Travel

เที่ยวเมลเบิร์นแบบ Luxury Trip มุมมองใหม่ที่คุณก็สามารถสัมผัสได้

Pinterest LinkedIn Tumblr


>> มีผู้โชคดีไม่มากนักที่เข้าไปกินอาหารในร้าน “ซิซซ์เลอร์” (Sizzler) แล้วอยู่ๆ ก็มีคนโทรศัพท์ไปบอกว่า “คุณคือผู้โชคดีที่ได้รับสิทธิ์ไปเที่ยวเมลเบิร์นกับซิซซ์เลอร์!” แบบไม่ต้องจ่ายอะไรเลยแม้แต่บาทเดียว แถมยังได้สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับอีกด้วย

แน่นอนว่าสิ่งที่ผมกำลังพูดถึงคือการได้เดินทางไปเยือน เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย กับผู้โชคดีที่เข้าไปกินอาหารในร้านซิซซ์เลอร์ แล้วโชคดีได้ร่วมเดินทางไปเยือนเมลเบิร์นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลยแม้แต่บาทเดียว จำนวน 6 ท่าน รวม 3 รางวัล แต่สำหรับผมไปฐานะสื่อมวลชน จาก Celeb Online by FLASH พร้อมด้วยผู้บริหารของซิซซ์เลอร์ “คุณนงชนก สถานานนท์” ผู้อำนวยการกลุ่มการตลาด และ “คุณรพีพร (วงศ์ทองคำ) เสรีรัตน์” ผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาและประชาสัมพันธ์ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด รวมถึงพาร์ตเนอร์สำคัญอย่าง การท่องเที่ยวเมลเบิร์น เมืองไทยสไตล์คลับ เมืองไทยประกันชีวิต และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์

ที่บอกว่าเที่ยวแบบ “Luxury Trip” ก็เพราะในทริปนี้มีเซเลบริตี้ร่วมเดินทางมาด้วย และเที่ยว กิน ดื่ม ชอป อย่างหรูหรา อย่างเช่น ดินเนอร์บนแทมชมเมืองเมลเบิร์นยามค่ำคืน หรือชอปปิ้งที่ห้างเดวิด โจนส์ โดยมี “คุณพี่ตือ-สมบัษร ถิระสาโรช” คอยเอนเตอร์เทนตลอดการเดินทาง

จุดสตาร์ทเริ่มจากที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย สายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์นำเดินทางมาต่อเครื่องที่สนามบินชางฮี ประเทศสิงคโปร์ เพื่อต่อเครื่องแอร์บัสที่ว่าใหญ่ที่สุดในโลกไปยังเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งทุกคนตื่นเต้นกันมากเพราะเป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสกับเจ้าเครื่องแอร์บัสอันเลื่องชื่อ และมันก็สมราคาคุยเพราะสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างบนเครื่องล้วนได้รับการพัฒนาให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้โดยสารเป็นอย่างดี ทั้งที่นั่ง ห้องโดยสาร อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ สร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่รักการเดินทางอย่างแท้จริง

พลันที่เดินทางมาถึง รัฐวิกตอเรีย (Victoria) ซึ่งมีเมืองหลวงชื่อ เมลเบิร์น (Melbourne) ได้เช็ก-อินเข้าที่พักตรงข้ามกับ “ฟลินเดอร์ส สตรีท สเตชั่น” ( Flinders Street Station )ตั้งเด่นเป็นตระหง่านอยู่กลางเมือง นับได้ว่าเป็นสถานีรถไฟแห่งแรกออสเตรเลีย มีสถาปัตยกรรมคลาสสิก อายุร้อยกว่าปี มีความสำคัญเสมือนเป็นศูนย์กลางของสถานีรถไฟประจำเมือง คล้ายกับสถานีรถไฟหัวลำโพงของบ้านเรา ก่อนจะออกไปเริ่มสัมผัสชีวิตเหนือระดับและอิ่มบริบูรณ์สไตล์ซิซซ์เลอร์ภายนอก

ต้องยอมรับว่าเมืองเมลเบิร์น เป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก เมื่อเทียบกับเมืองซิดนีย์ คือมีพื้นที่เพียง 6,100 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น แต่กลับมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น และมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก เรียกว่าเป็นอันดับสองรองลงมาจากซิดนีย์เลยก็ว่าได้

เมลเบิร์นเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ และทันสมัยมาก ทำให้ผูกใจนักท่องเที่ยวอยากมาเยือนไม่รู้จบ อีกทั้งได้รับการขนานนามว่า เป็น “Garden City“ เพราะมองไปทางไหนก็เห็นสีเขียวขจีของต้นไม้เต็มไปหมด และมีสวนสาธารณะอยู่หลายแห่ง ในตอนเช้าผมยังได้เห็นผู้คนออกมาวิ่งจ็อกกิ้งออกกำลังกายอยู่ตามสวนสาธารณะ เพราะเมืองนี้อากาศดี สดชื่นแจ่มใส ไร้มลพิษ อีกทั้งเมืองนี้ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำยาร์ร่า จึงทำให้มีทิวทัศน์สวยงาม มองแล้วสบายตา ถึงแม้ว่าจะมีตึกสูงอยู่บ้างก็ตาม

ในอดีตเมืองเมลเบิร์น เคยมีฐานะเป็นเมืองหลวงเก่าของออสเตรเลียมาก่อน ตั้งแต่ ปี ค.ศ.1901-1927 แต่หากจะย้อนประวัติศาสตร์ไปก่อนหน้านั้น ก็เริ่มตั้งแต่สมัยก่อนที่ชาวยุโรปที่อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในออสเตรเลีย ส่วนใหญ่จะมาอาศัยอยู่ในเมืองซิดนีย์ ต่อมามีชายสองคน คือ “มร.จอห์น แบตแมน” กับ “มร.จอห์น โฟล์กเนอร์” เห็นว่าเมืองซิดนีย์เริ่มหนาแน่นแออัดมากขึ้น จึงชักชวนกันเดินทางลงมาทางใต้ เพื่อมาหาถิ่นที่อยู่ใหม่

เขาเดินทางลงมาเรื่อยๆ แล้วพบแม่น้ำยาร์ร่า จึงถูกใจกับพื้นที่บริเวณนี้ เนื่องจากมีแม่น้ำไหลผ่าน เชื่อมั่นว่าจะต้องมีความอุดมสมบูรณ์ จึงได้จับจองบริเวณโดยรอบเป็นการใหญ่ แล้วตั้งชื่อเมืองว่า “พอร์ต ฟิลลิป” (Port Phillip) ตามชื่ออ่าว เพราะแม่น้ำยาร์ร่านั้นไหลลงสู่อ่าวพอร์ต ฟิลลิป แล้วจากนั้นก็มีผู้คนมาจับจองปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่เพิ่มมากขึ้น จนขยายกลายเป็นเมืองใหญ่

ต่อมาในยุคที่ ลอร์ด เมลเบิร์น (Lord Melbourne) มารับตำแหน่งเป็นอัครมหาเสนาบดีของอังกฤษ ท่านได้ให้การสนับสนุนช่วยเหลือคนในเมืองนี้หลายๆ ด้าน ดังนั้น จึงเปลี่ยนชื่อเมืองจากพอร์ต ฟิลลิป มาเป็นเมืองเมลเบิร์นตามสกุลของเขา เมื่อปี ค.ศ. 1842

การเดินทางท่องเที่ยวในเมืองเมลเบิร์นนั้นสะดวกสบาย เพราะมีให้เลือกหลายทาง ทั้งรถไฟ รถโดยสารประจำทาง ซึ่งวิ่งรับส่งผู้โดยสารทั้งแบบรอบกลางวันและรอบกลางคืน หรือที่เรียกว่า Night Rider Bus วิ่งรับส่งตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึงตีสี่ เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ ส่วนรถราง (City Tram Circle) วิ่งรอบตัวเมืองชั้นใน รถออกทุก 10 นาที จากถนนฟลินเดอร์ส วิ่งรอบหนึ่งใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที หรือจะนั่งรถ Melbourne City Explorer จัดไว้สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ซื้อตั๋วครั้งเดียวเที่ยวได้ตลอดวัน

บ่ายวันหนึ่งผมเลือกไปเยือนบ้านของ “กัปตันคุ๊ก” (Cook’s Cottage) ในอดีตบ้านหลังนี้ ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1755 อยู่ใน หมู่บ้านเกรต เอย์ตัน (Great Ayton) ประเทศอังกฤษ เดิมเป็นบ้านของบิดา-มารดาของกัปตันคุ๊ก ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่ค้นพบทวีปออสเตรเลีย เมื่อ ค.ศ. 1770 ต่อมา “ท่านเซอร์รัสเซล กริมเวด” ได้ซื้อมาจากอังกฤษ โดยรื้ออิฐออกมาทีละก้อน แล้วถูกลำเลียงมาทางเรือ มาประกอบใหม่ที่นี่ นำมาตั้งไว้ที่สวนฟิตซ์รอย (Fitzroy Gardens) เมื่อปี ค.ศ.1934 เพื่อเป็นของขวัญครบรอบหนึ่งร้อยปีของรัฐวิกตอเรีย และเพื่อเป็นการระลึกถึงการเดินทางค้นพบทวีปออสเตรเลียของกัปตันคุ๊ก

ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านบางอย่างเป็นของดั้งเดิม บางอย่างก็เป็นของที่ทำเลียนแบบขึ้นมาใหม่ แล้วให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปชมภายในบ้านได้ ซึ่งมีเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำด้วยไม้และโลหะ ที่แสดงถึงห้องครัวในสมัยนั้น เมื่อขึ้นบันไดไป ก็จะเห็นห้องซึ่งใช้เป็นทั้งห้องนอนและห้องนั่งเล่น เปลเด็กทำด้วยไม้โอ๊ก ตะเกียง เทียนไข ซึ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของสตรีในยุคอังกฤษโบราณ ที่ตอนกลางคืนต้องทอผ้า หรือปั่นด้ายไปด้วย ขณะเดียวกันก็ไกวเปลกล่อมลูกนอนไปด้วย

ส่วนสวนฟิตซ์รอยนั้นเป็นสวนสาธารณะไว้สำหรับให้ชาวเมืองมาออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ หรือบ้างก็จูงสุนัขมาเดินเล่น เป็นสวนเก่าแก่ บรรยากาศสไตล์อังกฤษยุควิกตอเรีย มีอายุกว่า 150 ปีมาแล้ว ภายในสวนร่มรื่นไปด้วยแมกไม้เขียวขจี ต้นไม้ใหญ่อายุเป็นร้อยปี สวนดอกไม้ น้ำพุ รูปปั้นแบบยุโรป หากเรามองจากมุมสูงจะเห็นว่าทางเดินในสวนแห่งนี้เป็นรูปยูเนียนแจ็ก (Union Jack ) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของธงชาติอังกฤษ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับประเทศอังกฤษ

จากนั้นก็ไปเดิน “ตลาดควีน วิกตอเรีย” (Queen Victoria Market) เป็นตลาดขนาดใหญ่ใจกลางเมือง มีทั้งส่วนที่เป็นตลาดสด ขายผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ และตลาดขายของใช้ เสื้อผ้า รองเท้า ของที่ระลึก จัดโซนไว้อย่างเป็นระเบียบ และสะอาด ที่สำคัญสินค้าราคาไม่แพง

ต่อด้วยการไปเยือน “พิพิธภัณฑ์แห่งเมืองเมลเบิร์น” (Melbourne Museum) อาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีสีสันโดดเด่นสะดุดตา มีลักษณะเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ใครที่นั่งรถผ่านก็อดถามไม่ได้ว่าที่นี่คืออะไร เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ อาคารแบ่งเป็น 6 ชั้น อยู่ใต้ดิน 3 ชั้น เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีรูปแบบทันสมัย เหมาะสำหรับเด็กๆ นักเรียน และนักศึกษาที่จะเข้ามาหาความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหารเครื่องดื่ม โรงภาพยนตร์ ICE (Interactive Cinema Experience) เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่โด่งดังไปทั่วโลก มีจอภาพขนาดใหญ่ ระบบเสียงรอบทิศทาง และทุกที่นั่งมีจอคอมพิวเตอร์ให้ผู้ชมได้แสดงความคิดเห็น ควบคุมการเดินเรื่อง เล่นเกมส์ต่างๆ ร่วมกัน นอกจากนี้ ยังมีป่าไม้ซึ่งทำจำลองไว้เหมือนจริง มีสัตว์ต่างๆ กว่า 20 ประเภท ต้นไม้พันธุ์ต่างๆ กว่า 80,000 ชนิด อีกด้วย

แล้วเดินทางต่อไปยัง “พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ” (Melbourne Aquarium) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยาร์ร่า ตรงข้ามกับ “คราวน์ คาสิโน” คาสิโนชื่อดังของเมืองนี้ พิพิธภัณฑ์นี้สร้างลึกลงไปใต้แม่น้ำยาร์ร่า โดยแยกประเภทของสัตว์น้ำชนิดต่างๆ ตามระดับความลึกของน้ำที่มันอาศัยอยู่ บนชั้นลอยมีสระหิน ซึ่งสามารถมองเห็นเหล่าปลาดาว ปูเสฉวน ถัดมาเป็นตู้โชว์ของแมงกะพรุนพันธุ์ต่างๆ มีปะการังนานาชนิดถูกจำลองไว้ในบ่อแสดง และยังมีโซนที่เป็นอุโมงค์ลึกลอดใต้ท้องน้ำ ให้ชมสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลมากมาย และผู้เข้าชมสามารถทดลองดำน้ำลงไปหยอกล้อกับปลาฉลามได้อีกด้วย โดยอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างปลอดภัย

ก่อนพบค่ำได้มีโอกาสขึ้นไปบนตึก “ยูเรก้า สกายเดก” (Eureka Skydeck88) อาคารที่สูงที่สุดในเมืองเมลเบิร์น เพื่อชมทัศนียภาพของเมืองเมลเบิร์นแบบ 360 องศา แต่ถ้าจะให้ดีควรจะมาเยือนตอนค่ำเพราะวิวจะสวยมากราวกับตึกใบหยกบ้านเรา ตกค่ำผมได้นั่งรถม้าโบราณออกจากโรงแรมที่พักวิ่งไปรอบเมือง เพื่อไปขึ้นแทมและดินเนอร์บนนั้น ซึ่งเป็นแทมที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ภายในตกแต่งอย่างหรูหรา เสิร์ฟอาหารค่ำและไวน์รสเลิศตลอดค่ำคืนนั้น ละเลียดไปพร้อมกับการชมบรรยากาศยามค่ำคืนของเมลเบิร์นที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหล

การเดินทางทริปนี้นอกจากผมจะประทับใจแล้ว เหล่าผู้โชคดีของซิซซ์เลอร์ต่างๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นี่คือที่สุดแห่งการเดินทาง” อย่างแท้จริง ขนาดหนึ่งในผู้โชคดีเรียนจบจากเมลเบิร์นและใช้ชีวิตที่นี่กว่า 5 ปี ยังไม่เคยใช้ชีวิตเช่นนี้มาก่อน ซึ่งพวกเราทุกคนจึงต้องขอบคุณซิซซ์เลอร์ที่มอบประสบการณ์ชีวิตเหนือระดับ แล้วพบกันใหม่ทริปหน้า :: Text by FLASH mag.

 
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่  http://www.celeb-online.net

Comments are closed.

Pin It