เมื่อเย็น ขณะที่ฉันเดินแกว่งแขนไปเรื่อยๆ บนถนนสายเล็กๆ หลังบ้าน พบรอยยิ้มของคนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน
พบรอยยิ้มของคนที่เลิกจากงานในนาในสวน ใครยิ้มมาฉันยิ้มตอบ..และเช่นเดียวกันฉันยิ้มออกไปเขาก็ยิ้มตอบ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีคนผ่านไปผ่านมาส่งยิ้มกันมากมายนัก
ฉันเดินไปกวาดสายตายไปใกล้ไกล..เพื่อหาแมวของฉัน เพียงพบซากที่ตายแล้วก็ไม่กลัวที่จะได้เห็น
เพียงพบกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยมาซักกลิ่นก็จะย่างท้าวเข้าไปดู แต่ก็ไม่พบร่องรอยของสิ่งใดๆ ที่ฉันกำลังหาเลยแม้แต่น้อยนิด
ในขณะนั้นฉันจับสังเกตุในจิตใจของตนเองได้ว่า ความทุกข์และความสุขจะผลัดกันเข้ามาในจิตใจของเราแบบสลับกันไปๆ มาๆ
เพราะเมื่อจิตใจของฉันไปจับไปคิดถึงเรื่องอะไรที่มีความสุขใบหน้าฉันก็จะยิ้มไปด้วย และใจก็สุขไปกับเรื่องที่จิตคิดขณะนั้น
เพียงแว่บหนึ่งจิตใจก็กลับมาที่เรื่องแมวอีก..พอคิดถึงแมวใจก็ตกเศร้าและหดหู่ ไม่ใช่มีเพียงความรู้สึกสองอย่างนี้เท่านั้นที่แว่บเข้ามาในจิตใจของเรา มันมีหลายต่อหลายเรื่องแว่บผ่านเข้ามาเรื่อยๆ เรียงเป็นลำดับๆ กันไป
จากการนี้ฉันอดคิดไม่ได้ว่า.. แล้วถ้าเราหมั่นทำสิ่งที่ดีงามให้มากๆ ขึ้นในชีวิตล่ะ? จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองในยามทุกข์ไหม เพราะจิตจะได้มีเรื่องราวฝ่ายดีเข้ามาเป็นลำดับๆ ให้ได้ลำเลียงมากขึ้นๆ
และเมื่อถึงคิวของฝ่ายความทุกข์ ก็จะเป็นช่วงห้วงสั้นๆ ที่เข้ามาสัมผัสใจเรา แล้วต่อด้วยคิวของเรื่องฝ่ายความดีและความสบายใจมากมายที่เราทำมาสลับคิวอันยาวเหยียดให้จิตได้คิดได้รู้สึก และนั่น..อาจจะเป็นไปได้ว่า กำลังใจฝ่ายดีจะเข้าโถมทับกำลังใจฝ่ายร้ายที่จะก่อให้จิตจมอยู่กับความทุกข์ต่างๆ ให้พ่ายแพ้ไปจากเราได้รวดเร็วขึ้น
“มันคือความคิดที่เป็นความพยายามต่อสู้กับความทุกข์ในจิตใจของตัวเอง”
เหตุการณ์ เรื่องราวในชีวิตของฉัน ตอนนี้มีความทุกข์เศร้า แต่ร่างกายไม่อนุญาตให้เศร้า
การยืนอยู่ในท่ามกลางความเป็นจริงโดยไม่ให้ใจกระทบกระเทือนนี้เป็นภาวะแห่งการพยายาม “รักษาใจ”
ความเศร้าเกิดจากความทรงจำ มันผ่านเข้ามาเป็นระลอกๆ เมื่อบวกกับความคิดที่ปรุงแต่งเข้าไปอีก มันจึงจูงมือฉันออกสู่ทะเลแห่งความเศร้าอันเวิ้งว้างกว้างไกล แล้วคลื่นลมแห่งความทุกข์โศกก็พัดกระหน่ำเข้าหาฉันอย่างไม่ปรานี
“นั่นเป็นภาวะในยามดึกดื่นค่อนคืนที่ฉันตื่นขึ้นมาในท่ามกลางทะเลแห่งความรู้สึก”
สำหรับความเป็นจริง ในเวลาเช้ากลิ่นหอมของดอกรสสุคนธ์แผ่กระจายผ่านเล็ดลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ราวกับการกล่าวคำ “อรุณสวัสดิ์” แก่ฉัน
ฉันนอนหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอดคืนเพื่อพูดจากับ “นังเหมียว”
“นังเหมียว” เป็นแมวสีขาวสลับลาย ซึ่งเป็นแมวแม่ของลูกแอ๊ะ มันได้แต่ส่งเสียงร้องอยู่ตลอดคืน อยู่ที่หน้าห้องนอนฉัน และป่ายปีนมานั่งร้องอยู่ที่หน้าต่าง ตาของมันมองมายังที่เตียงนอนของฉัน และเสียงของมันช่างแสนเศร้า
นี่นับเป็นวันที่ 5 แล้วตั้งแต่ฉันได้ออกจากการนอนป่วยที่โรงพยาบาล เมื่อกลับมาถึงบ้านในเวลาราวเที่ยงฉันก็ไม่พบเห็น “ลูกแอ๊ะ” แมวน้อยที่รักของฉัน
คงมีแต่นังเหมียวและ “เสือน้อย” แมวร่วมท้องกันให้เห็นเพียงสองตัวเท่านั้น ในใจของฉันนั้นคิดว่า แอ๊ะคงไปเที่ยว เพราะปกติในเวลาที่ฉันอยู่บ้าน แอ๊ะมักจะหายไปตัวเดียวบ่อยๆ แล้วบ่ายๆ เย็นๆ แอ๊ะก็จะกลับมา ฉันจะได้ยินเสียงกระโดดจากขั้นบันไดขึ้นมาที่ราวระเบียงแล้วเปล่งเสียงร้องเล็กๆ ว่า “แอ๊ะๆ” มาถึงฉันเสมอ
และไม่ว่าฉันจะกำลังทำอะไรอยู่ ทันใดที่ได้เยินเสียงนั้น ฉันไม่เคยเลยที่จะละเลยต่อเสียงนั้นไปได้ ฉันจะรีบละมือจากทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังทำ มาเปิดประตูแล้วช้อนมืออุ้มร่างน้อยๆ ของแมวสีดำนั้นไว้ในอ้อมแขน “หิวหรือ กลับมาแล้วหรือลูก” เป็นเช่นนี้อยู่เสมอในทุกๆ วัน ในเวลาจวนเจียนหนึ่งปีที่ผ่านมา
บางวันแอ๊ะกลับมาด้วยใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยากไย่ใยแมลงมุม ฉันเอามือปัดเป่าร่องรอยอันเปรอะเปื้อนจากใบหน้าน้อยๆ นั้น นึกสงสัยอยู่ครามครันว่า แอ๊ะไปซนที่ตรงไหนมาหนอ
ในเช้าของวันนี้เช้าของวันที่ 6 ในการหายไป จากการที่หลายวันที่ผ่านมาฉันได้ไต่ถามญาติๆ รอบๆ บ้าน เพื่อนบ้านที่ห่างออกไปอีกชั้นจากบ้านญาติ เดินหาตามทางและถนนหน้าบ้านหลังบ้าน เคาะจานชามข้าวของแมวเข้าด้วยกันและส่งเสียงร้องเรียก ก็ไม่มีวี่แววที่จะพบเห็นแมวน้อยที่รักเลยแม้แต่น้อยนิด ไม่มีใครพบเห็น ไม่มีใครได้ยินเสียงสุนัขไล่กัดแมว ไม่มีซากของแมวถูกรถชน
ฉันออกไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธ์ หลวงพ่อขาวพระพุทธรูปเก่าแก่ที่วัดในหมู่บ้าน ต้นโพธิ์ใหญ่เก่าแก่โบราณกาลต้นนั้นที่ริมทุ่งนา เจ้าที่เจ้าทางพระภูมิเทวาผู้ปกปักรักษาบ้านเรือน ฉันจุดธูปปักลงในดินอธิษฐานจิตขอให้ได้พบ ได้รู้ข่าว แต่แล้วก็ยังไร้ซึ่งวี่แวว ไม่มีแม้เงาของแมวน้อยที่หายไปมาปรากฏให้ฉันเห็น แม้ในความฝันก็ไม่ย่างกรายมา
ความเศร้าใจทำให้ฉันเริ่มทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แมวน้อยอันเป็นที่รัก ในกรณีที่เขาอาจตายไป เพื่อนบ้านที่มีสวนหลังบ้านติดกันกับฉันบอกกล่าวว่า ที่สวนอันถูกทิ้งร้างเป็นป่าที่ติดกับที่ดินของเรานั้นเต็มไปด้วยตะกวดและงูเหลือม เป็นไปได้ว่า แอ๊ะอาจเข้าไปเที่ยวซุกซนแล้วถูกสัตว์เหล่านั้นทำร้ายกัดกินไป
การหายไปอย่างไร้ร่องรอยของแมวน้อยอันเป็นที่รัก ก่อให้เกิดความโศกเศร้าและความงุนงงสงสัยแก่ฉัน ความรู้สึกต่างๆ ยังผ่านเข้ามาเป็นระยะๆ ในจิตใจยังมีภาพแห่งการกลับมาในวันใดวันหนึ่งของแมวอันเป็นที่รัก ในความทรงจำยังอัดแน่นไปด้วยความรักและห่วงใย
ฉันเปิดดูในตู้เพื่อหาหนังสือเก่าๆ ที่เก็บไว้มาอ่านเพื่อย้ายอารมณ์ตัวเองจากภาวะปัจจุบันอันแสนเศร้านั้น ให้เข้าไปอยู่ในภวังค์โลกแห่งตัวหนังสือ ถ้อยคำอันงดงามและเรื่องราวในนั้น พาฉันออกไปจากความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้ชั่วขณะ
ฉันพบหนังสือเล่มหนึ่ง ที่มีชื่อเรื่องแสนไพเราะว่า “ขอปีกให้รักโบยบิน”
ภาพของนางฟ้าตัวน้อย ที่กำลังสวมปีกโบยบินนั้นผุดขึ้นมาอย่างงดงามในอารมณ์ความรู้สึกของฉัน
ฉันเกิดแรงบันดาลใจในงานดินขึ้นมาอีกครั้ง
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว และ เกรียงไกร ไวยกิจ
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.