เมื่อเอ่ยถึงอาหาร เปอรานากัน (Peranakan) หลายคนอาจจะไม่รู้จัก แม้กระทั่งคนสิงคโปร์เองที่เป็นต้นกำเนิดของอาหารนี้ก็มีน้อยคนจะได้เคยลิ้มลอง เพราะปัจจุบันมีร้านอาหารในสิงคโปร์ไม่ถึง 10 แห่งที่ขายอาหารเปอรานากัน
“เปอรานากัน” เกิดจากการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติจีนและมาลายู จนก่อให้เกิดการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมทั้งสองเชื้อชาติเข้าด้วยกัน จนกลายมาเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่าเปอรานากัน ซี่งถ่ายทอดออกมาทั้งวิถีชีวิต การแต่งกายและอาหาร
เสน่ห์ของอาหารสไตล์เปอรานากัน คือการนำส่วนดีที่สุดของอาหารทั้งสองชาติมารวมกัน ซึ่ง โดดเด่นในเรื่องการปรุงด้วย “เครื่องเทศ” ที่หาได้ในท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ยี่หร่า ข่า ตะไคร้ มะกรูด ขมิ้น มะพร้าว พริก และกะปิ เป็นต้น ซึ่งอาหารแต่ละจานต้องปรุงด้วยความพิถีพิถันและใช้เวลาในการปรุงนานเพื่อให้รวชาติกลมกล่อม ซึ่งคงเป็นเหตุให้ทั้งร้านอาหารและครัวเรือนตามบ้านที่ปัจจุบีนมีเวลาน้อย จึงไม่ค่อยทำอาหารเปอรานากันทานกัน จึงทำให้อาหารเปอรานากันหาทานได้ยากขึ้นทุกวัน
สำหรับนักชิมที่อยากลิ้มลองของหายากคงไม่ต้องบินไปไกลถึงสิงคโปร์แล้ว เพราะ เชฟโบ – ดวงพร ทรงวิศวะ และ เชฟดิลลัน โจนส์ แห่งร้านอาหารโบลาน ได้เชิญ มัลคอล์ม ลี เชฟหนุ่มชาวสิงคโปร์เจ้าของร้านแคนเดอนัท ในสิงค์โปร์ ที่มีชื่อเสียงด้านอาหารเปอรานากันแท้สูตรต้นตำรับมาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์รูปแบบใหม่ ไปกับสีสันและรสชาติแห่งเครื่องเทศ ในงาน The Exclusive Four Hands Dinner
โดยเมนูดินเนอร์ในค่ำคืนนี้แบ่งออกเป็น 3 คอร์ส สลับกันระหว่างอาหาร 2 วัฒนธรรม เริ่มจากของว่างแบบไทยในชื่อเมนู “เริ่มแรกระเริงรสโบลาน” อันประกอบไปด้วยน้ำพริกไข่เค็มในมะขามเทศ เมี่ยงมะปราง และล่าเตียงเนื้อปู ซึ่งเป็นอาหารว่างโบราณของไทยที่หาทานได้ยาก
ส่วนของว่างสไตล์เปอรานากันก็มีเช่นกันในชื่อ “ เริ่มแรกระเริงรสแคนเดอนัท ” ประกอบด้วยกระทงทองแบบเปอรานากันทรงสูงเหมือนถ้วย ส่วนไส้คล้านทาร์ทาทำจาก ปลาดิบ ตระไคร้ และผักแพรว ให้รสชาติเผ็ดร้อน นอกจากนั้นยังมี กุ้งตำคลุกเคล้ากับดอกขิงทอปมาบนมะเฟืองฝานชิ้นเล็ก ๆและเนื้อไก่บ้านบดเสียบไม้ราดซอสหวาน คล้ายหมูสะเต๊ะ
ปิดท้ายด้วย”ขนมจีนรักษา” สูตรหม่อมเจ้าจันทรรัชนี รสชาติเผ็ดจัดจ้านแต่อร่อยเหลือหลาย โดยน้ำยากรักษาทำจากไก่สับ มีผักสดที่คล้ายเครื่องน้ำพริก
ส่วนเมนคอร์ส เสิร์ฟสำรับเปอรานากันที่ทานกับข้าวเกษตรอินทรีย์ มีด้วยกัน 5 อย่างคือ น้ำแกง”ปองเตาฮู” กับลูกชิ้นกุ้งก้ามกราม โดยซุปจะใช้เปลือกกุ้งและมันกุ้ง ซดได้ความหอมหวาน , ยำมะม่วงซอยและชมพู่แบบฮักฮา ใส่กุ้งชุบแป้งทอด และถั่วลิสง เหมือนยำของคนไทยรสชาติจืด ๆ มัน ๆ น่าจะถูกลิ้นคนไทย
เร็นแดงเนื้อซี่โครงกับมะพร้าวคั่วรสจัดและใบมะกรูด นำมาตุ๋นจนเปื่อย เมนูนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นแกงเนื้อรสชาติเข้มข้นที่ถูกจัดว่าเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลกจากเว็บไซต์ CNN GO ในปี 2554 , ปลากระพงย่างด้วยถ่าน ราดด้วยสะตอที่ผัดกับมะขามและหอมเจียว ให้รสชาติเหมือนเปรี้ยวหวาน , ผัดกุ้ง กระเทียมและน้ำพริกเม็ดบลวกเคลวกซึ่งเป็นถั่วสีดำจากอินโดให้รสเค็ม ๆ
ปิดท้ายมือเชื่อมสัมพันธ์สองเชื้อชาติด้วยขนมหวานโบราณของไทยและไอศกรีมเม็ดบลวกเคลวก ราดคาราเมลที่เคี่ยวจากน้ำตาลเกลือและพริก
ใครสนใจดินเนอร์มื้อพิเศษนี้เปิดเพียง 2 รอบคือค่ำคืนวันศุกร์ที่ 1 และ วันเสาร์ที่ 2 เม.ย. 2559 นี้ เพียง 2 รอบ รอบละ 50 ที่นั่งเท่านั้น ในราคา 3,500 บาท++ ส่วนมื้อพิเศษที่เชฟมัลคอล์มจะมาพูดคุยเรื่องอาหารเปอรานากันอย่างใกล้ชิด วันที่ 2 เม.ย. เวลาบ่าย2 โมง ราคา 950 บาท++(12 ที่นั่ง)
สำรองที่นั่งที่ โทร.02-260-2961 หรือ 02-260-2962
ชิมโดย : ปาณี ชีวาภาคย์
Dining Out
Comments are closed.