่องของการที่ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ การแก้เป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ แต่ไม่ได้บ่อย

วิธีการป้องกันคือ เราก็ต้องรู้ก่อนว่าชอบอย่างไร อันนี้ก็จะลดความผิดพลาดไปได้ส่วนหนึ่งแล้ว อันที่สองคือ ดูโครงสร้างให้ละเอียดว่ามีปัญหาอะไรบ้าง แต่บางอย่างมันก็เป็นเรื่องสุดวิสัยจริงๆ

ถ้าคนที่ทำจากที่อื่นมา สมมติเขาต้องการแก้ เราก็มักจะแนะนำให้เขากลับไปหาหมอคนเดิมก่อน เพราะหมอคนเดิมเป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างดีที่สุด เขารู้โครงสร้าง รู้ว่าทำอะไรมา ใส่อะไรไปบ้าง จะแนะนำก่อนว่า สามารถกลับไปได้มั้ย แต่ถ้าหมอเขาไม่สะดวกจะผ่าตัดแล้ว เราก็จะดูว่าทำให้เขาดีขึ้นได้มั้ย ถ้าพอจะช่วยเขาได้ก็จะทำ เคสแก้ไขต้องบอกว่า มันก็เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว

สิ่งที่แก้ไขมีทุกอย่างเลย สมมติจมูก 1 อันมันจะเอียงเกิดได้จากอะไรบ้าง ส่วนใหญ่มากสุดจะเป็นเรื่องของฐานด้านล่าง เพราะหน้าคนเราทุกคน 2 ข้างไม่มีใครเท่ากัน จมูกก็เช่นกัน ถ้าทำจริงๆมันก็จะมีปุ่มกระดูกข้างใดข้างหนึ่งที่สูงกว่า ซึ่งถ้าเราเสริมเข้าไปแบบไม่แก้ไขที่ซิลิโคนมันก็เอียงได้ง่าย

อย่างเรื่องของการเซาะโพรงถ้าโพรงไม่ตรงก็เอียงได้ หรือการเหลาซิลิโคน ถ้าเหลาแล้วซิลิโคนไม่สมมาตรกัน พอนานๆ ไปพังผืดรัด มันก็บิดเบี้ยวได้ หรือฐานกระดูกมันมีข้างใดข้างหนึ่งที่เด่นกว่า พอปล่อยสักพักพังผืดเริ่มรัดมันก็บิดได้เช่นกัน เราต้องบอกคนไข้ว่าฐานไม่ค่อยตรงนะ”

หน้าเป๊ะแล้วต้องเบรก! ทำอีกรอบอาจแย่กว่าเก่า

“ถ้ามีโครงหน้าที่เหมาะสม เลือกสไตล์ที่เหมาะกับหน้า แก้ไขจุดบางจุดที่ไม่ลงตัวให้ลงตัวมากขึ้นจนสวยแล้ว ไม่ควรทำอีก ผมไม่ได้สนับสนุนให้คนทำหลายอย่างนะ

มีเยอะหลายคนที่เข้ามาคุยและบอกว่า อยากทำหมดทั้งหน้าเลย ตาก็อยากทำ จมูกก็อยากทำ ปากก็อยากทำ แต่ผมดูแล้วว่าสวยอยู่แล้ว ทำแค่นี้พอแล้ว เราก็จะเบรก หมอจะไม่ชวนทำจุดอื่นต่อ ถ้าบางรายเข้ามารู้ชัดว่าอยากทำจุดไหน เราก็จะไม่ชวนเค้าทำจุดอื่นต่อ เพราะเค้าอาจมีความพอใจแล้ว มีความสุขกับตา จมูก ปากของเค้าแล้ว

หากทำสวยแล้ว เค้าก็ยังไม่พอ อยากได้ตรงนี้อีก ทั้งๆ ที่โอเคหมดแล้ว และทำมากขึ้นๆ ในจุดเดิม ทำอยู่เรื่อย นี่ก็อาจเป็นโรคเสพติดศัลยกรรม แต่ถ้าคนปกติที่ทำ อาจทำหลายอย่าง ทำแล้วเลิก ไม่ทำอีก

การทำศัลยกรรมทุกอย่างถ้าทำแล้วมันไม่มีปัญหาอะไร เราอย่าไปทำบ่อย เราทำแบบพอรับได้ เราอย่าไปคิดว่าเราต้องสวยกว่านี้ โด่งกว่านี้มากขึ้นไปอีก ซึ่งมันไม่ได้คาดหวังอย่างนั้นได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก คือ ทำรอบหน้ามาอาจจะแย่กว่าเดิมก็ได้ หรือทำเสร็จมันจะสร้างปัญหาทำให้เกิดบิดเบี้ยวหรืออักเสบ รอบนี้เราก็ลำบาก

อีกอย่างในการทำศัลยกรรม ผมอยากให้คนไข้อายุเกิน 20 ปีแล้ว ถึงมาทำนะ อยากให้บรรลุนิติภาวะแล้ว เพราะหากยังเด็กโครงสร้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงได้อยู่” หมอนพ กล่าวปิดท้าย
ขอบคุณ ภาพบรรยากาศในห้องผ่าตัดจากเฟซบุ๊ก : หมอนพรัตน์ รัตนวราห (ศัลยแพทย์)
 

>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net

Comments are closed.

Pin It