Advice

เรื่องของ“จูบ”/Dr.DEN Sexociety

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN

มนุษย์แทบทุกคนไม่ว่าชาติใดภาษาไหน ล้วนเคยจูบ ถูกจูบ หรือวางแผนจะจูบใครสักคนมาแล้วทั้งนั้น เราทุกคนล้วนฝันหวานเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของครั้งแรก ที่ริมฝีปากของเราได้ประทับกับริมฝีปากของคนที่เรารัก อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับจูบอีกมากมายที่คุณควรรู้เกินกว่าที่คุณเคยคิด ดังต่อไปนี้

จุดกำเนิดของคำนี้

คำว่า “KISS” มาจาก “CYSSAN” ในภาษาอังกฤษโบราณ ซึ่งหมายความตามรูปศัพท์ว่า “To kiss” แต่ไม่มีใครแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า CYSSAN มาจากไหน หลายคนตั้งข้อสงสัยว่ามันอาจจะมาจากเสียงที่เกิดจากการจูบ อือม์ ประเด็นนี้คำว่า “จูบ” ของไทยน่าจะตรงกว่า กล่าวคือเสียงจูบมันดัง “จุ๊บ” มากกว่า “CYSSAN” เป็นไหนๆ

ชาวโรมันมีหลายคำสำหรับการจูบหลายแบบที่แตกต่างกันไป การจูบมือหรือแก้มถูกเรียกว่า “BASIUM” การจูบแบบปิดปากเรียกว่า “OSCULUM” และการจูบแบบดูดดื่มด้วยความเสน่หาเรียกว่า “SAVIO LUM”

ในขณะเดียวกัน ชาวกรีกอาจไม่มีคำที่ใช้สำหรับการจูบโดยเฉพาะ แต่พวกเขาก็มีหลายคำสำหรับความรัก “PHILIA” คือความรักอย่างภักดี เป็นความรักที่คุณให้กับผองเพื่อนและครอบครัวของคุณ

นอกจากนี้ก็ยังมีคำว่า “EROS” ซึ่งหมายถึงความรักแบบเสน่หา อย่างไรก็ตาม เพลโต เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า EROS สามารถถูกใช้ เพื่ออธิบายความซาบซึ้งในความงามของบุคคลอื่นก็ได้ เขายังกล่าวด้วยว่ารักแท้ไม่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของเสน่ห์ในเรือนกาย

ในที่สุด ชาวกรีกก็ใช้คำว่า “AGAPE” เพื่ออธิบายความเข้มแข็งและงดงามที่สุดของความรักทั้งมวล เป็นความรักอันบริสุทธิ์ปราศจากเงื่อนไข และเป็นความเสน่หาที่แบ่งปันกันในครอบครัวและเฉพาะเพื่อนสนิทเท่านั้น

มี 10 เปอร์เซ็นต์ของชาวโลกที่ไม่จูบกัน

เกาะแมงกาเอีย เป็นเกาะที่เก่าแก่ที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิค(อายุประมาณ 18ล้านปี) แม้ว่ามันจะมีผู้อยู่อาศัยมาตลอด แต่คนที่นั่นไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องการจูบ จนกระทั่งชาวอังกฤษแนะนำให้พวกเขารู้จักแบบฝึกการจูบใน ค.ศ. 1700

ทุกวันนี้ ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของวัฒนธรรมโลกมีการจูบกัน อีก 10 เปอร์เซ็นต์ไม่จูบ ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา ตัวอย่างเช่น บางพื้นที่ในซูดานปฏิเสธการจูบ เพราะพวกเขาเชื่อว่าปากคือ หน้าต่างสู่วิญญาณ และพวกเขากลัวว่าจะถูกขโมยวิญญาณโดยการสัมผัสแบบปากต่อปาก

การจูบแบบเอสกีโมอันโด่งดัง (ซึ่งใช้วิธีชนจมูกกันแทนที่จะเป็นปาก) ไม่ได้เริ่มขึ้น เพราะพวกเขากลัวว่าปากของพวกเขาจะแข็งติดกันอย่างที่บางคนเชื่อ มันเกิดขึ้นเพราะ เนื่องจากความหนาวเย็นจัด ชาวเอสกีโมจึงต้องปิดคลุมใบหน้าไว้เกือบหมด เหลือแค่ตาและจมูกเท่านั้นที่โผล่ออกมา จึงต้องประดิษฐ์วิธีการแสดงความรักในแบบของพวกเขาเอง นั่นก็คือการชนจมูก ซึ่งเป็นวิธีจูบแบบไม่จูบที่โด่งดังที่สุดในโลก

การจูบแพร่หลายไปทั่วโลกได้อย่างไร

บรรดานักวิทยาศาสตร์ไม่แน่ใจว่าการจูบเริ่มต้นขึ้นอย่างไร พวกเขาไม่รู้อย่างแน่ชัดด้วยซ้ำว่ามันเป็นพฤติกรรมตามสัญชาตญาณหรือพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ พวกที่เชื่ออย่างหลังคิดว่าการจูบเริ่มต้นจาก “การจูบแบบป้อนอาหาร”ซึ่งแม่จะเคี้ยวอาหารในปากของตัวเองก่อนที่จะส่งเข้าไปในปากของลูกน้อยแบบนก

การจูบในลักษณะการของความรักใคร่ ถูกกล่าวถึงเป็นครั้งแรกในบทกวีของ SUMER ซึ่งเป็นอารยธรรมแรกๆ ของโลก นอกจากนี้การจูบยังถูกบรรยายไว้ในบทกวีรักของอียิปต์โบราณ และแม้แต่คัมภีร์ไบเบิ้ลก็ยังบรรยายถึงการจูบของเจคอปกับเรเชลภรรยาของเขา

นักประวัติศาสตร์เชื่อว่าการจูบน่าจะแผ่ขยายออกไป เมื่ออเล็กซานเดอร์มหาราชรุกรานอินเดีย ซึ่งการจูบเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับชาวอินเดียมาหลายศตวรรษก่อนหน้านั้นแล้ว พูดง่ายๆ ก็คือ ชาวกรีกรับวัฒนธรรมการจูบมาจากชาวอินเดีย มันถูกอธิบายไว้ในคัมภีร์พระเวทถึง “การสัมผัสด้วยปากของพวกเขา” อเล็กซานเดอร์จึงนำความรู้ของการจูบไปสู่โลกตะวันตก และตั้งแต่นั้นมาชาวตะวันตกก็ยังไม่หยุดจูบกันจนถึงบัดนี้

สัตว์หลายชนิดก็จูบกัน

มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตพวกเดียวที่จูบกัน สัตว์หลายชนิดก็มีพฤติกรรมในการแสดงความรักคล้ายๆการจูบของมนุษย์เช่นกัน ลิงชิมแปนซีแสดงพฤติกรรมเหมือนการจูบอยู่บ่อยๆหลังจากการต่อสู้ แบบว่า “ตบแล้วจูบ” ว่างั้นเถอะ จากการศึกษาแสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เฉพาะลิงชิมแปนซี ยังมีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมประเภท PRIMATES ชนิดอื่นๆ อีกมากมายที่ “จูบ” ในวิถีทางของพวกมันเอง

สัตว์ที่ไม่ใช่ PRIMATES บางชนิดก็มีพฤติกรรมเหมือนการจูบเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เมียร์แคท จะใช้ปลายจมูกชนกันและเลียต่อมกลิ่นของกันและกัน เพื่อแสดงความเป็นคู่ผัวตัวเมีย เรื่องนี้สำคัญเป็นพิเศษหลังจากเมียร์แคทตัวหนึ่งกับเข้าสู่ฝูงของพวกมัน เพราะตัวเมียของมันจะเตะมันออกไปอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุผลที่มันทิ้งตัวเมียไปตั้งแต่แรก

เราจะลืมช้างไปเสียมิได้ หนึ่งในสัตว์ที่เฉลียวฉลาดและมีอารมณ์ดีที่สุดในโลก ในช่วงเวลาอันยากลำบาก อย่างเช่น เมื่อมีการตายของสมาชิกในโขลง ช้างจะใช้งวงของพวกมันแหย่เข้าไปในปากของอีกตัวหนึ่งเพื่อเป็นการปลอบใจซึ่งกันและกัน
* ช่วยคลิก Like ด้วยนะคะ เพื่อเป็นแฟนเพจ Lady Manager รับข่าวสารแซ่บๆ ของผู้หญิงในแวดวงสุขภาพความงาม แฟชั่น และความสัมพันธ์ (**)

 
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net
 

Comments are closed.

Pin It