Art Eye View

“ห่มรัก” ให้ “โฮมฮัก” : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ท่ามกลางการเริ่มต้นชีวิตของตนเองที่บ้านสิงห์บุรี ฉันซื้อหาต้นดอกไม้ นานาพันธ์เข้ามาปลูกไว้รอบๆ บ้าน เนื่องด้วยฉันชอบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม ดอกไม้ไทยพื้นบ้านต่างๆ เช่น ดอกชงโค ดอกแก้ว ดอกพุดซ้อน ดอกบุหงาส่าหรี กระดังงา มะลิ และดอกไม้อื่นๆได้ถูกฉันปลูกเอาไว้รอบบ้านอย่างมากมาย

บ้านของฉันนั้นเป็นบ้านใต้ถุนสูงโปร่งโล่ง ฉันปรารถนาให้ลำต้นและกิ่งก้านของต้นดอกไม้เหล่านั้น เป็นดังม่านที่กั้นระหว่างแสงแดดและสายตาของคนที่มองจากภายนอกเข้ามา ม่านไม้จากธรรมชาติอันเขียวขจีและวับแวมด้วยแสงแดดงามที่ส่องลอดระหว่างใบไม้….

วันหนึ่งที่นี่จะกลายเป็นป่าแห่งดอกไม้..ที่มีหญิงสาวในจินตนาการของฉันอยู่ในตู้..เป็นสถานที่ที่เมื่อก้าวเข้ามาแล้วชื่นเย็นสวยงามราวกับเมืองลับแลหรือเมืองบังบด..นี่คือความฝันครั้งใหม่ของฉัน “การได้อยู่ในป่าดอกไม้ที่ร่มและหอม” และฉันกำลังสร้างมันด้วยสองมือของตนเอง


ฉันตัดสินใจรับปากไปทำการสอนเด็กๆ ที่ มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ หรือ บ้านโฮมฮัก จ.ยโสธร ด้วยความคิดที่จะลองฝึกฝนตนเอง กับสิ่งใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิต และสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่ฉันพอจะทำให้กับสังคม

ฉันโทรศัพท์บอกข่าวไปยังมูลนิธิ ฯ พวกเขารับทราบข่าวด้วยความดีใจ ฉันฝากสำลีสุนัขแสนรักของฉันไว้กับพ่อและแม่ที่บ้านสิงห์บุรี แล้วเก็บเสื้อผ้าและเครื่องมือปั้นใส่ลงในกระเป๋า ขับรถ เดินทางมุ่งหน้าไปยังกรุงเทพฯ เพื่อตีตั๋วรถทัวร์เดินทางไปยัง จ. ยโสธร

ในวันแรกที่ได้รับนามบัตรมูลนิธิฯ มาจาก แม่ติ๋ว หรือ คุณสุธาสินี น้อยอินทร์ ด้วยใจที่แบ่งรับแบ่งสู้นั้น เพราะฉันเกิดมโนภาพขึ้นมาในใจ ด้วยข้อมูลและภาพที่เคยเห็นเกี่ยวกับผู้ป่วย HIV มาแต่ก่อนแต่ไรนั้นมักเป็นภาพของผู้ป่วยที่ผ่ายผอมและมีแผลพุพองตามร่างกาย มีอาการทุกขเวทนาที่เจ็บปวด

ภาพเหล่านั้นจึงทำให้ฉันเกิดความกลัว ที่จะต้องได้ไปเห็นและพบกับความเศร้าหดหู่ใจ แต่ในที่สุด ฉันก็ตัดสินใจไป เพราะต้องการจะต่อสู้กับความกลัวที่มีอยู่ในหัวใจของตนเอง ประกอบกับการที่ฉันได้พบเห็นแม่ติ๋ว ผู้ก่อตั้งสถานที่แห่งนั้น ซึ่งก็ได้รับรู้จากเธอว่า เธอนั้นป่วยเป็นโรคมะเร็งในระยะสุดท้าย จึงทำให้ฉันรู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่งว่า คนที่ป่วยหนักและต้องดูแลคนอื่นๆ ที่ก็ป่วยและไม่สบายเช่นเดียวกันนั้น เขามีชีวิตความเป็นอยู่กันอย่างไรหนอ

ราวตีห้าฟ้ายังไม่สว่าง รถทัวร์ก็ได้ไปถึงยัง จ.ยโสธร ที่หมาย ในความมืดสลัวของบรรยากาศยามเช้ามืด เมื่อฉันก้าวลงจากบันไดรถ ลงเหยียบพื้นถนน พลันก็ได้ยินเสียงเพลงหมอลำที่ร้องบรรเลงในท่วงทำนองที่เชื่องช้าและโหยเยือก

เสียงร้องเพลงที่ไร้เครื่องดนตรีเป็นสำเนียงภาษาอีสานที่เชื่องช้า และโหยเยือกเย็นนั้น ช่างไพเราะและเจือไปด้วยความเศร้าอย่างประหลาด

ฉันยังไม่โทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ มารับ แต่ถามทางไปตลาดและเดินไปเที่ยวดูตลาดในยามเช้าจนฟ้าสว่าง จึงได้เรียกทางมูลนิธิฯมารับ

เจ้าหน้าที่ผู้หญิงสองคนขับรถปิคอัพเก่าๆ มาพาฉันไปยังบ้านของเธอซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันกับมูลนิธิฯ พวกเขาตัดสินใจกันว่าควรให้ฉันพักที่บ้านเจ้าหน้าที่ จะสะดวกสบายกว่าการพักในมูลนิธิฯ ฉันทำตัวให้ง่ายต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจัดไว้วางไว้ เมื่อฉันต้องออกจากบ้าน

ไปร่วมงานกับใครในครั้งคราใด ฉันจะวางความเป็นตัวเองทุกๆ อย่างที่มีไว้ที่หัวบันไดบ้านของตัวเอง และเป็นคนง่ายๆ กับทุกๆ คนที่ฉันต้องเกี่ยวข้องทางการงานด้วย เช่นนี้เสมอๆ

ราวๆ สิบโมงเช้า แม่ติ๋วสุธาสินี จึงเดินทางมารับฉันเพื่อไปดูดินเหนียวที่จะใช้ปั้น ที่โรงงานทำเตาหุงข้าวในละแวกตัวอำเภอเมืองยโสธรนั่นเอง เมื่อสั่งซื้อดินเสร็จ เราก็พากันเดินทางเข้าไปยังมูลนิธิฯ มีเยาวชนและเด็กเล็กๆ หลายต่อหลายคนมายืนกล่าวคำสวัสดีและต้อนรับฉัน

พวกเขามีหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใสและดูเหมือนเด็กๆ ปกติทั่้วไป ภาพที่ฉันวาดไว้ถึงความเจ็บป่วยอันน่าสะเทือนใจนั้น เลือนหายไปจนหมดสิ้น

พวกเราปูผ้ายางและพากันนั่งลงกับพื้น พวกเด็กๆ ต่างมารุมล้อมฉันและฟังตามที่ฉันบอก โดยมีดินเหนียวใส่ถุงใบใหญ่วางอยู่ข้างหน้าเรา

ฉันแนะนำตัวเองและเริ่มบอกวิธีการปั้นดินอย่างง่ายๆ แก่พวกเขา มือน้อยๆ ของพวกเด็กๆ แต่ละคน ต่างควักดินไปจากถุงและนั่งปั้นด้วยตัวของเขาเอง ฉันใช้หัวใจและความเป็นมิตรลงไปในการสื่อสารกับพวกเขา ฉันไม่ได้สอนพวกเขาปั้นดินอย่างเคร่งเครียดจริงจัง เพียงการใส่ใจในสิ่งที่พวกเขาแต่ละคนกำลังปั้น แนะนำ และตอบในความรู้ที่เด็กๆ คนใดอยากรู้เป็นการเฉพาะ

พวกเขาปั้นดินไปอย่างอิสระ และเริ่มไว้วางใจ เด็กเล็กๆ บางคนเข้ามากอดฉัน และเอาศีรษะมานอนหนุนที่ตัก

วันที่หนึ่งผ่านไป พวกเด็กๆ ต่างก็สนิทสนมกับฉันมากขึ้น และฉันเองก็คลายความวิตกกังวลที่มีก่อนหน้าลงไปอย่างมากมาย วันต่อมาเราเริ่มกินข้าวโต๊ะเดียวกัน พวกเขาชอบวิ่งมากอดฉันกันมากขึ้น ทั้งเด็กเล็ก เด็กโต และพากันเรียกฉันว่า “แม่องุ่น”

เมื่อถึงเวลาเย็นหมดจากการสอน ทางมูลนิธิฯ ก็พาฉันไปส่งยังที่พัก พอเช้าตรู่ฉันก็ใส่กางเกงวอร์มและรองเท้าผ้าใบที่เตรียมมา ออกเดินจากที่พักไปยังตลาด เดินไปและเดินกลับเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเป็นการออกกำลังกายและได้ดูสิ่งแวดล้อมของหมู่บ้านในชนบทภาคอีสานอันแปลกใหม่และน่าสนใจสำหรับฉัน


ฉันอยู่ที่นั่นจนถึงวันที่ห้า การสอนการปั้นดินก็ได้สำเร็จเสร็จสิ้นลง ฉันกลับบ้าน…ทางมูลนิธิฯ ได้สอบถามฉันถึงค่าตอบแทนที่ฉันควรจะได้รับ ฉันจึงตอบไปว่า ฉันมาที่นี่ไม่ได้หวังผลตอบแทนเรื่องเงินค่าสอน เพียงแค่มูลนิธิฯได้ออกค่ารถไปกลับให้กับฉันและเอื้อเฟื้อเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ให้กับฉันเป็นอย่างดีถึงห้าวันนั้นเป็นสิ่งที่เพียงพอแล้ว

ทางมูลนิธิฯ จึงได้มอบของที่ระลึกที่ทำจากฝีมือของเด็กๆ และหนังสือวารสารเล่มบางๆ ของมูลนิธิฯ ที่ถูกมัดรวมเข้าด้วยกันอย่างสวยงามให้กับฉัน

แม่ติ๋ว หรือ คุณสุธาสินี และเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งได้เดินทางขึ้นรถทัวร์ขากลับเข้ากรุงเทพฯไปพร้อมกับฉัน เธอบอกว่าเธอกับเจ้าหน้าที่ผู้นั้นมีความจำเป็นต้องไปซื้อของบางอย่างอันเป็นของใช้ของเด็กๆ ที่กรุงเทพฯด้วยเช่นกัน

เมื่อรถทัวร์ถึงกรุงเทพฯในตอนเช้า ก่อนแยกกันไป เธอได้กำชับกับฉันว่า แม่องุ่นไปถึงบ้านแล้วอย่าลืมเปิดอ่านวารสารนะ อย่าเอาไปลืมไว้ที่ไหนนะ

ในกรุงเทพฯ ฉันแวะเข้าไปพักที่คอนโดฯ ก่อน เมื่อฉันได้เปิดดูวารสารเล่มนั้น ฉันได้พบธนบัตรใบละพันสองใบสอดแนบไว้ในวารสารนั้น ฉันต้องการที่จะคืนเงินให้กับพวกเขามาก จึงรีบโทรศัพท์หาแม่ติ๋ว และนำเงินไปคืนเธอ ก่อนที่เธอจะกลับยโสธร

เธอฟังคำบอกเล่าของฉันและรับเงินนั้นคืนกลับไป แล้วก็ส่งเงินนั้นคืนกลับมาให้ฉันอีก พร้อมกับบอกกับฉันว่า ขอให้ฉันรับเงินจำนวนนี้ไปเถิดนะ มันเป็นเงินที่พวกเธออยากตอบแทนฉัน

สีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสารฉัน อันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ฉันก็รู้สึกต่อพวกเธอและเด็กๆ เช่นเดียวกัน ฉันจึงจำเป็นต้องรับเงินนั้นกลับมา จากนั้นเธอและเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ผู้น้อง ได้เดินไปส่งฉันยังที่จอดรถในวัดมหาธาตุ

เมื่อฉันขับรถออกมาก็ยังคงเห็นสายตาของหญิงทั้งสองคนที่มองมายังรถของฉันด้วยใจที่เป็นห่วง คงเป็นเพราะชีวิตและงานของพวกเธอนั้นได้ประสบพบเห็นต่อชะตากรรมของเด็กและผู้หญิงที่โดนกระทำ และต้องตกระกำลำบากมามากมาย

ด้วยการงานและสิ่งแวดล้อมเช่นนั้น ทำให้พวกเธอก็ต่างมองฉันด้วยความสงสารที่ฉันเป็นผู้หญิง ผู้ต้องมีชีวิตเพียงลำพังและไปไหนมาไหนลำพังอย่างเสี่ยงอันตราย…

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ฉันจึงเกิดความคิดว่า ฉันควรจะใช้ความสามารถที่มีของตนเอง ทำบางสิ่งบางอย่างให้เกิดประโยชน์ แก่คนเหล่านั้นที่ลำบากกว่าฉัน

ฉันค่อยๆ บรรจงปั้นงานรูปหญิงสาวขึ้นมา อย่างสวยงาม 3 ชิ้น ด้วยความหวังว่า จะนำงานทั้งสามชิ้นนี้ออกขายเพื่อจะได้นำเงินไปมอบให้กับ มูลนิธิสุธาสินี น้อยอินทร์ หรือ บ้านโฮมฮัก แห่งนี้

ในขณะที่ฉันเดินทางไปสอนพวกเขาปั้นดิน ฉันเห็นชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเด็กๆ ที่แม้จะป่วย และเป็นเด็กกำพร้า แต่พวกเขาก็ต้องมีชีวิตอยู่โดยต้องอาศัยสิ่งที่สำคัญยิ่้งคือ การมีคนเลี้ยงดูในสถานที่ที่ปลอดภัยและได้รับกำลังใจ

การเจ็บป่วยที่ไม่มีวันหาย,พ่อแม่ที่จากไป และบางคนไม่เคยแม้แต่จะได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ พวกเขามีความทุกข์โศกมากมาย แต่ก็ยังมีรอยยิ้มและต่อสู้กับชีวิต

ฉันปั้นงานด้วยแรงใจอันงดงามต่อการอยากช่วยเหลือพวกเขา และได้นำความนี้ไปปรึกษาขอความช่วยเหลือจาก คุณสายสัมพันธ์ ปัญญศิริ ผู้ดูแลเสถียรธรรมสถาน เพราะฉันเองก็ไม่มีเงินทุนในการนำงานไปหล่อ และคุณสายสัมพันธ์ได้ให้ความช่วยเหลือในเรื่องนี้กับฉัน

ในที่สุดฉันจึงได้หล่องานทั้ง 3 ชิ้น ออกมาสมดังความตั้งใจ และได้จัดงานแสดงขึ้นที่ บ้านศิลปิน อ.หัวหิน โดยนำงานชิ้นอื่นๆ ที่ทำไว้ก่อนหน้านั้นมาร่วมแสดงด้วย

ฉันตั้งชื่อให้งานแสดงครั้งนี้ว่า “ห่มรัก”

แม้สถานที่จัดแสดงงานจะอยู่ไกลถึงหัวหิน แต่ก็มีพี่ๆ ที่ฉันรู้จักและชื่นชมงานของฉันได้ติดตามไปดูและให้กำลังใจ พร้อมกับเพื่อนๆ ของเจ้าของบ้านศิลปินที่รักงานศิลปะอีกหลายต่อหลายคนก็ได้มาชื่นชมผลงาน และฉันได้เอ่ยปากบอกเล่าเรื่องงานทั้ง 3 ชิ้นที่ทำขึ้นเพื่อหารายได้ให้กับทางมูลนิธิฯ แก่พวกเขา

ผลปรากฏว่ามีงานขายได้ไปหลายต่อหลายชิ้น ทั้งในเวลางานและเวลาหลังจากนั้น รายได้จากชิ้นงานแต่ละชิ้น เมื่อได้หักค่าหล่องานที่ต้องจ่ายกับทางโรงหล่อเพื่อเป็นทุนหล่องานชิ้นใหม่ออกมาวางขายทดแทนงานที่ขายไปแล้วนั้น ส่วนที่เหลือจากการจ่ายค่าหล่องาน ฉันได้โอนมอบให้กับทางมูลนิธิทุกบาททุกสตางค์ ฉันสามารถหาเงินช่วยเหลือมูลนิธิฯได้เป็นจำนวนถึงแสนกว่าบาท ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจ


ในช่วงเวลาที่ฉันกลับไปแสดงงานที่ บ้านศิลปิน อ.หัวหิน นั้น ฉันได้กลับไปอยู่ที่หัวหินอีกครั้งหนึ่งในระยะสั้นๆ ของการแสดงงานและในขณะที่ฉันกำลังนั่งปั้นดินอยู่ในหอศิลป์นั้น ก็มีพ่อแม่ลูกครอบครัวหนึ่งมาหยุดยืนมองดูฉันที่กำลังปั้น

ฉันดีใจมากที่ได้พบครอบครัวนี้ เพราะเขาคือ คุณเฉลียว ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของแกลเลอรี่ ที่เคยไปซื้องานดินเผาของเพื่อนใจของฉันและของฉันบ้างเล็กน้อยที่บ้านแม่ริม จ.เชียงใหม่ นานมาแล้วนั่นเอง เขาและครอบครัวได้มาหยุดยืนมองดูฉัน พร้อมกับบอกกับว่า

“ผมดีใจ ที่เห็นคุณยังทำงานอยู่…ถ้าคุณไม่จริง..คุณไปนานแล้วละ”

และในวันนั้นคุณเฉลียวได้อุดหนุนซื้อรูปปั้นซึ่งหล่อด้วยบรอนซ์ของฉันไปสองชิ้น

เมื่องานแสดงเสร็จสิ้นลง ฉันกลับสิงห์บุรี เมืองแห่งท้องนา แม่น้ำ..และยอดมะม่วงที่ฉันเคยไม่อยากกลับมาอยู่ และค่อยๆ อยู่ไปอย่างคุ้นชินในที่สุด

เริ่มมีงานขายได้บ้างจากการไปฝากวางขายที่ร้านของเพื่อนร้านเดิมที่สวนจตุจักร และจากงานแสดงที่ฉันมักไปร่วมแสดงกับคนอื่นๆ ที่มีมาชักชวนชวนอย่างประปราย

ฉันค่อยๆ อดออมนำเงินมาไปซื้อกระจกมาใส่หน้าต่างบ้าน ที่ว่างโล่งอยู่จนครบสมบูรณ์ หลังจากที่เป็นเวลาสองปีมาแล้วที่ฉันอยู่ในบ้านที่ไม่มีกระจกประตูและหน้าต่าง

ฉันมักออกเดินในทุกๆ เช้า เป็นการดูแลตัวเองอย่างง่ายๆ เท่าที่พอจะทำได้ กินอยู่อย่างอดออม เพื่อที่จะรักษาวิถีชีวิตที่ฉันรักเช่นนี้ไว้ให้นานที่สุด เพราะฉันไม่รู้สึกนึกคิดที่จะทำในสิ่งอื่นใดอีกแล้ว นอกจากสิ่งนี้

วันเวลาผ่านไปฉันได้รับโทรศัพท์จากอดีตเพื่อนใจของฉัน ว่าเขาได้พบกับพี่ ตึ๋ง -ชาติชาย ปุยเปีย ศิลปินผู้ที่เราทั้งสองชื่นชมในผลงานของเขา และเราเคยได้มีโอกาสไปยังบ้านหรือสตูดิโอของเขาเมื่อหลายปีก่อนที่ผ่านมา

พี่ตึ๋งได้สอบถามถึงฉัน เพื่อนใจของฉันจึงตอบไปว่า เราได้เลิกกันไปแล้ว พี่ตึ๋งจึงถามว่า แล้วฉันทำอะไรอยู่ เพื่อนใจของฉันจึงตอบไปว่า องุ่น ก็ทำงานปั้นของเขาดังเดิม แล้วก็ยื่นโทรศัพท์ให้พี่ศิลปินท่านนั้นดูรูปงานของฉันที่มีอยู่ในโทรศัพท์ เมื่อได้เห็นงานจากภาพในโทรศัพท์ พี่ศิลปินท่านนั้นจึงได้แนะนำงานของฉันให้กับต้นสนแกลเลอรี่

ทางต้นสนแกลเลอรี่ จึงติดต่อขอให้ฉันนำงานไปให้ดู และได้จัดงานแสดงขึ้นในชื่องานว่า Self Taught อันหมายถึง งานของคนผู้สร้างงานศิลปะโดยไม่ได้ผ่านการเรียนรู้ มาจากสถาบันทางศิลปะ โดยมีศิลปินท่านอื่นร่วมแสดงด้วยกันอีกสามคน
ฉันรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งงานได้ถูกจัดขึ้นและจบลงอย่างสวยงาม และนั่นนับเป็นก้าวแรกที่งานของฉันได้เดินทางจากตลาดนัดจตุจักร และการแสดงงานในห้างสรรพสินค้า ไปสู่แกลเลอรี่

ในเวลาต่อมาฉันจึงได้ติดต่อไปยังคุณเฉลียว เจ้าของ CVN แกลเลอรี่ ผู้ซึ่งเคยมาซื้องานของฉัน เพื่อติดต่อขอนำผลงานของตนเองไปฝากขาย ในพื้นที่แกลเลอรี่ของเขา ซึ่งฉันก็ได้รับการตอบรับและตกลงจากเขาเป็นอย่างดี

ฉันซาบซึ้งในน้ำใจ ของบุคคลหลายต่อหลายคนที่มีน้ำใจต่อฉัน ซึ่งเป็นเพียงคนทำงานศิลปะเล็กๆ คนหนึ่ง เป็นอย่างยิ่ง



รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It