โดย นพ.กฤษดา ศิรามพุช
อาหารมื้อใหญ่อลัง อย่างโต๊ะจีน, งานแต่ง, ปีใหม่, ฉลองกับเพื่อนหรือบุฟเฟ่ต์กินไม่อั้นทั้งก้ามปู, ซูชิและนานาชาติ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดเรื่องราวทางสุขภาพตามมาได้
มีได้เบาะๆ ตั้งแต่อาหารไม่ย่อย, นอนไม่หลับ, น้ำหนักขึ้น, ติดหวานหรือเกิดอาการไม่สบายต่างๆ นานาซึ่งบางอย่างก็พิลึกกึกกือ อาทิ นอนหลับไม่สนิท, ฝันร้าย, นอนขากระดิก และอีกมาก
สรุปว่าการกินมื้อโตๆ นั้น เป็นความสุขสันต์ในทางสังคมแต่อาจเป็นฝันร้ายแห่งสุขภาพ ซึ่งมีเรื่องที่ควรทราบสักนิดว่ากระเพาะคนเราตอนขยายมีความจุแค่เพียง 1-2 ลิตรขึ้นกับขนาดตัวคน ว่าไปแล้วก็เทียบเท่ากับน้ำดื่มแค่ 4-8 แก้วเท่านั้นเอง
ทว่ากระแสในปัจจุบันนิยมการเสิร์ฟอาหารจานโตขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งถือเป็นความสนุกบันเทิงดังที่เล่าไว้แล้วหรือเป็นความท้าทายคล้ายกินชิงแชมป์
ข้าวจานใหญ่หนักเป็นกิโล, ซูชิซีฟู้ดจานยักษ์แทบยกมาทั้งมหาสมุทร หรือก๋วยเตี๋ยวพร้อมน้ำซุปชามโตที่แทบลงไปว่ายได้
แม้อาหารขนาดปกติในปัจจุบันนี้หลายอย่างก็มีขนาด (Portion size) ที่ใหญ่กว่าสมัยก่อนอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งขนาดของการกินที่นับวันยิ่งใหญ่โตขึ้นนี้มีผลกับ “ทางรอด” ของสุขภาพเป็นอย่างยิ่งด้วย สิ่งสำคัญคือ คนเราไม่ควร “อิ่มจนเกินพอดี” ที่จะเป็นการทำร้ายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว
เพราะเรามีขนาดกระเพาะเท่าเดิม แต่อาหารกลับจานโตขึ้น
แต่ถ้าเราไม่อาจต้านกระแสมหึมาสวาปาม เอ๊ย…การกินแบบมโหฬารในปัจจุบันได้ ก็โหนกระแสมันไปเสียเลย จะได้ไม่ขวางโลกแถมมีความสุขพร้อมสุขภาพดีกับมันได้ด้วย
>>ดังมีวิธีที่ช่วยให้ท่านรับมือกับ “มื้อใหญ่” ดังต่อไปนี้ครับ
1) เริ่มวันด้วยกำลังกาย
ให้เริ่มวันสำคัญนั้นด้วยการออกกำลังเสมอครับ เพราะการออกกำลังดังที่เราทราบกันคือ ช่วยใช้พลังงานออกไป ช่วยไล่ส่วนเกินที่ไม่ต้องการได้ แต่นอกจากนั้นเอ็กเซอร์ไซส์ยังช่วยกระตุ้นการเผาผลาญเสมือนท่านได้มีร่างกายที่พร่องแคลอรีไว้นิดๆ จะได้ไม่เสี่ยงกับการได้รับส่วนเกินเข้ามาเมื่อกินครับ
2) ห้ามขาดมื้อเช้า
การแกล้งลืมมื้อเช้าไปเสมือนได้ผิดนัดสำคัญกับคนรัก เพราะมื้อนี้มีส่วนตัดสินชีวิตของท่านเมื่อต้องเผชิญกับมื้อใหญ่ยักษ์ในตอนเที่ยงวันหรือยามค่ำ โดยคนที่อดอาหารเช้ามีสิทธิ์ที่จะหิวง่ายในมื้อค่ำซึ่งอาจทำให้ท่านเผลอกินกระจายจนกลายเป็นดินเนอร์หายนะต่อสุขภาพได้
3) กินช้าๆ
ไม่ได้หมายว่าให้เคี้ยวกรามยานหรือว่ายานคางกิน แต่ขอให้ท่านใช้เวลาในการกินเพิ่มขึ้นอีกนิด ด้วย กว่ากระเพาะจะบอกสมองให้รับรู้ว่าอิ่มนั้นใช้เวลาราว 15 นาที ซึ่งนั่นถือเป็น “นาทีทอง” ของท่านที่จะทำให้ตัวเองอิ่มก่อนแบบสบายๆได้ ขอให้ใช้เทคนิคเคี้ยวให้บ่อยขึ้นและคอยวางช้อนส้อมระหว่างกินแล้วหันไปคุยกับแขกท่านอื่นบ้างครับ
4) เลือกไฟเบอร์ที่ปรุงสุก
ไม่ได้เกี่ยวกับกันชนรถไฟเบอร์กลาสใดๆ ทั้งสิ้น แต่หมายถึง การเลือกอาหารที่กินนั้นควรให้มีใยอาหารในปริมาณที่สูงพอ เพราะมันมีส่วนช่วยตอบโจทย์ให้ท่านอิ่มแบบไม่อวบ ซึ่งเรื่องนี้ฝรั่งเน้นไฟเบอร์ในแบบต่างๆ มาก แต่ผมขอเพิ่มเทคนิคไว้ว่าไฟเบอร์คือ ผักต่างๆ ที่เลือกนั้นควร “ปรุงสุก” ด้วยเพราะจะช่วยให้ท่านสบายท้องไม่อืดอึดอัดครับ
5) Lean ไว้ก่อน
ท่านที่รักจะเลือกกินทั้ง “คลีน” และ “ลีน” ด้วยก็ยังได้ คือให้เลี่ยงส่วนหนัง,ไขมัน, ส่วนชุบเนย,เกล็ดขนมปัง รวมทั้งของอร่อยชวนหยุดไม่ได้ทั้งหลาย(แฮ่) แต่ไม่ได้ห้ามขาดไปเสียทั้งหมดนะครับ ขอแค่เพลาลงเพราะถ้าคิดว่าจะต้องเผื่อท้องไว้ทานอย่างอื่นด้วยครับ
6) จำกัดดื่ม
การบริโภคแอลกอฮอล์กับอาหารมื้อใหญ่อาจพาให้หัวใจทำงานหนักโดยไม่จำเป็น เพราะการย่อยอาหารก็ต้องอาศัยกาสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงอยู่พอตัวแล้ว การได้เครื่องดื่มเมรัยหรือไวน์ที่มากเกินไปอีกยิ่งบีบให้หัวใจเต้นเร็วรี่ ซ้ำเครื่องดื่มพวกเบียร์ยังมี “แคลอรีสูง” เพิ่มจนล้นเข้าไปอีกครับ
7) ใช้ตัวแทน
เทคนิคข้อนี้แสนง่าย จะช่วยให้ท่านยังคงอร่อยได้ และยังคงความสนุกกับงานมหกรรมบริโภคได้โดยไม่รู้สึกผิด
นั่นคือเลือกอาหารที่ให้รสชาติคล้ายแต่ไม่ทำร้ายสุขภาพ เป็นต้นว่า เลือกกรีกโยเกิร์ตแทนเนยหรือซาวร์ครีมที่อุดมไขมัน เลือกกินถั่วลิสง, อัลมอนด์, วอลนัต, เม็ดกวยจี๊ แทนมันฝรั่งทอดหรือเฟรนช์ฟราย หรือเลือกดื่มน้ำโซดาแทนน้ำอัดลม ครับ
8) เติมน้ำให้พอ
ร่างกายที่ขาดน้ำนอกจากทำให้กระหายแล้วอาจทำให้ “เผลอกิน” ได้ด้วย ขอท่านที่รักอย่าลืมว่าในงานเลี้ยงต่างๆ นั้นบางงานอาจหาน้ำเปล่ายาก
หากท่านปล่อยตัวให้หิวน้ำไปก็อาจจำใจต้องดื่มน้ำหวานที่มีแคลอรีสูงหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้า ซึ่งนอกจากทำให้เรามีห่วง (ยาง) แล้วยังทำให้หิวน้ำหนักขึ้นด้วย
9) กินแล้วไม่นอนเลย
กิจกรรมการกินมื้อใหญ่ ถ้าตามด้วยการเอนตัวหลับตาเข้าภวังค์เลย อาจพาให้เกิดอาการน่ากลัวอย่างกรดไหลย้อน, กรน, หยุดหายใจขณะหลับ ทั้งอาการฝันร้ายหลับไม่สบายนัก
มีหลักง่ายๆ อยู่ก็คือ ถ้ามื้อใหญ่จริงขอให้เว้นห่างจากช่วงนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือจะใช้เทคนิคกินแบบแผ่วๆ แล้วหยุดไปก่อนงานเลิกก็ได้ครับ
10) มองถึงอนาคต
ขอให้ตั้งสติกำหนดความคิดนึกถึงชีวิตและสุขภาพในภายภาคหน้าไว้ให้ดี เพราะความสุขในมื้อนี้ก็จะยังคงไม่หนีไปไหนถ้าท่านมี “สุขภาพดี” ไม่เจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากการกินเกิน และ “กินเพลิน” ซึ่งมีส่วนทำให้เราป่วยจนต้อง “อดกิน” ในอนาคตได้ ให้คิดว่ากินแต่พอประมาณในตอนนี้เพื่อจะได้มีชีวิตยืนยาวได้อร่อยกับของที่ปรารถนาไปอีกนาน
การรับประทานในโลกนี้มีอยู่ 2 แบบ แบบหนึ่งคือ กินอย่างชูชก แล้วก็พกโรคคือ ตามใจลิ้นโดยคิดว่าเป็นการใช้ชีวิตที่คุ้มค่า กับอีกประการหนึ่งคือการกินแต่พอดีคือกินอย่าง “รู้คุณค่าของร่างกาย” รู้ว่าธรรมชาติได้ให้ชีวิตมาเพื่อกินแต่พอประมาณให้ยังชีพได้และทำประโยชน์ให้โลก ซึ่งผู้ที่เลือกการกินในประเภทนี้ถือว่าโชคดี
เพราะได้กำไรชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดครับ
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.