Art Eye View

ระบำน้ำฝน : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

Pinterest LinkedIn Tumblr

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

ในท่ามกลางอากาศร้อนของเดือนเมษา ชีวิตและการทำงานฉันไม่ได้รุ่มร้อนคุระอุ ไปกับมันเลย ในทางตรงกันข้ามอากาศที่ร้อนอบอ้าว

ทำให้วันในแต่ละวันนั้นราวกับวันเวลาอันเชื่องช้าหน้าเบื่อหน่ายที่แสนยืดยาว ชีวิตและการทำงานของฉันเป็นไอย่างอืดอาด ยืดยาด

แม้ในใจจะได้คิดวางไว้ ถึงการงานที่จะทำขึ้นอย่างเกี่ยวพันกันเป็นลูกโซ่ แต่การณ์ที่คิดไว้กลับยังเป็นสิ่งที่ยังอยู่ภายในใจ ที่กำลังรอวันประทุขึ้นมาเพียงเท่านั้น…

อากาศอันร้อนอบอ้าวของปีนี้ไม่ได้ทำให้เกิดแรงบันดาลใจต่อฉันได้ดังปีก่อนๆ ที่ผ่านมา..


เมื่อยังทำงานไม่ได้ ฉันมักผ่อนปรนให้กับตัวเอง ด้วยการหาความสุขอย่างง่ายๆ คือการอาบน้ำแต่งตัวสบายๆ ออกไปนั่งหย่อนใจอยู่ยังร้านกาแฟต่างๆ..

ที่จริงแล้วฉันเป็นคนดื่มกาแฟไม่เก่งนัก ฤทธิ์ของกาแฟหากแรงไปสำหรับฉันก็จะทำให้นอนไม่หลับ แต่ฉันก็ชอบที่จะแวะเวียนไปหาร้านกาแฟต่างๆ ในละแวกใกล้บ้านของฉัน แล้วนั่งดื่มลาเต้ร้อนๆ

การได้นั่งดื่มอยู่ในมุมที่นั่งที่เหมาะสม ได้มองคนที่เดินผ่านไปมา และบรรยากาศรอบๆ ริมถนนนั้นเป็นสิ่งหนึ่งทีทำให้ฉันเกิดจินตนาการบางอย่างซึ่งจะเกี่ยวพันจนถึงขึ้นของการนำมาทำงานในอนาคตได้..

ในวันบางวันขณะที่ฉันขับรถออกจากบ้านไป ฉันถามตัวเองว่าเหตุใดหนอ วันนี้ฉันจึงมักอยากไปที่ร้านกาแฟร้านที่กำลังจะไปในวันนี้
และคำตอบที่ได้รับจากตัวเองอย่างชัดเจนคือ “ฉันไปเพียงเพื่อที่จะได้พบกับรอยยิ้ม” รอยยิ้มอันเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรีของผู้เป็นเจ้าของร้าน เพียงเท่านั้นเอง..

ในวันอีกวันหนึ่งที่ฉันถามตัวเองในขณะที่กำลังจะไปในร้านกาแฟอีกที่หนึ่ง คำตอบที่ได้รับกับตัวเองนั้นค่ะ “เพราะวันนี้ฉันต้องการอยู่ท่ามกลางผู้คนเยอะๆ” ที่ร้านนี้

วันหยุดเช่นนี้จะมีคนมานั่งกันอยู่อย่างเนืองแน่น ฉันเพียงต้องการที่จะเข้าไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ขัดแย้งกับสิ่งแวดล้อมอันเป็นประจำวันที่เงียบสงบที่บ้านของฉันนั่นเอง

และแน่นอนเหลือเกินในบางวัน…ที่ฉันต้องขับรถออกจากบ้านไป ด้วยเหตุผลเพียงเหตุผลเดียวคือ เพราะที่นั่นเขาชงกาแฟอร่อยเหลือเกิน..

ฉันได้รับรู้กับตัวเองว่า แม้ในการบำบัดความเบื่อหน่ายกับสิ่งแวดล้อมและอากาศของฉันจะถูกบำบัดด้วยสิ่งง่ายๆ เพียงแค่การได้ไปร้านกาแฟและดื่มกาแฟ

ฉันก็ได้พบว่าในความต้องการเหล่านั้นแม้เป็นสิ่งง่ายๆ ที่ดูเหมือนไม่สำคัญนั้น มันช่างประกอบไปด้วยเหตุผลลึกๆ..ที่ซ่อนอยู่ภายในจิตใจอย่างมากมาย และในบางขณะที่ฉันนั่งจมจ่อมอยู่ในร้านกาแฟนั้น ฉันเคยนึกถึงคนผู้ดื่มสุรา และชอบไปนั่งดื่มสุราว่า เบื้องลึกของการไปนั่งดื่มกินของเขานั้น เราจะมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกันไหม หรือคล้ายๆ กันแต่จะต่างกันเพียงแต่เราดื่มในสิ่งที่ต่างกัน…

ท่ามกลางการหมดไปของกาแฟสองแก้วบนโต๊ะ

บรรยากาศที่อยู่ตรงกันข้ามกับร้านกาแฟซึ่งเป็นโรงแรมเก่าๆ แห่งหนึ่งในตัวจังหวัด

ฉันมองไปแล้วคิดถึงภาพหญิงสาวผู้มายืนคอยชายหนุ่ม ที่หน้าโรงแรมแห่งนั้น เธอคงแต่งกายสุภาพสวยงามตามสมัย เมื่อคิดย้อนไปสัก 60 ปีที่ผ่านมา

ความคิดและจินตนาการได้ผุดขึ้น เพียงฉันเห็นป้ายตัวอักษรเก่าๆ ของโรงแรมแห่งนั้น…

นี่ถ้าฉันไม่ได้เป็นคนปั้นรูปปั้นละก็..ฉันอาจถูกมองว่าเป็นบ้าก็เป็นได้นะ..

ก็ฉันคิดอะไรเพ้อฝันไปในสิ่งที่ไม่ได้เป็นปัจจุบันกับที่ตามองเห็นซักเท่าไรเลย…และก็จะเที่ยวเอาไปคุยเพ้อเจ้อกับใครก็ไม่ได้

แต่เมื่อมันปรากฏออกมาเป็นงานปั้นเมื่อใดแล้ว นั่นแหละ จึงจะมีคนมองเห็นและ “หลงรักมัน”


บ่อยครั้งที่ฉันเคยใคร่ครวญตัวเองว่าเหตุใดฉันจึงมีอารมณ์และความชอบอยู่เพียงแค่เรื่องของความรัก ความเสน่หา ความปรารถนา และการรอคอย ในเนื้อหางานของฉันนั้นก็ปรากฏอยู่แต่สิ่งเหล่านี้

หวนคิดถึงการได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับคนผู้ที่สนใจในงานของฉันแต่เขาต้องการได้งานในแบบที่น่าจะนำเข้าไปอยู่ในบ้านที่ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมทำสมาธิ งานในแบบที่เอื้อต่อความสงบของผู้คนได้

ฉันได้คุยกับเขาอย่างเอื้อเฟื้อ และกึ่งที่จะถามกับตัวเองอยู่ด้วยเหมือนกันว่า ทำไมนะ.ฉันมักจะหยุดความคิดและความชอบของตัวเองอยู่แต่ที่เรื่องของความรัก ความปรารถนา ทั้งที่ตัวจริงของฉันก็หาได้ดูเป็นเช่นนั้นไม่ ท่าทางของฉันนั้นเป็นคนที่อยู่อย่างเรียบๆ เงียบๆ เนื้อตัวไม่ไม่แต่งปรุงอันใด โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ได้พบปะใครๆ…ฉันก็ทำบุญ ชอบฟังธรรม

ธรรมะเป็นที่พึ่งอันสูงสุดของฉันและทำให้ฉันรู้สึกชุ่มเย็น แต่ขณะเดียวกันฉันก็ไม่ดื่มด่ำกับสิ่งเหล่านั้นจนที่จะนำมาทำเป็นชิ้นงานได้

มิ่งมิตรผู้นั้นรับฟังฉันอย่างเข้าใจ เราแลกเปลี่ยนกันในการพูดคุยเป็นอย่างดี และฉันได้แนะนำศิลปินท่านอื่นซึ่งทำงานในรูปแบบที่น่าจะเป็นที่พึงใจต่อเขาไปในที่สุด..

ฉันย้อนคิดถึงงานที่ถูกสร้างขึ้นจากแรงผลักดัน ที่เกิดจากอากาศอันร้อนอบอ้าวที่ผ่านๆ มาของฉัน

ชิ้นหนึ่งนั้นนั้น ผ่านมาเนิ่นนานแล้วนับสิบปี เธอเกิดขึ้นในช่วงขณะของเดือนเมษายน เดือนอันร้อนระอุนี้ ฉันระบายความรู้สึกของตัวเองลงในดิน ปั้นขึ้นมาเป็นหญิงสาวที่นอนเหยียดกายผ่อนคลายตัวเองอย่างสบายๆ…แล้วนำหล่อนไปติดไว้กับผืนที่นอนแผ่นไม้ เธอมีชื่อว่า “38 องศา”

อีกชิ้นหนึ่งที่จะเล่าถึงนั้น มันเกิดขึ้นเมื่อฉันนั่งมองดูดอกคูนเหลืองอร่ามที่กำลังพริ้วไหวอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแล้งของเดือนเมษายน เธอได้ถูกตัดทอนลำตัวออกไปเหลือเพียงหัวแขนและขา เมื่อมองดูโดยรวมแล้วเธอมีความคล้ายกับช่อของดอกคูณที่มีพุ่มเป็นสามเหลี่ยม.. ฉันตั้งชื่อให้กับเธอว่า “พริ้วพรมลมแล้ง”

และงานชิ้นที่เกิดขึ้นจากความอัดอั้นตันใจที่มีต่อฤดูร้อน และเฝ้าคอยฤดูฝนของฉัน คือ “ระบำน้ำฝน”

ฉันยังจดจำได้เป็นอย่างดีของการอยู่อย่างอดทนต่ออากาศร้อนในเดือนเมษายนของตนเองในปีนั้น..ร้อนจนทำให้ฉันฝันถึงความเย็นฉ่ำของสายฝน และการเล่นน้ำฝนในวัยเด็ก ความสนุกสนาน ฉ่ำเย็น และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ…ร้อนจนฉันเฝ้ารอ “ฝนแรก” ของปีนั้น..

และในทันทีที่มีฝนตกฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ตนเองตั้งใจไว้ คือการพาตัวเองออกไปเล่นน้ำฝน ฉันเหลียวซ้ายแลขวาไม่มีใครเห็นฉันแน่ๆ บ้านของฉันมีร่มไม้ใบบังเป็นกำแพง ประกอบด้วยลมแรงและพายุฝน ไม่มีใครออกจากบ้านมามองเห็นฉันแน่แล้ว..ฉันออกไปยืนเล่นน้ำฝนอยู่บนชานบ้านของตัวเอง ชานบ้านที่มีหลังคาเปิดไว้เพื่อมองท้องฟ้าและดวงดาวของฉัน

สายฝนได้โบกโบยลงมาปะทะผิวกายของตนเอง ฉันหลับตานึกถึงเสียงดนตรีที่ดังกรุ๋งกริ๋ง..จากการหมุนกล่องดนตรี ฉันมีเสียงดนตรีประกอบการเล่นน้ำฝนอยู่ภายในจิตใจของฉันที่เคล้าคู่ไปกับเสียงแห่งสายฝน

และฉันได้นำความรู้สึกอันเด่นชัดที่ได้รับจากการเล่นน้ำฝนครั้งนั้น มาบรรจุไว้ในภาพปั้นงานหญิงสาวของฉัน ที่ชื่อว่า “ระบำน้ำฝน”

ในปีนี้ ฉันก็ได้เล่นน้ำสงกรานต์อีกครั้ง ก่อนวันสงกรานต์เพียงวันเดียวเท่านั้น ในขณะที่ฉันกำลังขับรถจวนเจียนจะถึงบ้าน ท้องฟ้าได้เริ่มมืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด ฉันไม่รอช้ารีบขับรถกลับมายังบ้าน

ฝนค่อยๆ เทลงมาในระหว่างทางและตกหนักขึ้นเมื่อฉันมาถึงบ้าน ฉันก้าวลงจากรถโดยไม่พะวงถึงร่มอีกต่อไป ฉันกึ่งเดินกึ่งวิ่งจนมาถึงบ้าน และยืนเล่นน้ำอยู่บนนอกชานบ้านของฉัน ความร้อนที่อัดอั้นมานานในเดือนเมษายน ถูกสายฝนอันเย็นฉ่ำปะทะผิวกาย ความเย็นนั้นเย็นและสดชื่นกว่าน้ำที่ไหลจากฝักบัวในห้องน้ำ เสียงลมพายุพัดมาเป็นระลอกๆ..

ฉันยืนเล่นน้ำฝนคนเดียวอย่างเนิ่นนาน จากเย็นสดชื่นกลายเป็นหนาวสั่น และหนาวเหน็บลึกเข้าไปถึงกระดูก ฉันรับรู้ขั้นตอนของความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นและจดจำมันไว้ ฉันได้เล่นน้ำสงกรานต์กับสายฝน..

ความรู้สึกยังคงเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับฉัน ตราบใดที่ยังเป็นมนุษย์ฉันยังคงมีความรู้สึก และตราบนั้นมันจะได้ถูกถ่ายทอดลงไปในชิ้นงาน…

ภาพถ่ายโดย : มณีดิน และเกรียงไกร ไวยกิจ


รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews

Comments are closed.

Pin It