หน้าฝนอย่างนี้ ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวด้วยการเดินชมแมกไม้นานาพันธุ์ รวมถึงชอบสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด “สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้ที่อื่นๆ เพราะตั้งแต่ ปี 2536 ที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เริ่มก่อตั้งขึ้นมา ก็มีผู้มาเยี่ยมชมศึกษาธรรมชาติและแวะมาพักผ่อนหย่อนใจกันอย่างไม่ขาดสาย
การเดินทางเข้ามาก็แสนสะดวกเพียง 27 กม. จากตัวเมือง จ.เชียงใหม่ ใช้เวลาประมาณ 40 นาที โดยเส้นทางหลวงหมายเลข 107 เลี้ยวเข้าสู่ถนนสายแม่ริม-สะเมิง สวนพฤกษศาสตร์ ตั้งอยู่ที่ กม.ที่ 12 ด้านซ้ายมือ
เมื่อมาถึงสวนแห่งนี้ ด้วยขนาดของพื้นที่ที่กว้างขวางกว่า 6,500 ไร่ ดังนั้น ผู้ที่มาเยี่ยมเยือนสามารถใช้บริการรถรางที่ทางสวนจัดไว้รอต้อนรับ ตั้งแต่บริเวณทางเข้าด้านหน้า หรือใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ก็สามารถขับรถยนต์เที่ยวชมได้ในแต่ละจุดเช่นกัน โดยจุดที่ควรจะแวะและให้เวลามากเป็นพิเศษ เพื่อจะได้ทำความรู้จักกับพืชพันธุ์อย่างจริงจังนั้น อยู่ที่ “อาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ” ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แบ่งเป็นโรงเรือนย่อยๆ หลายหลัง
อย่างเช่น “เรือนกระจกใหญ่” หรือ “เรือนป่าดิบชื้น” ที่จำลองบรรยากาศของป่าดิบชื้นขึ้นมาได้ค่อนข้างเสมือนจริง มีการสร้างน้ำตกพร้อมกับปลูกต้นไม้หลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะ พืชพื้นถิ่นทางภาคใต้ของไทยที่หาชมได้ยาก เป็นต้นว่า ใบไม้สีทอง หรือ ย่านดาโอ๊ะ เมื่อเวลาที่ใบของมันต้องกับแสงอาทิตย์ ก็จะสะท้อนออกมาเป็นสีทองเหมือนดังชื่อของมัน หรือ ดอกดาหลาขาว ก็เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของเรือนแห่งนี้เลยก็ว่าได้
เช่นเดียวกับพืชในตระกูลปาล์ม อย่าง ปาล์มเจ้าเมืองตรัง ก็ค่อนข้างตื่นตาน่าสนใจ ซึ่งพบครั้งแรกใน จ.ตรัง โดยผู้เป็นเจ้าเมืองในสมัยก่อน จึงได้เรียกตามชื่อข้างต้นนั่นเอง และความพิเศษอีกอย่างของเจ้าต้นนี้ก็คือ ขนาดของใบที่ใหญ่โตถึงขนาดที่ว่า สามารถเอามาปูนั่งแทนเสื่อได้กันเลยทีเดียว
ส่วนอาคารกระจกหลังอื่นๆ ก็ยังมีพืชพันธุ์ที่สวยงามแถมยังแปลกตาให้ได้ชมมากมาย อาทิ พืชตระกูลบีโกเนีย หรือว่า “ส้มกุ้ง” ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ตรงความสวยงามของใบ ซึ่งที่เห็นเด่นชัดคงจะเป็น “ส้มกุ้งกำมะหยี่หลังแดง” ที่ใบมีลักษณะคล้ายกำมะหยี่ ด้านบนจะมีสีเขียวส่วนด้านหลังเป็นสีแดง บางทีถ้ามองด้วยตาอาจจะดูไม่รู้แต่ถ้าลองสัมผัสด้วยมือดูแล้ว จะรู้สึกเหมือนเรากำลังลูบผ้ากำมะหยี่ดีๆ นี่เอง และอีกชนิดซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกันก็คือ “ส้มกุ้งอินทนนท์” ที่สร้างจุดเด่นด้วยดอกสีส้มอมแดง ก็สามารถแย่งซีนจากพืชต้นอื่นๆ ได้ไม่น้อย
ก่อนที่จะไปยังส่วนอื่นๆ ภายในสวนแห่งนี้ ยังมีพืชในอาคารกระจกที่ไม่ควรพลาด ไม่ว่าจะเป็นพืชกินแมลง อย่าง ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง หรือในเรือนจัดแสดงสับปะรดสี ที่ปลูกไว้เพื่อความสวยงามทั้งดอกและใบรวมถึงเรือนพืชทนแล้ง ซึ่งเป็นตระกูลจำพวก กระบองเพชร เรือนไม้ประดับมงคลเรือนสมุนไพรไทย และโรงเรือนกล้วยไม้และเฟิร์น
หากเดินชมจนเหนื่อย สามารถแวะมานั่งพักกันได้ที่ อ่างเก็บน้ำแม่สาวารินทร์ เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยทางสวนกำลังวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำ ให้เป็นพิพิธภัณฑ์บ้านโบราณเพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปะและวัฒนธรรมโดยเฉพาะของชนกลุ่มน้อยต่างๆ ในประเทศไทย และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคอีกแห่งหนึ่งต่อไป และเมื่อไม่นานมานี้ ทางสวนยังได้เปิดพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ ที่จัดแสดงเนื้อหาเกี่ยวกับโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ชาติพันธุ์วิทยา และศิลปกรรมต่างๆ อีกด้วย
นี่เป็นเพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เอาเป็นว่าใครที่ชื่นชอบและหลงใหลในความงามของพืชพันธุ์ต่างๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แวะไปเที่ยวที่ “สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์” เปิดให้บริการทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ เวลา 08.30-17.00 น. รับรองไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน
Text by : ASTV ผู้จัดการรายวัน: สังคม-สตรี
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.