Travel

Brussels จุดมุ่งหมายแรกในการเยือนยุโรป

Pinterest LinkedIn Tumblr


>>แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าประเทศเล็กๆ ในยุโรปอย่างเบลเยียม จะเต็มไปด้วยความน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นประเทศที่มีสถานที่ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกกว่า 35 แห่ง รวมทั้งเป็นประเทศที่มีพิพิธภัณฑ์กว่า 200 ที่ด้วยกัน หรือมีตัวอาคารสไตล์อาร์ตนูโวในบรัสเซลส์ถึง 300 แห่ง เบียร์หลากสไตล์ที่มีกว่า 650 ยี่ห้อ และร้านช็อกโกแลตที่มีอยู่มากกว่า 2,000 ร้าน

สมัยเรียนมัธยมเคยมีเพื่อนนักเรียนแลกเปลี่ยนคนหนึ่งจากประเทศเบลเยียม เขาดูเป็นเด็กหนุ่มเรียบร้อยสุดเนิร์ด พานให้เราจินตนาการไปว่า ประเทศเบลเยียมจะต้องเป็นประเทศไร้การเหลียวแลในยุโรป จนพอโตขึ้นมาและมีโอกาสเดินทางผ่านไปมาแถวยุโรปบ่อยครั้งก็ยังนึกไม่ออกว่า ประเทศเบลเยียมแท้จริงแล้วมันเป็นเช่นไร

จนเมื่อไม่นานมานี้มีโอกาสไปเยือนประเทศเบลเยียมอย่างจริงจัง จึงทราบว่าจริงๆ แล้วประเทศเบลเยียมคือเพชรในตมที่หลายคนมองข้าม จะมีก็แต่คนที่ตาถึงจึงรู้ว่าดินแดนแห่งนี้นั้นไปเต็มด้วยของดีมากมายจนกลั้นหายใจสาธยายวันเดียวก็ไม่หมด ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศเล็กๆ เดินทางวันเดียวก็ไปเยือนได้หมดเกือบทุกเมืองก็ตาม

แท้จริงแล้วเบลเยียมเป็นประเทศศูนย์กลางของยุโรปอย่างแท้จริง เพราะเมืองหลวงอย่างกรุงบรัสเซลส์ห่างจากกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ประมาณ 196 กิโลเมตร เมืองคอล์น ประเทศเยอรมนี ประมาณ 201 กิโลเมตร กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ประมาณ 350 กิโลเมตร เมืองหลวงของประเทศลักเซมเบิร์ก ประมาณ 214 กิโลเมตร กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ประมาณ 294 กิโลเมตร จึงทำให้ประเทศเบลเยียมเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญที่ควรไปเยือนก่อนเป็นแห่งแรก ก่อนที่จะวางแผนเดินทางไปยังเมืองและประเทศอื่นๆ ในยุโรป

ด้วยความที่เบลเยียมเป็นศูนย์กลางของยุโรป จึงเป็นที่ตั้งสำนักงานองค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง ทั้งคณะกรรมาธิการยุโป (European Commission) คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป (Council of the European Union) สภาแห่งชาติยุโรป (European Parliament) รวมถึงองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต (NATO) ทำให้บรัสเซลส์สะท้อนภาพลักษณ์แห่งการเจรจาและการประชุมระดับนานาชาติ

ความพร้อมเพรียงของโครงข่ายการสื่อสารโทรคมนาคม ธุรกรรมการเงิน ระบบการศึกษา และระบบการแพทย์ที่ดีที่สุดในยุโรป ซึ่งล้วนช่วยส่งเสริมให้ชาวเมืองเกือบ 2 ล้านคน มีความสงบสุข กับการดำเนินไปของเมืองที่คาดเดาได้ว่าจะต้องมุ่งหน้าไปทิศทางไหน ด้วยความที่ประเทศนี้ไม่ค่อยมีเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงจนนำไปสู่การสูญเสีย หรือการหยุดงานประท้วงขนาดใหญ่ก็ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบ 20 ปีมานี้ ทั้งความระส่ำระสายทางเศรษฐกิจก็แทบไม่ปรากฏให้เห็น ส่งผลให้คุณภาพชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ปลอดภัยจากคดีฆาตกรรมมากที่สุดในโลก


พร้อมกันนี้เยอรมนียังเคยจัดทำสถิติเกี่ยวกับผลผลิตทางอุตสาหกรรมของกลุ่มประเทศในยุโรป พบว่า แรงงานชาวเบลเยียมคือกลุ่มคนที่ให้ประสิทธิผลดีที่สุดในโลก พวกเขาจึงมีอัตราการขาดงานต่ำมาก ทำให้สามารถสร้างผลผลิตทางอุตสาหกรรม (จำนวนของสินค้าที่ผลิตต่อคนต่องาน) ได้สูงกว่าประเทศข้างเคียงอย่างเนเธอร์แลนด์ถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว ทั้งยังดีกว่าอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่น เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากการให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพชีวิตอย่างเคร่งครัดของรัฐ อาทิ ระบบประกันสังคม มาตรฐานชั่วโมงการทำงานที่เป็นธรรม และการสร้างผลตอบแทนให้ทักษะแรงงานชั้นสูง ซึ่งผลของมันย่อมสะท้อนถึงเสถียรภาพของประเทศเล็กๆ แต่เปี่ยมล้นด้วยศักยภาพนี้ได้เป็นอย่างดี

สำหรับนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจไทยการเดินทางมายังประเทศเบลเยียมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป เพราะสายการบินไทย (Thai Airways) บินตรงสู่เมืองบรัสเซลส์สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiairways.com) ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 777 ประกอบด้วยที่นั่งชั้นธุรกิจ จำนวน 42 ที่นั่ง และชั้นประหยัดจำนวน 306 ที่นั่ง ซึ่งติดตั้งจอทีวีส่วนตัวพร้อมระบบสาระบันเทิงภายในเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดในทุกที่นั่งทุกชั้นโดยสาร


ฟ้าสลัวยามเช้าซึ่งยังไม่สว่างมากนัก สายการบินเอื้องหลวงพาผมมาถึงสนามบินนานาชาติในกรุงบรัสเซลส์ ท่ามกลางอุณหภูมิที่หนาวเย็นในช่วงฤดหนาวสลับกับมีพายุฝนบ้างในบางเวลา แต่ยังไม่ถึงกับมีหิมะโปรยปรายลงมา เมื่อรับกระเป๋าเสร็จแล้ว ผมก็มุ่งหน้าไปซื้อตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางเข้าไปยังบรัสเซลส์ ราคา 8.50 ยูโร ซึ่งรถไฟจากสนามบินออกทุก 20 นาที สามารถเดินทางไปยังทิศเหนือ และทิศใต้ หรือสถานีกลางของเมืองบรัสเซลส์ได้เลย เพียง 20 นาทีก็ถึง โดยรถไฟเริ่มวิ่งตั้งแต่ 05.30-24.00 น. จากสนามบิน และเริ่มวิ่งออกจากสถานีต้นทางในเมืองบรัสเซลส์ ตั้งแต่เวลา 04.45-11.10 น.

เมื่อรถไฟพาผมมาถึงใจกลางเมืองใกล้ๆ กับถนน Léopold ก็สามารถเดินเข้ายังโรงแรมที่พักได้อย่างสะดวกสบาย ที่โรงแรมเดอะ โดมินิกัน บรัสเซลส์ (The Dominican Brussels) ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือคาร์ลตัน ให้ความรู้สึกอบอุ่นเคร่งขรึมเหมือนบ้านของจิตรกรชาวฝรั่งเศส “ชาร์กส์-หลุยส์ เดวิด” ในศตวรรษที่ 19 และสามารถเดินทางเที่ยวต่อไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกสบาย เพราะตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางของกรุงบรัสเซลส์ และเป็นที่หมายของนักท่องเที่ยวที่มีสไตล์จากทั่วทุกทวีป

ผมใช้เวลาในช่วงบ่ายเริ่มสตาร์ทที่ “อะโตเมียม” (Atomium) ซึ่งต้องนั่งรถบัสออกไปนอกเมือง โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาที เป็นสิ่งก่อสร้างของประเทศเบลเยียม ที่จัดว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1958 (รวมอายุประมาณ 56 ปี) ในงานแสดงสินค้าโลก หรือ World Expo โดยสถาปนิกชื่อ “อองเดร วอเตอร์คีน” โดยโครงสร้างหลักเป็นเหล็ก ประกอบไปด้วยอะตอมเก้าอะตอม ที่ขยายใหญ่ถึง 165,000 ล้านเท่า มีความสูง 102 เมตร น้ำหนักประมาณ 2,400 ตัน


ในแต่ละอะตอมทำเป็นทรงกลม มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 18 เมตร ห่อหุ้มด้วยอะลูมิเนียมที่สะท้อนแสงแดดเป็นประกาย เมื่อยามต้องกับแสงอาทิตย์ ทรงกลมแต่ละทรงกลมจัดแบ่งเป็นสองชั้น และเชื่อมต่อกันด้วยท่อที่มีความกว้าง 3.3 เมตร ยาวตั้งแต่ 22-29 เมตร ภายในมีบันไดเลื่อน เชื่อมต่อถึงกันได้ทั้งหมด มีอยู่หกใบที่เข้าไปชมได้ อีกสามใบว่างเปล่าปิดไม่ให้เข้าชม ด้วยเหตุผลในด้านความปลอดภัย ปัจจุบันใช้เป็นพื้นที่จัดแสดงผลงานศิลปะ สถานที่การเรียนรู้เชิงวิทยาศาสตร์ และสำหรับเด็กๆ

สิ่งที่น่าสนใจของประเทศเบลเยียมในการบริหารความรู้ อันเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และนักสร้างสรรค์ที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนจากหัวกะทิทั่วเมือง เพื่อผลักดันให้เด็กรุ่นใหม่ได้ทดลองประสบการณ์แบบมืออาชีพและแสดงความเห็นอย่างเป็นเหตุเป็นผลในแต่ละช่วงอายุ สำหรับเด็กที่อยู่ในช่วง 6-10 ขวบ หรือแม้แต่ห้องสมุดสาธารณะของเมืองยังได้จัดโครงการ Child and Youth Jury: The coolest book club เพื่อให้เด็กๆ มารวมตัวกันเพื่อพูดคุยถึงหนังสือที่พวกเขาชื่นชอบ และทุกเดือนเด็กๆ จะคัดเลือกหนังสือที่ดีที่สุดเพื่อแนะนำให้เพื่อนๆ ของเขาอ่านต่อไป

ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นซึ่งอยู่ในวัยกำลังค้นหาตัวตน โปรแกรมทัวร์สตูดิโอของศิลปินจะพาพวกเขาไปสู่เบื้องหลังและสร้างแรงบันดาลใจจากผลงานในอาชีพต่างๆ เช่น จิตรกร ประติมากร ช่างภาพ ผู้ผลิตภาพยนตร์ นักออกแบบ และสไตลิสต์ เป็นต้น



ใกล้ๆ กับอะโตเมียมคือ “มินิ ยุโรป” ที่สร้างแบบจำลองเมืองสำคัญๆ ในยุโรปมาไว้ที่นี่ที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นกรองปลาซในกรุงบรัสเซลส์, หอไอเฟลของกรุงปารีส, ประตูชัยของฝรั่งเศส, โบสถ์ รถไฟทาลีส์ ท่าเรือ หอเอนปิซ่าของอิตาลี, กรุงเอเธนส์, บูดาเปสต์, กำแพงเบอร์ลิน, เมืองมาสตริก ซึ่งสร้างความเพลิดเพลินไม่น้อยให้แก่ผู้มาเยือน เพราะหลายเมืองผมยังไม่เคยไป การได้มาเดินชมครั้งนี้ จึงเสมือนได้มาลิ้มชิมรสก่อนสั่งอาหารกินจริงๆ บริเวณทางเข้าเป็นโรงหนัง เดินไปอีกหน่อยจะพบกับร้านอาหาร กับสนามเด็กเล่น ค่าเข้าคนละประมาณ 11.50 ยูโร วันนี้โชคไม่ค่อยดีฟ้าปิดและมีฝนตกโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง

วันต่อมาผมเดินออกจากโรงแรมเพื่อเดินชมสถาปัตยกรรมอาคารบ้านเรือน พิพิธภัณฑ์ และแหล่งชอปปิ้งในย่านกรุงเก่าของบรัสเซลส์ ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมเดอะ โดมินิกัน บรัสเซลส์ มากนัก สามารถเดินได้ด้วยเท้า โดยเริ่มจาก “ลา กรองด์ ปลาซ” หรือ เดอะ แกรนด์ เพลส (La Grand-Place) นั่นเอง เป็นจัตุรัสกลางของบรัสเซลส์ ที่มีอายุกว่า 400 ปี โดยได้รับการดูแลเป็นอย่างดีและสวยที่สุดในยุโรป เป็นลานกว้างปูแผ่นหินที่รายล้อมรอบด้วยศาลาว่าการของเมืองทรงโกธิกที่มีหอคอยยอดแหลมสูงสง่า และยังมีถนนตรอกซอกซอยที่เรียงรายด้วยบ้านเรือนที่สวยงามอย่างคลาสสิกจนได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

ต้องยอมรับว่าเมืองบรัสเซลส์และรัฐบาลเบลเยียมมีการบริหารจัดการทรัพย์สินอย่างดีเยี่ยม เพื่อพัฒนาเมืองให้น่าอยู่และสวยงาม ทั้งการจัดการที่อยู่อาศัย ร้านค้า ที่จอดรถ รวมถึงการออกแบบและเชื่อมต่อเส้นทางจักรยานและทางเดินท่องเที่ยวให้สะดวกสบายยิ่งขึ้น ขณะที่ชาวเมืองบรัสเซลส์ต่างก็จับมือกันบริหารเสน่ห์ของเมืองผ่านการปรุงโฉมหน้าร้าน โรงแรม หรือภัตตาคารต่างๆ ให้มีความโก้หรูและดึงดูดใจนักท่องเที่ยวในสไตล์ศิลปะแบบอาร์ตนูโว ซึ่งมีจุดกำเนิดที่บรัสเซลส์โดยสถาปนิกผู้บุกเบิกอย่าง “วิกเตอร์ ฮอร์ตา” นั่นเอง



ปัจจุบันอาคาร 4 หลังที่เขาออกแบบได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก นั่นคือ Hôtel Tassel, Hôtel Solvay, Hôtel van Eetvelde และ Maison and Atelier Horta ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ Horta Museum เพื่ออุทิศให้กับแนวคิดและผลงานของเขา นอกจากอาคารอนุรักษ์ บรัสเซลส์ยังเปิดช่องให้สีสันใหม่ๆ เช่น แพนโทนโฮเต็ล ที่มีขนาดกะทัดรัดและสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “Live In Colors, Dream In Colors” โรงแรมขนาด 60 ห้องนี้จึงสวยสดจัดจ้านในแบบฉบับแพนโทน-คัลเลอร์บล็อกและเป็นที่หมายของนักท่องโลกรุ่นใหม่เป็นอย่างมาก

จากนั้นผมเดินทางต่อไปชมพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงในบรัสเซลส์ แต่ระหว่างทางนั้นก็ได้พบกับศิลปะบนผนังอาคารต่างๆ ที่สะท้อนถึงรูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตของผู้คนแบบเบลเยียม แต่ที่สะดุดตาที่สุดก็เห็นจะเป็นรูปปั้นหนูน้อยเปลือยกาย “แมนเนเกน พิส (Manneken Pis) ที่กำลังยืนฉี่อย่างเปิดเผยในที่สาธารณะแบบไม่เกรงกลัวสายตาใคร ในรูปแบบน้ำพุขนาดเล็กหล่อด้วยทองแดง ออกแบบโดย “เจอโรม ดูเกสนอย” ช่างหล่อชาวฝรั่งเศส-ฟลามส์

รูปปั้นนี้ถูกนำมาติดตั้งราวปี ค.ศ. 1618 โดยมีตำนานเล่าว่า รูปปั้นนี้เดิมสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ด้วยหินแกะสลัก ในขณะนั้นบรัสเซลส์อยู่ท่ามกลางสงคราม และถูกฝ่ายตรงข้ามนำระเบิดมาวางไว้ที่กำแพงเมือง เด็กชายคนหนึ่งชื่อ “จูเลียนสกี” (Julianske) มาพบสายชนวนระเบิดกำลังติดไฟ จึงปัสสาวะรดเพื่อดับชนวนและป้องกันเมืองไว้ได้ ชาวเมืองจึงทำรูปแกะสลักนี้ไว้เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ ต่อมารูปสลักนี้ถูกขโมยสูญหายไปหลายครั้ง จึงถูกแทนที่ด้วยรูปหล่อตัวปัจจุบัน ฟังแล้วก็รู้สึกเพลียใจกับพวกหัวขโมยเหล่านี้จริงๆ ขโมยได้แม้กระทั่งรูปปั้นเด็กยืนฉี่!



ต้องยอมรับว่าบรัสเซลส์พยายามสร้างภาพลักษณ์ประเทศให้เป็นเมืองการ์ตูน ทั้งจิตรกรรมฝาผนัง รูปปั้น ร้านหนังสือการ์ตูน ภัตตาคาร ร้านขายของที่ระลึก พิพิธภัณฑ์ และงานเทศกาลต่างๆ ตัวอักษรและลายเส้นที่เคลื่อนไหวไปทั่วเมืองนี้ถือเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติและสร้างเม็ดเงินให้ประเทศอย่างมหาศาล จนอาจเรียกได้ว่าเบลเยียมเป็นประเทศที่มีศิลปินการ์ตูนมากที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้

จากข้อมูลใน “Belgian Center for Comic Strip Art” บอกว่า เบลเยียมเปิดโอกาสให้ตัวการ์ตูนได้โลดแล่นออกมาพบปะผู้คนได้อย่างสนิทสนม ส่งผลให้มีการจัดโปรแกรมทัวร์ “ตามรอยการผจญภัยของติน ติน” เพื่อให้ผู้มาเยือนได้แวะชมสถานที่อันเป็นฉากสำคัญในนิยายการ์ตูนชุดนี้ โดยบรัสเซลส์ตัดริบบิ้นเรื่องนี้ขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2007 ด้วยการเฉลิมฉลอง 100 ปี อย่างยิ่งใหญ่อลังการให้กับ “แอร์เช” หรือ “จอร์จ เรมี่” ผู้แต่ง “ติน ติน” การ์ตูนแนวผจญภัยอันขบขันและตื่นเต้นที่ถูกแปลไปกว่า 80 ภาษา และมียอดจำหน่ายมากกว่า 350 ล้านเล่มทั่วโลก ในปี 2009 ทำให้ติน ติน ยังคงตรึงใจหลายคนอยู่เฉกเช่นทุกวันนี้

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าวัฒนธรรมการ์ตูนของเบลเยียมเบ่งบานหลังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผู้คนในโลกใบนี้ต้องการแสวงหาจินตนาการที่กว้างกว่าขอบเขตของดินแดนเล็กๆ และต้องการแสดงออกถึงมุกขบขันแบบรันทดหรือเสียดสีทางการเมือง ซึ่งแสดงออกได้อย่างเป็นธรรมชาติในการ์ตูนหนังสือพิมพ์ และยังต่อเนื่องเป็นส่วนหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ เช่น การล้อเลียนเรื่องวิบากกรรมของอียู กับวิกฤตหนี้ในยุโรป และด้วยเหตุที่เมืองวางใจและเชื่อมั่นในการ์ตูนนี่เอง บรรยากาศทั่วทั้งเมืองจึงแสดงถึงศิลปะแขนงนี้อย่างแจ่มชัด และในทุกวิถีทางที่คนสามารถมองเห็นมันได้



น่าอัศจรรย์ไม่น้อยที่เมืองเล็กๆ อย่างบรัสเซลส์ จะสร้างอิทธิพลที่มีต่อความนิยมชมชอบเรื่องการ์ตูนให้กลายเป็นวัฒนธรรมสากล และสร้างให้ตัวการ์ตูนเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ของความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้พรมแดน การ์ตูนอาจเป็นเพียงภาพสะท้อนที่ไม่อาจเกิดขึ้นในชีวิตจริง หรืออาจเป็นเรื่องจริงที่ถ่ายทอดมาจากความทรงจำและความรู้ของผู้เขียน แต่คำถามก็คือ สังคมแบบไหนที่หล่อหลอมจิตวิญญานให้เกิดอัจฉริยภาพบนกระดาษเหล่านี้ และสังคมแบบไหนที่คนรุ่นปัจจุบันอยากทิ้งเป็นมรดกไว้ให้คนรุ่นต่อมา ซึ่งแน่นอนว่า บรัสเซลส์เป็นหนึ่งในคำตอบนั้น

ผมปิดท้ายอาหารมื้อค่ำในบรัสเซลส์ด้วยซีฟูดชามโตที่ร้าน “Chez Léon” ตั้งอยู่บนถนน “Bouchers” ซึ่งเป็นร้านอาหารทะเลที่เก่าแก่ที่สุดในกรุงบรัสเซลส์ มีอายุกว่า 120 ปี โดยเริ่มเปิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 1893 ซึ่งขอแนะนำว่าต้องโทรศัพท์มาจองก่อนนะครับ เพราะร้านนี้มีกี่ชั้นก็เต็มตลอด เปิดตั้งแต่เวลา 11.30-23.00 น. ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะไม่ได้ลองลิ้มชิมรสอาหารทะเลสไตล์เบลเยียม โดยเฉพาะหอยแมลงภู่อบในน้ำซุบถูกปาก หรือชุดรวมมิตรทะเลสดที่ประกอบด้วยกุ้งและหอยนางลมอันเลื่องชื่อของร้าน

ก่อนจะมาจบที่บาร์เล็กๆ น่ารักๆ ชื่อ À la Mort Subite ซึ่งคนท้องถิ่นในบรัสเซลส์แนะนำว่าถ้ามาเช็กอินที่ร้านนี้แล้วไม่มีเอาต์แน่นอน เป็นร้านอาหารและบาร์ที่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวมีสไตล์เลือกเช็กอินกัน อากาศเย็นๆ จึงเลือกนั่งนอกร้านเพื่อสัมผัสกับลมหนาวช่วงเวลาสุดท้ายในบรัสเซลส์ พร้อมเรื่องพูดคุยไม่รู้จบเกี่ยวกับประสบการณ์ในเบลเยียม พร้อมจ้องมองไปที่รูปปั้นหญิงสาวสุดเปรี้ยวสีสันสดใสปั่นจักรยานด้วยท่วงท่าที่ยั่วยวนยามค่ำคืน

นี่เองที่เป็นเสน่ห์อันน่าหลงใหลของเบลเยียม จุดมุ่งหมายแรกของผมและควรจะเป็นจุดมุ่งหมายแรกของนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ที่จะมาเยือนยุโรป :: Text by FLASH



How To
1.การเดินทางไปเที่ยวยุโรปในช่วงฤดูหนาวไม่ควรพกเสื้อผ้าไปเยอะ เน้นเสื้อโค้ตหรือเสื้อกันหนาวหลักๆ สักตัวสองตัวก็พอ
2.ควรเลือกใช้กระเป๋าเดินทางที่ไม่ใหญ่เกินไป เพื่อความคล่องตัวในการเคลื่อนย้าย และขาไปไม่ควรขนเสื้อผ้าไปเยอะ แต่ควรเหลือพื้นที่ในการชอปปิ้งเสื้อผ้าหรือสินค้ากลับจะดีกว่า
3.ด้วยความที่ผิวของชาวเอเชียจะไม่ค่อยชินกับอากาศหนาว ดังนั้น จึงแนะนำให้พกมอยส์เจอไรเซอร์ครีม หรือออยล์ครีมไปด้วยเพื่อป้องกันผิวแห้งคัน
4.สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนสมัยนี้ที่ติดเทคโนโลยีหนึบ จึงแนะนำให้พก Power Bank ขนาดพกพาแต่เต็มไปด้วยความจุของพลังงาน จะได้มีไฟในโทรศัพท์มือถือคอยเก็บบรรยากาศและอัปเดตภาพใน Social Media อย่างเพลิดเพลิน
5.หากใครเป็นนักชอปปิ้งตัวยงแนะนำให้เก็บ Tax Refund ไว้อย่างดีในที่เดียวกัน เวลาไปยืนขอ Tax Refund จะได้ไม่ต้องมาหาให้ปวดเศียร และควรเผื่อเวลาไปยืนขอ Tax Refund ที่สนามบินประมาณ 1-2 ชั่วโมง


Flight File

สายการบินไทยบินตรงไป-กลับ กรุงเทพฯ-บรัสเซลส์ ราชอาณาจักรเบลเยียม สัปดาห์ละ 3 เที่ยวบิน ซึ่งจะออกเดินทางจากทั้งกรุงเทพฯ และบรัสเซลส์ ในวันอังคาร พฤหัสบดี และเสาร์ โดยเที่ยวไป เที่ยวบินที่ TG 934 ออกจากกรุงเทพฯ เวลา 00.30 น. ถึงบรัสเซลส์เวลา 07.00 น. และเที่ยวกลับ เที่ยวบินที่ TG 935 ออกจากบรัสเซลส์เวลา 13.30 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลา 06.20 น. ของวันรุ่งขึ้น ด้วยเครื่องบินโบอิ้ง 777-200ER ประกอบด้วยที่นั่งชั้นธุรกิจ จำนวน 42 ที่นั่ง และชั้นประหยัดจำนวน 306 ที่นั่ง ซึ่งติดตั้งจอทีวีแอลซีดีระบบสัมผัสส่วนตัวพร้อมระบบสาระบันเทิงภายในเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุดในทุกที่นั่งทุกชั้นโดยสาร

การบินไทยถือเป็นสายการบินแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ให้บริการบินตรงเส้นทางระหว่างประเทศไทย และราชอาณาจักรเบลเยียม ซึ่งการเปิดเส้นทางบินไป-กลับเส้นทางใหม่นี้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารในการเดินทางจากกรุงบรัสเซลส์ ของราชอาณาจักรเบลเยียม ไปยังประเทศใกล้เคียง อาทิ ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก และสาธารณรัฐฝรั่งเศส รวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารจากประเทศเหล่านี้ในการเดินทางมายังประเทศไทยและเชื่อมต่อไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และออสเตรเลีย

พบกับโปรโมชันจากการบินไทย “New Year to The World” กรุงเทพฯ ไป-กลับ บรัสเซลส์ ราคา 19,890 บาท (ยังไม่รวมภาษีสนามบิน) เริ่มจองตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 25 มีนาคม 2558 และเริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 16 มกราคม-25 มีนาคม 2558

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ facebook : www.facebook.com/ThaiAirways ; twitter: @ThaiAirways ; http://www.thaiairways.com หรือโทรศัพท์ 0-2356-1111



Comments are closed.

Pin It