คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ดอกพวงชมพูช่อน้อย สั่นไหววิบๆ อยู่ในอากาศของยามเที่ยงวัน แสงแดดเอิบอาบใบไม้ที่อยู่ลดหลั่นกันให้เปล่งแสงทอประกาย
แม้ใบไม้บนต้น..ก็ยังมีต่างสี บางใบเหลืองจวนจะเป็นสีน้ำตาล บางใบเขียวสดอย่างคนที่กำลังเติบใหญ่เจริญงาม บางใบเป็นใบอ่อนน้อยๆ ราวกับเด็กเล็กๆ ในเวลาเที่ยงตรงของวันนี้ กลับเป็นเวลาที่ฉันเพิ่งจะตื่นนอน เป็นเพราะฤทธิ์ของกาแฟสดแก้วเดียวแก้วนั้นแท้ๆ ที่ทำให้ฉันนอนไม่หลับ
ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงรุ่งเช้า ฉันตัดสินใจออกไปหาอะไรกินที่ตลาดเล็กน้อย แล้วกลับมาปูที่นอนง่ายๆ ด้วยผ้าห่มที่กลางบ้าน แล้วนอนหลับไปในเวลาเช้า ก่อนหลับตาฉันก็หวนนึกถึงสาเหตุอันเนื่องมาจาก ร้านขายกาแฟสดเจ้าประจำที่ริมถนนสายทุ่งนา เกิดเมียไม่อยู่เพราะมัวเฝ้าดูอาการ
ลูกที่ไม่สบาย ทิ้งร้านไว้ให้หนุ่มน้อยผู้เป็นผัว ซึ่งปกติเป็นช่างซ่อมรถ มาคอยชงกาแฟช่วยขายแทน ในเช้านั้นเจ้าหนุ่มรุ่นหลานผู้ใจดีคนนั้นตั้งอกตั้งใจบดและชงกาแฟให้ฉันอย่างขมีขมัน แล้วส่งแก้วกาแฟร้อน แก้วนั้นให้ฉัน พร้อมๆ กับบอกกล่าวว่า
“นี่ผมแถมให้พี่พิเศษเลยนา” ด้วยค่าที่ฉันเป็นลูกค้าประจำและยังบอกกล่าวให้คนอื่นๆ ไปซื้อกาแฟที่ร้านของเมียเขาอีกด้วยนั่นเอง ฉันถามว่า “ราคาเท่าไร” พ่อหนุ่มรีบบอกว่า “ยี่สิบบาท” ฮื้อ..ยี่สิบบาทอะไร ฉันยื่นเงินให้ไปสามสิบบาทแล้วจิบกาแฟและจากมา (ฉันนั้นเป็นคนมีอุปนิสัยที่เมื่อซื้อของจากใครคราใด ก็จะถามราคาของที่ตัวเองซื้ออยู่ในทุกๆ ครั้งที่จะจ่ายเงินเสมอๆ เนื่องด้วยฉันมักคิดว่า วันใดราคาอาจเปลี่ยนไปหรือเขามีอะไรพิเศษใส่ไปก็ได้และราคาอาจไม่คงเดิมเช่นนั้นและฉันจึงต้องถามมันก่อนจ่ายเงินทุกๆ ครั้้ง)
ฉันขับรถกลับบ้านและจิบกาแฟแก้วนั้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงบ้านแล้วก็ยังไม่หมด ฉันเลยหยิบเอาก้อนน้ำแข็งในตู้เย็นใส่เข้าไปอีก จากกาแฟร้อนที่ดื่มไม่หมดก็ได้กลายเป็นกาแฟเย็นไปอีกแก้ว…เป็นอันว่าพ่อหนุ่มนั่นเขาชงกาแฟแถมให้ฉันอย่างปากว่าจริงๆ….และนี่เองที่เป็นที่มาของการนอนไม่หลับ แม้จะนอนหนึ่งสองสาม…นอนนึกพุทโธ..พุทโธ อะไรก็แล้วแต่อีกสารพัด จนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขันบอกเวลาเช้าตรู่ฉันจึงยังตาค้างอยู่อย่างนั้น ฉันนอนนึกขำขัน ภายในเรื่องราวสาเหตุของการนอนไม่หลับของตัวเอง…..
ตื่นมาตอนเที่ยง ก็เห็นแมว “ลูกแอ๊ะ” นอนหลับปุ๋ยอยู่ใกล้ๆ ปกติ ลูกแอ๊ะจะต้องซุกซนจนฉันตื่น หากเอาเขามานอนใกล้ๆ แต่นี่วันนี้ลูกแอ๊ะกลับไม่ซุกซนเอาเสียเลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่ตอนสายที่มาร้องเรียกฉันที่หน้าประตู เมื่อเปิดให้เข้ามาก็เข้าไปนอนอยู่บนพรมเช็ดเท้าและหลับไปเหมือนอย่างเด็กเล็กๆ
ฉันตื่นขึ้นมาและนอนมองการหลับของแมวน้อยอย่างเงียบๆ แมวตัวนี้เป็นแมวที่ได้รับความรัก จึงเป็นแมวที่ให้ความรักได้ต่อแมวตัวอื่น ในปกตินิสัยของแมวตัวนี้ที่ฉันเห็น คือเมื่อเขาเดินไปเจอพี่เจอน้องร่วมท้องแมวด้วยกัน ก็จะเป็นฝ่ายเข้าไปทำการทะนุถนอมดูแลเลียหู เลียหน้าเลียตา เลียตัวแขนและขาของพี่แมวน้องแมวของตัว กระทั่งแมวผู้เป็นแม่ของตัวอยู่เสมอ และทำราวกับว่าแมวผู้เป็นแม่ของตัวนั้นเป็นแมวลูกแมวตัวเล็กๆ เสียอย่างนั้น
หลายครั้งหลายหนที่ฉันนั่งมองพฤติกรรมและเห็นนังเหมียวตัวแม่แมวนั้น นอนหลับตาพริ้ม รับการปรนนิบัติจากลูกของมันตัวนี้อย่างมีความสุข เป็นเพราะแมวลูกแอ๊ะตัวนี้ เป็นแมวที่ได้รับความรัก ทุกๆ คืนฉันจะเอาเธอเข้ากรงนอนพร้อมกับนังเหมียวตัวแม่ตั้งแต่เล็กๆ พร้อมกันกับแมวพี่แมวน้องด้วยกันอีกสองตัว แต่เมื่อโตขึ้น แมวทั้งสองนั้นก็มักจะชอบหนีหายในเวลาที่ฉันจะจับเข้ากรงนอน ฉันจึงเลิกจับแมวสองตัวนั้นและปล่อยให้เขาอยู่อย่างอิสระ ยังคงขังให้นอนในกรงอยู่แต่แมวแอ๊ะกับแม่ของตัวเท่านั้น และความใกล้ชิดที่มันได้รับจากแม่ของมันนั่นเอง ทำให้แมวแอ๊ะเป็นแมวพิเศษ ที่เรียนรู้การได้รับความรักและรู้จักให้ความรักและดูแลแมวอื่นเป็น
ฉันนึกถึงบทสนทนาของฉันกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีประวัติของเขาที่ขาดทั้งพ่อและแม่ เมื่อลืมตาขึ้นมาดูโลกก็พบแต่พ่อแม่บุญธรรมที่ชุบเลี้ยง เขาเคยถอดใจปรารภในส่วนลึก ถึงชะตาชีวิตของตนเองอย่างน้อยอกน้อยใจว่า เขาเป็นแค่เพียงแรงงานในบ้านคนหนึ่งเท่านั้น ไม่เคยได้รับความรักอย่างที่เขาต้องการเลย ในเวลาที่เขาเห็นครอบครัวใดที่มีพ่อแม่ลูกที่อบอุ่น เขาจะสังเกตุและตกตะกอนทางความคิดของตัวเองว่า เพราะพ่อแม่ของเด็กนั้น เกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นได้รับความรัก เมื่อมีลูกเด็กที่เกิดเป็นลูกจึงได้รับความรักเต็มเปี่ยมอย่างที่เขาเห็น และต่อไปเด็กคนนั้นก็จะเป็นคนที่อบอุ่นและรู้จักให้ความรักแก่คนอื่นๆ เป็น ความรักที่เด็กได้รับนั้นจะสามารถสืบทอดไปยังคนอื่นๆ ได้
ฉันจึงเถียงแย้งเพื่อนผู้นั้นไปว่า มันไม่จำเป็นหรอกนะ ที่ถ้าหากคนมีพ่อแม่แล้วคุณจะต้องอบอุ่นหรือได้รับอ้อมกอดอยู่เสมอไป
ฉันยกตัวอย่างตัวฉันเองที่มีทั้งพ่อและแม่ แต่ฉันก็ไม่เคยมีเรื่องของการถูกกอดถูกให้ความรักจากพ่อและแม่อยู่ในความทรงจำเลยแม้แต่น้อย
แม้กระทั่งการแตะเนื้อต้องตัวระหว่างฉันกับพ่อแม่นั้นก็ไม่มีอยู่ในความทรงจำ
นั่นอาจเป็นเพราะที่ฉันได้ถูกส่งมาอยู่กับย่าตั้งยังจำความไม่ได้ และเมื่อเติบโตเริ่มจำความได้ ในความทรงจำของฉันก็มีแต่เรื่องราวของตัวเองที่ซุกซนอยู่ตามลำพัง สัมผัสที่ฉันได้รับจากผู้ใหญ่ก็คือก้านไม้เรียวที่ฟาดลงมาบนก้นของเด็กซนๆ เช่นฉันก็เท่านั้น
และเมื่อเติบโตขึ้นจนได้ไปอยู่กับพ่อแม่ ฉันก็เลยวัยของการเป็นเด็กเล็กๆ ที่จะโผเข้าหาอ้อมกอดของพ่อแม่ไม่ได้เสียแล้ว เพียงแค่คิดสิ่งเหล่านั้นก็กลับทำให้รู้สึกเก้อเขินเป็นอย่างยิ่ง
ฉันพยายามบอกกล่าวกับเพื่อนผู้นั้นว่า…
การไม่ได้รับความรักนั้นไม่ใช่ประเด็นที่เราจะบอกว่า เราจะให้ความรักแก่ใครไม่ได้ หรือเราจะไม่เป็นคนประสบความสำเร็จในเรื่องความรักหรอกนะ
และฉันก็หวนนึกถึงคนคนหนึ่งที่ฉันเคารพและศรัทธา เธอคือผู้หญิงที่อุทิศตนเพื่อเด็กๆ ที่ชื่อว่า “แม่ติ๋ว”
ตอนฉันเจอแม่ติ๋วครั้งแรกในงานแสดงงานของฉันที่สถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งนั้น เมื่อมีคนแนะนำให้เรารู้จักกันกันเธอก็บอกกับฉันว่า “ขอกอดหน่อย” และเธอก็อ้าแขนเข้ามาสวมกอด ฉันนั้นเป็นคนที่ไม่มีประวัติความทรงจำเรื่องของการถูกโอบกอดเช่นนี้เลยแม้แต่น้อยนิด ก็ได้แต่ยืนให้เธอกอดอย่างเก้ๆ กังๆ และไม่รู้จักการกอดตอบ
และเวลาที่ฉันเจอเธอครั้งใดเธอก็จะบอก “ขอกอดหน่อย” อย่างนี้เสมอ
จนกระทั่งเมื่อฉันได้ไปที่มูลนิธิของเธอ ที่ จ.ยโสธร และได้พบเด็กๆ พวกเด็กๆ เหล่านั้นจะวิ่งมากอดฉันและบอก “ขอกอดหน่อย” เช่นเดียวกัน ฉันเริ่มชินและรู้จักพฤติกรรมของการกอดที่มูลนิธิที่คนทั่วไปรู้จักกันดีในชื่อ “บ้านโฮมฮัก” แห่งนี้
ในขณะที่ครั้งแรกนั้นฉันเพียงเป็นผู้ไปสอนปั้นให้กับเด็กๆ ตามคำขอของแม่ติ๋ว ขณะกำลังนั่งๆ สอนปั้นอยู่นั้นก็จะมีเด็กๆ ชอบเข้ามากอดฉัน บางคนกอดไม่กอดเปล่า ชอบเอาศรีษะมาถูซุกไซ้อยู่ตามหลังและไหล่ ฉันผู้ไม่คุ้นชินกับกับถูกกอด ค่อยๆ เรียนรู้พฤติกรรมเหล่านั้น
จนในเวลาต่อมาฉันได้กลายเป็นกรรมการคนหนึ่งของมูลนิธิ และด้วยความจำเป็นต่อหน้าที่เช่นนั้นทำให้ฉันต้องเดินทางไปที่นั่นบ่อยๆ ในระยะนั้น บางคราวที่มีเวลาว่างแม่ติ๋วได้เคยพาฉันไปที่เขาพระวิหาร ในตอนนั้นอาการมะเร็งของเธอยังไม่สู้ดีนัก ท้องป่องบวม และเดินเหินอย่างช้าๆ บางวันก็ตาบวมนัยตาขาวเป็นสีแดง และฉันสังเกตุว่าเธอไม่ดื่มน้ำ…
เราค่อยๆ เดินขึ้นเขาพระวิหารจากข้างล่างขึ้นไปทีละก้าวๆ จนขึ้นกันไปได้ถึงยอดบนสุด ในระหว่างทางที่เดินขึ้นไปแม่ติ๋วเธอก็คุยให้ฉันฟังไปด้วย ถึงวัยเด็กของเธอ …
“ติ๋วมีคุณพ่อที่หล่อสมาร์ทมาก…ท่านเป็นข้าราชการมียศมีตำแหน่งใหญ่โต และต้องย้ายไปตามที่ต่างๆ เมื่อติ๋วเกิดมาก็ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อแล้ว เห็นแต่คุณแม่นั่งร้องไห้อยู่ทุกๆ วันในห้องพระ ภาพที่คุณแม่นั่งร้องไห้นั้นถูกจดจำอยู่แต่ในความทรงจำของติ๋ว จนกระทั่งอายุได้เก้าขวบติ๋วเป็นเด็กเกเรมาก จนคุณแม่ต้องพาให้ไปอยู่กับคุณพ่อ
ที่บ้านคุณพ่อนั้นมีแม่เลี้ยงและลูกๆ ใหม่ของคุณพ่อ ติ๋วไปอยู่ที่นั่นอย่างเด็กที่โดนกลั่นแกล้งอยู่ตลอดเวลา เพราะคุณพ่อไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ท่านเป็นข้าราชการต้องคอยออกตรวจและคลุกคลีกับชาวบ้านอยู่เสมอ เมื่อเวลาคุณพ่อกลับมา ติ๋วอยากจะวิ่งไปหาคุณพ่อ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะมีแม่เลี้ยงคอยกีดกัดอยู่ ติ๋งจึงได้แต่เห็นลูกๆ ใหม่ของคุณพ่อที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน
ส่วนติ๋ว ก็ได้แค่แอบคลานลงไปที่ใต้โต๊ะอาหารเวลาคุณพ่อนั่งทานข้าวแค่ให้ได้เท้าของท่านเขี่ยหัว เขี่ยตัวของติ๋วเล่นบ้างเท่านั้น แม้กระนั้นในบ้านก็ยังไม่วายมีแต่เรื่องร้อนรน มีแต่เรื่องที่แม้เลี้ยงกุหาว่าเป็นการกระทำของติ๋ว ซึ่งเป็นเด็ก จนคุณพ่อเองมีแต่เรื่องร้อนใจในเวลาที่กลับเข้าบ้าน
ในที่สุดติ๋วจึงกลายเป็นเด็กเกเร และเริ่มไปเกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติดในราวอายุสิบห้า คุณแม่ต้องมารับตัวกลับไปอยู่กับคุณแม่ตามเดิม คุณแม่ให้ติ๋วอยู่แต่ในห้องพระ ให้ความรักเท่าที่มีในชีวิตของผู้หญิงที่เป็นแม่คนหนึ่งจะสามารถกระทำได้ ต่อติ๋ว
ติ๋วเห็นในความรักนั้น อาการที่เพิ่งเข้าไปเริ่มข้องเกี่ยวกับยาเสพย์ติดจึงเลิกมลายหายไปอย่างเด็ดขาดนับแต่นั้น ติ๋วได้เรียนรู้ว่า คนที่ข้องเกี่ยวกับยาเสพย์ติดนั้นเป็นคนที่มีจิตใจที่อ่อนแอ การบำบัดนั้น จะต้องบำบัดต่อเขาด้วยความรัก
เมื่อแรกรู้ตัว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายตามคำที่หมอบอก ติ๋วจึงเดินทางมาที่เขาพระวิหารแห่งนี้พร้อมกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ติ๋วเดินขึ้นไปจนสุดแล้วพยายามที่จะกระโดดลงมาหวังฆ่าตัวตาย เดชะบุญที่เพื่อนผู้นั้นมาคว้าตัวดึงเอาไว้ได้ทัน ในวันนี้ติ๋วก็ยังป่วยอยู่ แต่การมาเดินเขาพระวิหารในครั้งนี้ เป็นการมาเพื่อวัดความแข็งแกร่งของจิตใจตัวเอง ในภาวะที่ร่างกายเป็นอย่างนี้ ยิ่งก้าวขึ้นไปได้ทีละชั้นๆ ก็เหมือนกับว่าได้เอาชนะร่างกายที่เรากำลังคิดว่ามันจะไม่ไหว แต่มันก็ไหว แม้มันจะช้าหน่อย ใช้ความพยายามมากหน่อยแต่มันก็ทำให้รู้ว่า เรายังไม่ยอมแพ้
จากเรื่องราวอันรันทดในวัยเด็กของติ๋ว ทำให้ติ๋วเข้าใจเด็กที่ขาดความรัก และติ๋วจึงเป็นคนที่เริ่มจะให้ความรัก ให้ในสิ่งที่ตัวเองเคยต้องการนั้นกับเด็กๆ คนอื่นๆ เจอหน้าใครแทนที่จะขออะไรจากเขาก็ “ขอกอดหน่อย” เป็นการให้ความอบอุ่นนั้นแก่เขาแทนและสิ่งที่เราได้จากการเป็นผู้ให้นั้น สะท้อนกลับมาเป็นพลังและความสุขมากกว่าการเป็นผู้รับหรือร้องขอ”
และนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายปีดีดักแล้ว ในปัจจุบันนี้ฉันได้ลาออกจากการเป็นกรรมการมูลนิธินั้นไปเสียนมนานแล้วเพราะเหตุที่ต้องเดินทางจากบ้านไปเข้าร่วมประชุมในภาคอีสานบ่อยๆ ประกอบกอบเนื้อหาที่ได้รับรู้นั้นเป็นเรื่องราวที่เจ็บปวดกับเด็กๆ แต่ละคนที่ล้วนจะทำให้เครียดและหม่นหมองต่อคนช่างฝันเช่นฉัน
จนในที่สุดฉันก็ได้ขออนุญาตแม่ติ๋วลาออกและทำงานปั้นที่ฉันรักอยู่กับบ้านเงียบๆ ในเส้นทางเล็กๆ สายนี้ของฉันอย่างเช่นในทุกวันนี้
แต่ฉันก็ยังได้รับโทรศัพท์จากแม่ติ๋วอยู่เสมอในยามใดที่เธอมีเรื่องอัดอั้นตันใจกับทุกข์ร้อนที่เกิดกับเด็กๆ และพบกับอิทธิพลต่างๆ รอบตัวเข้าคุกคามเธอก็จะโทรมาเล่าและร้องไห้กับฉันอยู่เสมอ ปีที่แล้วนั้นยิ่งบ่อยเมื่อมีครูอาวุโสผู้หนึ่งได้กระทำชำเราล่วงละเมิดข่มขืนเด็กๆ เหตุเกิดภายในโรงเรียนเด็กคนที่หนึ่งผ่านไป คนที่สองและสามโดยผู้กระทำคนเดียวกัน จนกระทั่งแม่ผู้ดูแลเด็กประจำตึกได้พบเห็นความผิดปกติบางอย่างของเด็กจึงสอบถามและได้ทราบความจริงและยังคงร่องรอยปรากฏบนร่างกายของเด็ก แม่ติ๋วจึงไปแจ้งความและเรื่องก็ถึงโรงถึงศาล ในขณะที่คู่กรณีอีกฝ่ายเป็นผู้มีอิทธิพล สภาพของแม่ติ๋วที่กำลังพยายามต่อสู้เพื่อความยุติธรรมให้แก่เด็กที่โดนกระทำและเผื่อไปถึงการที่ไม่ให้เขาไปกระทำเช่นนี้กับเด็กอื่นๆ ได้อีก จึงไม่ผิดอะไรกับลูกแกะที่อยู่ในวงล้อมของสุนัขป่า
เธอเพียงแค่โทรมาระบายความทุกข์ให้ฉันฟัง ฉันเองก็ไม่อาจช่วยอะไรเธอได้เลย..วันเวลาผ่านไปนับปี..กับสิ่งที่ยังยืดเยื้ออยู่บนความเจ็บปวดของเด็ก ซึ่งยังไม่ทันได้เอาผิดคืบหน้าไปถึงไหน…จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ติ๋วก็ได้โทรมาบอกกับฉันด้วยเสียงเรียบๆ ว่า
“ครูคนนั้นที่ข่มขืนเด็กๆ เขาได้ตายไปแล้วละ”
แม้จะมีอิทธิพลเข้าช่วยอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถหนีกฏแห่งกรรมพ้นไปได้…
ยังไม่ทันที่เรื่องนั้นจะเลือนหายไป เรื่องราวที่เกิดกับพวกเขาก็เริ่มเกิดขึ้นใหม่อีกแล้ว ฉันได้รับรู้ถึงเรื่องการที่มีคนเข้ามาลอบตัดไม้อย่างอุกอาจภายในมูลนิธิ ไม้พะยุงต้นใหญ่ที่แม่ติ๋วรักษาไว้ถูกตัดโค่นลงเหลือแต่ตอเกือบติดดิน ด้วยคมของเลื่อยไฟฟ้า และการตัดอย่างผู้ชำนาญการมีรถเข้ามาจอดรอผูกเชือกไว้กับต้นไม้และตัดเมือต้นไม้ล้มลงก็ขนใส่รถขับออกไปอย่างง่ายดาย ประตูของมูลนิธินั้นไม่มีรั้วรอบขอบชิดบางส่วนเป็นแค่เพียงลวดหนามเก่าๆ เมื่อไปแจ้งความก็มีทั้งตำรวจและทหารเข้ามาดูเรื่องราว แต่ทว่าเมื่อพวกเขากลับไปในคืนถัดๆ มากก็มีรถเข้ามาตัดต้นไม้ออกไปในลักษณะเดียวกันอีก แต่คราวนี้ต้นไม้ ที่ยังไม่เติบโตมากนักก็ถูกตัด และปล่อยให้หักทิ้งคาต้นไว้ให้ดูต่างหน้า ราวกับจะบอกถึงอะไรบางอย่างกับคนที่นี่อย่างนั้น…
การตัดไม้เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงคือหวังต่อทรัพย์หรือไม่นั้น หรือตัดเพื่อการข่มขู่คุกคุกคามบางอย่างต่อผู้หญิงที่เป็นหัวเรือหลักแห่งบ้านหลังนี้ เท่าที่ฉันเห็นพวกชาวบ้านก็มีแต่คนรักเธอ ไปไหนมาไหนก็มีแต่ชาวบ้านพากันเรียก “แม่ใหญ่ๆ” ชาวบ้านที่ยากจนก็หอบหิ้วเด็กอ่อนมาขอปันนมไปกิน ชาวบ้านที่ไม่สบายเจ็บป่วยก็มาขอช่วยในการพาไปรักษา ข้าวของสิ่งใดที่มูลนิธิได้รับบริจาคมาจนเกินเกินความจำเป็นเธอก็จะนำออกไปแบ่งปันควบคู่ไปกับการให้ความรู้ในด้านต่างๆ กับคนในชุมชนอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่ก็ไม่ทราบว่าภัยต่างๆ ที่โหมกระหน่ำเข้ามาคุกคามอยู่เป็นระยะๆ อย่างอย่างต่อเนื่องนั้น มาจากที่ใด
ฉันได้แต่บอกกับแม่ติ๋วว่า เราก็ทำตามกฏหมายเท่านั้นเท่าที่เราจะกระทำได้แล้วต่อจากนั้นเราก็ไหว้พระขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยยึดมั่นในคุณความดีที่เคยได้ทำมาตลอดชีวิตของตัวเองนั้นเอาเป็นที่พึ่ง แต่กระนั้นแม่ติ๋วก็ยังยืนยันกับฉันว่า
“สิ่งที่ติ๋วเป็นห่วงที่สุดคือความปลอดภัยและชีวิตของเด็กๆ”
และนั่นเป็นเรื่องราวของคนที่มีจิตใจอันยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่ได้อุทิศตัวที่จะให้ความรักกับเด็กๆ ผู้เป็นกำพร้าขาดที่พึ่งทั้งหลาย เพราะอะไรที่ทำให้เธอไม่ห่วงตัวเองเช่นนี้…คงเป็นเพราะพลังแห่งความรักที่เธอมีและนำออกไปสู่คนอื่น มันได้ย้อนกลับเข้ามาเป็นพลังให้กับหัวใจของตัวเธอเอง ฉันหวังเหลือเกินว่า เธอจะอยู่รอดปลอดภัย
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.