Interview

“กิตตินาถ อมาตยกุล” สาวติสต์! ที่ (กล้า) ฝันใหญ่ แล้วต้องไปให้ถึง

Pinterest LinkedIn Tumblr


ถ้าถามว่าอะไรคือเป้าหมายที่ชีวิตนี้ต้องพุ่งชนให้ได้ “กิ๊บ-กิตตินาถ อมาตยกุล” ลูกสาวคนสวยของ “พีระยศ–กิตติยา อมาตยกุล” ตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า “อยากมีแบรนด์กระเป๋าเป็นของตัวเอง” แต่เส้นทางกว่าจะไปถึงปลายทางแห่งฝันนั้น กิ๊บรู้ดีว่าไม่ง่าย เธอจึงไม่ใจร้อน และเลือกที่จะค่อยๆ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิต จากทุกก้าวที่เธอเลือกเดิน แม้บางครั้งเส้นทางนี้อาจจะต้องอ้อมไปบ้างก็ตาม


หลายคนอาจจะมองว่า เธอโชคดีที่ค้นพบตัวเองเร็ว แต่จริงๆ แล้วกิ๊บเองก็ไม่ต่างจากเด็กทั่วไป ที่เคยหลงทางกับความฝัน

“กิ๊บรู้ตัวมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ ว่าชอบศิลปะ อาจเพราะคุณพ่อก็เป็นสถาปนิก และพี่สาวฝาแฝด (กลอย-กิตตินุช อมาตยกุล) ก็ชอบศิลปะเหมือนกัน แต่เขาจะชอบพวกของกระจุกกระจิก เครื่องประดับ ส่วนกิ๊บจะชอบวาดพวกตัวการ์ตูนน่ารักๆ อย่าง Sanrio คือ ชอบมาก ถึงขนาดฝันว่า โตขึ้นอยากทำอาชีพออกแบบของเล่น แต่พอโตขึ้นก็เริ่มเปลี่ยนแนวมาสนใจออกแบบเฟอร์นิเจอร์” กิ๊บพาย้อนวันหวานสมัยเด็กก่อนเสริมว่า

พอเรียนจบจาก Shrewsbury International School กิ๊บและพี่สาวก็วางแผนจะไปเรียนต่อต่างประเทศ ทั้งคู่เลือกเรียนต่อที่ Fashion Institute of Technology (FIT) นิวยอร์ก โดยกิ๊บเลือกสาขาที่เกี่ยวกับการออกแบบแอกเซสซอรีเครื่องหนัง อย่าง รองเท้า กระเป๋า ส่วนกลอยเลือกเรียนด้านจิวเวลรี ดีไซน์


“จริงๆ ตอนแรกกิ๊บก็ลังเล เพราะอย่างที่บอกว่าเรามาสายชอบวาดการ์ตูน ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ ตอนแรกเลยกะจะเรียนด้านอินดัสเทรียล ดีไซน์ ออกแบบพวกโปรดักต์ แต่พอดีมหาวิทยาลัยที่ได้ ดันไปอยู่อีกเมือง แต่ใจเราอยากเรียนนิวยอร์ก ซึ่งกิ๊บสมัครเรียนสาขาเกี่ยวกับการทำเครื่องหนัง พวกกระเป๋า รองเท้าไว้แล้วได้พอดี คิดว่าน่าจะเข้าทาง ก็เลยตัดสินใจเรียนที่นี่ เพราะถ้าเป็นแนวแฟชั่นจ๋าเลยก็อาจจะไม่ใช่แนว เพราะไม่ค่อยถนัดวาดคนหรือหุ่น”

แม้จะจับพลัดจับผลูเข้ามาเรียน แต่กิ๊บก็สนุกกับโลกอีกใบ ระหว่างเรียนเธอยังได้ไปฝึกงานที่ Calvin Klein อยู่นานถึง 2 เทอม

“จริงๆ ตามหลักสูตรของมหาวิทยาลัยจะให้ฝึกแค่เทอมเดียว แต่กิ๊บอยากเรียนรู้ให้เยอะ เลยฝึกยาว 2 เทอม เหตุผลที่เลือกแบรนด์ Calvin Klein ทั้งที่ตอนนั้นสมัครไปเผื่อถึง 3 แบรนด์ เพราะชอบแบรนด์ Calvin Klein เป็นทุนเดิม ยิ่งตอนนั้นกระแสมินิมอลมาแรง ยิ่งรู้สึกว่าแบรนด์นี้ตอบโจทย์ พอไปฝึกงานจริงก็สนุกมาก ได้ไปเห็นการทำงานของทีมดีไซเนอร์ เรียนรู้การทำงานของแบรนด์แฟชั่นระดับโลก ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากๆ “


หลังใช้เวลา 4 ปี ร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี กิ๊บก็กลับมาเมืองไทย ตั้งใจว่าจะพัก 1 ปี ก่อนจะเรียนต่อปริญญาโท แต่หลังจากอยู่เมืองไทยได้แค่ 3 เดือน กิ๊บก็ตัดสินใจบินกลับไปที่นิวยอร์กอีกครั้ง เพื่อไปลองหางานทำ เธอเริ่มต้นจากการไปฝึกงานที่ Joy Gryson ซึ่งเป็นแบรนด์กระเป๋า ประมาณ 3 เดือน ก่อนจะไปร่วมงานกับ Coach 6 เดือน โดยได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในคอลเลกชัน Runway 1941

“ตอนไปทำงานที่ Coach ก็ได้ประสบการณ์อีกแบบ ที่นี่เขาจะเน้นการออกแบบด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ผิดกับอีกสองแบรนด์ที่เราผ่านมา ที่ยังมีออกแบบด้วยมือบ้าง ช่วงแรกๆ ก็หนักเหมือนกัน เพราะถึงจะเรียนมาทั้งวาดมือและออกแบบด้วยคอมฯ แต่เราก็ยังถนัดวาดด้วยมือมากกว่า แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็ได้ฝึก ที่สำคัญ ยังได้เห็นกระบวนการทำงานของเขา ว่ากว่าจะออกมาเป็นกระเป๋า 1 ใบ ต้องมีกระบวนการอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง เวลาเราออกแบบในคอมฯ แล้ว แบบไหนที่โอเค เขาจะลองพรินต์ใส่กระดาษ A3 เพื่อเอามาลองประกอบเป็นกระเป๋าขนาดจริงว่าโอเคมั้ย ถ้าผ่านก็จะส่งไปลองผลิตเป็นสินค้าตัวอย่างก่อนจะทำขายจริง ด้วยความที่เราจูเนียร์มากๆ เข้าไปก็ยังไม่ได้มีโอกาสโชว์ไอเดียอะไรมาก แต่จะไปช่วยซัพพอร์ตทีมมากกว่า ซึ่งเป็นการเปิดโลกมากๆ”


หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์จนหนำใจ ก็ถึงเวลากลับเมืองไทย เพื่อไปสวมบทนักศึกษาอีกครั้ง กิ๊บบอกว่า ตอนแรกลังเลอยู่เหมือนกันว่าจะไปเรียนต่อที่ไหนดี ระหว่างนิวยอร์กเมืองที่คุ้นเคย หรือจะไปเรียนที่ปารีส ฝรั่งเศส หรือ มิลาน อิตาลีดี

“สุดท้ายเลือกมิลาน เพราะเคยไปปารีสแล้วก็ชอบนะคะ แต่ไม่มั่นใจว่าจะเหมาะกับเรามั้ย แต่ที่มิลาน เรามีเพื่อนอยู่ที่นั่นด้วย ถึงจะเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่กิ๊บก็อยากรู้ภาษาเขาด้วย เลยไปเรียนภาษาก่อนครึ่งปี ก่อนจะไปต่อ Fashion Management ที่ SDA Bocconi School of Management อีก 1 ปี เหตุผลที่เลือกเรียนด้านนี้ เพราะอยากต่อยอดความรู้ที่มีจากที่เน้นเรื่องดีไซน์ การผลิต มาเรียนรู้เกี่ยวกับการขาย การตลาด รวมไปถึงการบริหารจัดการสต็อก”


พอเรียนจบก็กลับมาเมืองไทย กิ๊บเริ่มต้นงานแรกที่ Club 21 ในสายงาน Merchandise ซึ่งกิ๊บยอมรับว่า เป็นวิชาที่ไม่ชอบที่สุดตอนเรียน เพราะเน้นตัวเลขเยอะ แต่ก็ทิ้งไม่ได้ ยิ่งถ้ามีเป้าหมายคืออยากสร้างแบรนด์กระเป๋าของตัวเอง

“ยิ่งไม่ถนัดเลยยิ่งต้องฝึกค่ะ พอมาทำงานจริงก็ได้เรียนรู้เยอะมาก เจอพี่ๆ ที่เก่ง Excel ขั้นเทพ ช่วยต่อยอดทักษะให้เยอะ และยังได้เห็นการทำงานที่ครบลูปตั้งแต่ไปซื้อสินค้าจนมาวางขาย หลังจากทำได้ 1 ปี ก็มีคนมาทาบทามให้มาเป็น Operation และ Merchandise ที่ Tiffany and co ด้วยความที่ชอบแบรนด์นี้อยู่แล้ว เลยตัดสินใจลาออกมาทำที่ Tiffany and co ได้ปีกว่าแล้วค่ะ”


ถามว่าวางแผนจะเริ่มต้นธุรกิจเมื่อไหร่ กิ๊บบอกว่า จริงๆ วางแผนว่าจะทำงาน 2 ปี แล้วเริ่มสร้างแบรนด์ของตัวเอง แต่มาเจอวิกฤตโควิด-19 เลยต้องพับแผนการไปก่อน เพราะตอนนี้ก็ยังไม่ได้วางแผนไปไกล ยังไม่ได้มีชื่อแบรนด์ในใจ

“สมัยอยู่นิวยอร์กก็มีออกแบบกระเป๋าเอง ทำเอง ใช้เอง และก็ออกแบบให้คุณแม่ เพราะตอนอยู่ที่โน่นเรามีอุปกรณ์ มีโรงงานที่จะดีลได้ เลยทำให้สมัยก่อนเวลาจะซื้อกระเป๋าเลยค่อนข้างคิดเยอะ เพราะเราเรียนมา เราจะรู้เยอะ แบบนี้ก็คิดว่าทำได้ แบบนั้นก็ทำได้ไม่ยาก แต่พอกลับมาเมืองไทย อาจจะยากหน่อย เพราะไม่มีอุปกรณ์ เคยคิดไว้ว่า ถ้าวันหนึ่งจะเริ่มทำแบรนด์จริง ๆ อาจจะต้องลงทุนซื้อจักรที่เย็บหนังได้ แล้วก็อุปกรณ์ที่ช่วยให้สามารถขึ้นแบบที่บ้านได้ เพื่อที่จะได้ประหยัดต้นทุนในการทำกระเป๋า โดยคอนเซ็ปต์ที่วางไว้คือ จะเน้นการผสมผสานของสีสันต่าง ๆ ที่เราชอบแทน จะว่าไปก็คิดถึงงานดีไซน์กระเป๋าเหมือนกัน เพราะงานที่เราทำตอนนี้ ก็เป็นอีกฝั่ง ไม่ได้เน้นการออกแบบเลย”


ชวนคุยเรื่องงานมาพอหอมปากหอมคอ ถือโอกาสชวนอัปเดตไลฟ์สไตล์ส่วนตัวกันบ้าง กิ๊บออกตัวเลยว่าเป็นสายกิน ชอบตระเวนไปหาร้านอร่อย และคาเฟ่เก๋ๆ ถ้าไม่ติดโควิด-19 ก็ชอบเดินทางไปท่องเที่ยว ชอบชอปปิ้ง โดยเฉพาะ ของวินเทจ ซึ่งถ้าเป็นของแฟชั่น อย่าง กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า เห็นแล้วแพ้ทาง

“กิ๊บชอบพวกของวินเทจอยู่แล้ว สมัยอยู่มิลานจะชอบไปชอปตามตลาดที่ขายของมือสอง เพราะบางครั้งเราอาจจะได้ไอเทมที่ไม่เหมือนใครกลับมาไม่พอ ยังได้กลับมาค้นหาสไตล์ของตัวเอง เพราะสไตล์การแต่งตัวของกิ๊บจะเน้นมิกซ์แอนด์แมตช์ บางครั้งก็แมตช์ระหว่างชิ้นที่เป็นเฟมินีนมากๆ กับชิ้นที่ดูแมนสุดๆ ไปเลย อีกหนึ่งเสน่ห์ของวินเทจคือ ได้รักษ์โลก ช่วยลดการผลิตของใหม่ๆ ซึ่งกิ๊บก็ตั้งใจว่า ถ้าทำแบรนด์ของตัวเองเมื่อไหร่ อาจจะมีส่วนที่ทำเป็นแนววินเทจ หรือนำผ้าที่เหลือจากโรงงาน ไม่ใช้แล้ว มาผลิตด้วย”

สุดท้ายนี้ แม้ไม่รู้ว่าเส้นทางแห่งความฝันของตัวเอง จะเป็นจริงเมื่อไหร่ แต่กิ๊บเชื่อว่า การที่ได้ต่อสู้เพื่อพาตัวเองไปทำในสิ่งที่ชอบในทุกวัน จะทำให้มีพลังที่พร้อมขับเคลื่อนตัวเองไปข้างหน้าอยู่เสมอ เมื่อไหร่ที่ท้อก็แค่เตือนตัวเองว่า เราอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร ทำตรงนี้ไปทำไม พอคิดแบบนี้ เลยทำให้ทุกวันของเรามีความหมาย” กิ๊บทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It