คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในบางคราวที่ฉันมีความรู้สึก อันโดดเด่นบางอย่างบางเรื่องผุดขึ้นมาในใจ ฉันไม่รั้งรอที่จะเขียนมันเอาไว้
หากอยู่ในที่ที่ไม่มีสมุดหรือปากกา ฉันก็จะจดจำแว่บของความรู้สึกอันโดดเด่นนั้นไว้ และรีบเขียนออกมาไว้เป็นข้อความในทันทีที่พบปากกาและสมุด
ในขั้นแรกนั้นจะเป็นการเขียนไว้ในวงของความรู้สึกอย่างครอบคลุมโดยคร่าวไว้ก่อน
แล้วฉันก็จะมานั่งอ่านซ้ำทวนไปมาและคิดหาคำที่มีสำเนียงเสียงที่ลื่นไหลผสมกลมกลืนกันไปได้กับประโยคนั้นๆ
เช่นนึกหาคำที่ตัวอักษรตัวสุดท้ายของประโยคแรก ออกเสียงคล้ายกันกับตัวอักษรตัวแรกของประโยคที่ตามมา
ฉันเองก็ไม่คิดมาก่อนว่า เรื่องราวต่างๆ ที่ขีดเขียนมาจากภายในนั้น มันจะกลายเป็นบทกวีไปได้ แต่มันก็ทำหน้าที่ของมัน และได้ก่อเกิดขึ้น เพื่อควบคู่ไปกับงานปั้นหญิงสาวของฉันได้เป็นอย่างดี
ในบางครั้งความรู้สึกอันสวยงามนั้นก็เกิดขึ้นเมื่อฉันผ่านไปพบเห็นแสงสีทองอันอบอุ่นของท้องทุ่งนา
บางครั้งความรู้สึกอันปิติอย่างเปี่ยมล้นนั้นก็เกิดขึ้นเมื่อฉันได้ประสบพบเห็นการกระทำคุณงามความดีใดๆ ของผู้คน
บางครั้งความรู้สึกอันแสนเศร้าและทรมานก็เกิดขึ้นเพียงเมื่อฉันได้พบเห็นความยากลำบากของชีวิตสัตว์
และบ่อยครั้งที่ฉันดื่มด่ำอยู่กับความรู้สึกอันเกี่ยวกับความรักที่ได้ผุดขึ้นมาในหัวใจของตนเอง…
ฉันมักมีคนที่ฉันได้ตกหลุมรักเอาไว้ในใจอยู่เสมอ โดยที่ฉันไม่ปรารถนาให้ใครคนที่ฉันตกหลุมรัก จะต้องมีตัวตนอยู่ในโลกความเป็นจริง
ฉันแค่มีไว้ในใจและเป็นเครื่องมือในการทำงานของฉัน ความรู้สึกว่าได้รักใครสักคนทำให้โลกส่วนตัวของฉันสวยงามขึ้น และมีบางสิ่งบางอย่างไว้ให้ใจได้เกาะเกี่ยว
ฉันอาจพูดได้ว่า ความสมหวังทำให้ความถวิลหาอันดื่มด่ำ ที่จะพึงมีสำหรับฉันลดเลือนไป
ฉันรู้จักกับความถวิลหาในสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาตั้งแต่เด็กๆ ในวัยเด็กฉันถวิลหาการได้อยู่กับพ่อและแม่ และฝันถึงวันคืนเหล่านั้นอย่างใจจดใจจ่อ และอนิจจา เมื่อฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นิสัยเช่นนี้ก็ได้กลายเป็นนิสัยประจำตัวของฉันไปแล้ว
ยามอาทิตย์อัสดงนั่งลงฝัน
หลังประตูที่แง้มไว้ ข้างในคือโลกส่วนตัวของฉัน
มีสีเขียวอ่อนจางอย่างแก้วโบราณ
มีสีชมพูอ่อนหวานหวามให้คลุกเคล้า
มีสีดำจางๆ บางและเบา
มีความเหงาเป็นความสุขและความงาม
มีพื้นที่ความอ้างว้างเพาะเลี้ยงจินตนาการ
มีเสียงดนตรีขับขานหวานๆ แว่ว
มีเสียงนกเจื้อยแจ้วเป็นความฝัน
การเป็นคนมอมๆ แมมๆ ไม่มั่งไม่มี
บางทีก็ทำให้ได้พบ “น้ำใจ”
บางครั้งบางคราว
บางทีบางหนที่ฉันดูราวคนยากไร้
ฉันกลับพบคนผู้มากมีน้ำใจอันงดงาม
ยามสายแสงแดดจาง
ช่อดอกปีบเป็นพวง ดอกที่บานแล้วเริ่มห้อยดิ่งลง พร้อมจะร่วงหล่น..
กระรอกน้อยห้อยหัวลงแทะไท้ยอดอ่อนที่แทงออกมาจากลำต้น ของบุหงาส่าหรี
ในสรรพสัตว์และสรรพสิ่งมีการดำเนินชีวิตและเป็นไปในแบบที่มันเป็น
ที่กระต๊อบริมน้ำ มีหนูตัวหนึ่งติดอยู่ในกรงดัก
ฉันภาวนาขอให้คนที่ดักมันจงนำมันไปปล่อย
ในขณะที่เราอยู่อย่างปลอดภัยและเป็นสุข
ในขณะนั้นก็มีชีวิตอื่นๆ ที่ตกอยู่ในความทุกข์และอันตราย
ความโกรธและความเกลียด ผลักดันให้คนทำในสิ่งที่ตนอาจไม่เคยคิด
ความเมตตาก็ทำให้ใจของคนคนเดียวกันนั้นทำในสิ่งที่เกื้อกูลและดีงาม
พรุ่งนี้..
ฉันจะโอบอุ้มหัวใจไปที่ “ตู้ส่งรัก”
มีช่องเปิดรับอยู่สองช่อง คือ “เที่ยง” กับ “ไม่เที่ยง”
จะใส่ช่องไหนหนอ
หัวใจของฉันจึงจะไปถึงเธอ
น้ำเป็นของปลา
ฟ้าเป็นของนก
ฉันมีที่อยู่เล็กๆ
ข้างในหัวใจเธอ
ปรารถนาใดในโลกนี้ คือเธอ
ปรารถนาได้พบเจอ เพรียกพร่ำ
ปรารถนาฝากจูบนี้ ให้จำ
ปรารถนาลึกล้ำ ด่ำลึก ในเธอ
มหาหงส์ สะเลเต ต๋าเหินเจ้าเอย
ดอกขาวละออองค์คงช้ำ
ค่ำนี้คืนนี้มีฝนพรำ
กลีบช้ำช่อลู่ลงสู่ดิน
เจ้าดอกไม้ยามค่ำ
ได้รู้จักกับภาวะแห่งการเลือนหาย
ไปจากสิ่งใดสิ่งหนึ่งของมันเอง
ด้วยเหตุผลแห่งความกลัว
กลัวไม่เป็นที่รัก
กลัวถูกปฏิเสธ
กลัวความเป็นจริง
มันจึงละเลยเฉยเสีย ต่อแสงแดดอันอบอุ่นและงดงามในยามเช้า
และเลือกบานในตอนกลางคืนอย่างเงียบๆ
ค่ำคืนนี้ มีดวงจันทร์ เต็มดวง
ระหว่างบทสนทนาท่ามกลางแสงจันทร์
ฉันมองดวงจันทร์ที่บ้านของฉัน
เธอมองดวงจันทร์ที่บ้านของเธอ
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 1 แล้วนะเออ
มีสายใยลึกลับที่เกิดระหว่างเธอกับฉัน
ฤา จะเป็นอิทธิฤทธิ์แห่งแสงจันทร์
ที่เชื่อมตรงต่อหัวใจเธอหัวใจฉัน
จึงรู้สึกแสนจะผูกพันกับเธอ
ฉันอยากขอเป็นเพียงเมฆอยู่ใกล้ๆ
แต่จะไม่..บดบังเธอ..
ดึกสงัดของยามราตรี
เสียงของมวลน้ำวิ่งพล่านเร็วแรง จากประตูระบาย
เสียงของกบเขียดและแมลงกลางคืนดังกว่าเสียงเต้นของหัวใจ
เสียงของความคิดยิ่งใหญ่กว่าเสียงใดๆ
มันครอบคลุมเป็นวงกว้างเทียบเท่ากับพื้นที่ของอากาศรอบๆ กาย
มีคนถามฉันว่า ทำไมชอบปั้นผู้หญิงเปลือยกาย
ฉันตอบว่ามักมีภาพสรีระของผู้หญิงผุดขึ้นมาในความรู้สึกของฉันเสมอ
และฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสามปีทีผ่านมานั้นได้มีหนังสือ บทกวีเล่มหนึ่งได้ถูกตีพิมพ์ออกมา
ในหนังสือเล่มนั้นประกอบไปด้วยบทกวีเกี่ยวกับความรักอันงดงามซึ่งประพันธ์โดย คุณศักดิ์สิริ มีสมสืบ กวีซีไรท์ ในปี 2535 จากบทประพันธ์ชื่อ มือนั้นสีขาว ได้ประพันธ์ไว้ซึ่งบทต่างๆ แห่งความรักอันงดงามมากมายในหนังสือเล่มนั้น โดยมีภาพถ่ายงานปั้นหญิงสาวของฉันซึ่งถูกถ่ายอย่างงดงามเช่นเดียวกันโดยช่างภาพ คือ คุณเกรียงไกร ไวยกิจ
หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า “หลงรักชั่วชีวิต” เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่เหมาะจะเป็นเพื่อนกับใครซักคนที่อาจกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่บนรถไฟ
หรือเป็นหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน และในทุกแห่งหนของคนทุกคนที่เคยรู้จักกับความรัก
“ตกหลุมรัก”
ฉันตกลงไปในหลุมรัก.. เป็นหลุมที่ขุดขึ้นเองเพื่อดักใครบางคน
จุกเจ็บและมอมแมม มืดมน..จนร้องไห้
หลับไหล..อยู่ก้นหลุม
ในหลุมรักนั้นช่างงดงามและแสนสุข
บางวันฉันเป็นนางไม้ บางวันฉันเป็นนางฟ้า
บางเวลาย้อนไปเป็นเด็ก
ดอกไม้ทุกดอกดูสวยไปหมด
แม้ไม่หอม ก็เหมือนหอม
แม้โดดเดี่ยว ก็เหมือนอบอุ่น
ถ่ายภาพโดย มณีดิน และ เกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.