คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในเวลาบ่ายของวัน ฉันกำลังนั่งทำงานอยู่ งานชิ้นผู้หญิงสาวที่กำลังนอนฟังเสียงฝน เธอถูกเริ่มปั้นขึ้นในคืนวานซึ่งมีฝนตก
ฉันได้ยินเสียงฝนหล่นกระทบแมกไม้รอบๆ บ้านอย่างอ่อนโยนและเพราะพริ้ง ฉันจึงปั้นเธอขึ้นมา..หญิงสาวผู้กำลังนอนฟังเสียงฝน
เธอมีร่างอันระหงและแบบบาง คล้ายกับงานปั้นชิ้นเก่าๆ ของฉัน
บ่อยครั้งที่ฉันคิดถึงงานชิ้นเก่าๆ ของตัวเอง ซึ่งไม่ได้มีเก็บเอาไว้เลย คงยังมีอยู่ก็แต่ในรูปถ่ายที่ให้ได้มองเท่านั้น ฉันหวนคิดถึงการเดินทางของหญิงสาวดินปั้นเหล่านั้น ชิ้นแล้วชิ้นเล่าที่เดินทางไปจากฉัน
เริ่มจากงานปั้นชิ้นแรกๆ ตัวละ 150 บาท ที่นำไปวางขายในตรอกซอยละแวกท่าพระจันทร์ งานบางชิ้นก็มีผู้มาซื้อหาไปจากบ้าน งานบางชิ้นถูกใช้ให้ทำหน้าที่เป็นของขวัญจากฉันสู่เพื่อนสู่มิตร..และอีกมากมายหลายต่อหลายชิ้นที่ถูกขายไปจากร้านในจตุจักร
พวกเธอล้วนเกิดขึ้นมาจากการปั้นของฉัน เราเดินทางร่วมกันอยู่ระยะหนึ่งและพวกเธอก็เดินทางไปจากฉัน แล้วไม่ได้กลับมาให้ฉันได้พบเห็นอีก
ยกเว้นในบางคราวที่ฉันถูกเรียกให้ไปซ่อมแซมพวกเธอในยามที่แขนหัก ขาหัก จากการปัดฝุ่นแล้วทำตกแตกในบางบ้านที่มีความคุ้นเคยต่อกันเท่านั้น วันเวลาผ่านไปฉันคิดถึงพวกเธอเหลือเกิน งานปั้นชิ้นเก่าๆ ของฉันเหล่านั้น เพราะฉันไม่ได้ปั้นเธอขึ้นมาเพราะสักแต่ว่าปั้น
ฉันปั้นพวกเธอในแต่ละขิ้นขึ้นมาโดยประกอบไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ ที่ เกิดขึ้นกับฉันจริงๆ ในขณะนั้น พวกเธอจึงเปรียบเสมือนสิ่งของที่บันทึกเรื่องราวในชีวิตและเก็บงำความลับต่างๆ ในใจของฉันเอาไว้อย่างมากมาย
อันเป็นเรื่องราวในใจและความลับทางความรู้สึกของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาในทางศิลปะ ไม่รู้จักศิลปะหรือภาพเขียนใดๆ และไม่รู้จักชีวิตของศิลปิน และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะกลายมาเป็นคนที่ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงนี้ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ในขณะที่มือของฉันกำลังสาละวนหยิบจับดินและเครื่องมือไปมา บนรูปปั้นหญิงสาวผู้กำลังนอนฟังเสียงฝนอยู่นั้น ฉันก็ได้รับการติดต่อจากพี่ผู้หนึ่งซึ่งเป็นคนที่ฉันเคารพนับถือ ที่บ้านของเธอมีงานปั้นเก่าๆ ของฉันอยู่หลายต่อหลายชิ้น งานปั้นเหล่านั้นเป็นเครื่องยืนยันมิตรไมตรีอันดีงามที่เราเคยมีต่อกันมาแต่อดีต
บ่อยครั้งที่แขกผู้มาเยือนบ้านของเธอจะสอบถามถึงที่มาของงานปั้นหญิงสาวของฉันที่เขาได้พบเห็น และบ่อยครั้งที่รบเร้าขอซื้อ หรือขอให้ช่วยติดต่อมายังฉันเพื่อซื้องาน ดังเช่นในครั้งนี้
ฉันรู้สึกราวกับเป็นคนใจดำ ที่ได้บอกปฏิเสธ ฉันอธิบายเหตุผลไปอย่างนิ่มนวล พี่ท่านนั้นเข้าใจฉันและเห็นคุณค่าของงานปั้นที่อยู่ยังบ้านของเธอ เธอรักและยังคงรักษางานเหล่านั้นไว้ อย่างไรก็อย่างนั้น ไม่เคยขายแก่คนที่ผ่านมาเห็นแม้แต่ชิ้นเดียว
อย่างไรก็ตามฉันเองก็ยังคงต้องมีรายได้ส่วนหนึ่งเพื่อนำมาดำเนินหล่อเลี้ยงชีวิต ภาระของฉันคือค่าน้ำมันรถ ที่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฉัน ฉันพอใจกับการออกไปเตร็ดเตร่นอกบ้าน ไปดูทุ่งนา ไปตลาด ไปเที่ยวยังจังหวัดใกล้ๆ
การได้ออกจากบ้านดูเหมือนจะเป็นความจำเป็นสำหรับฉันพอๆ กับการกินข้าว หากไม่ได้ออกไปไหนๆ ด้วยถูกความจนกักขัง…ฉันจะรู้สึกว่าชีวิตช่างไร้ความรื่นรมย์ไปเสียสิ้น..คำสอนทางธรรมและการฝึกใจคิดเสียว่า ฉันกำลังฝึกความอดทน นั้นมีคุณกับฉันเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาเช่นนั้น
นอกเหนือจากสิ่งที่ว่ามาแล้วฉันก็ยังมีค่าใช้จ่ายอันเป็นค่าใช้จ่ายประจำบ้านจำพวกค่าน้ำค่ำไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าอาหารแมวฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นค่าใช้จ่ายที่มีอยู่ตายตัวในทุกๆ วันตราบใดที่ฉันยังคงสถานะของคนที่ยังมีชีวิต
ส่วนรายได้ของฉันก็มีเพียงอย่างเดียวคือการขายงานซึ่งเป็นงานบรอนซ์ งานปั้นหญิงสาวชิ้นใดๆ ที่ฉันเห็นว่าเหมาะสมที่จะหล่อฉันจะนำงานชิ้นนั้นไปหล่อเป็นงานบรอนซ์และนำไปฝากขายที่แกลเลอรี่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
การขายงานนั้นเป็นไปอย่างเนืองๆ จากปีแรกๆ ที่วางขายนั้นเงียบสนิท มาเป็นเริ่มขายได้ และขายได้บ่อยขึ้นๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเทศกาล นั่นคงเป็นเพราะขนาดของงานที่ไม่ใหญ่จนเกินไปเหมาะกับการเป็นของขวัญ และราคาของงานก็ไม่แพงจนเกินไป
ฉันมิได้รู้จักมักจี่คนซื้องาน ฉันเพียงนำงานไปฝากวางขาย และตัวเองก็ทำงานอยู่ที่บ้าน ใช้ชีวิตเรียบๆ เงียบๆ เช่นนี้ อันเป็นความพึงพอใจสำหรับฉัน
แต่ในบางช่วงงานที่ควรจะขายได้นั้น กลับทิ้งช่วงห่างไปนาน..บางคราวหลายต่อหลายเดือน กว่าที่จะมีงานขายได้สักชิ้น
ในช่วงนั้นฉันก็ต้องอยู่อย่างประหยัดและอดออม..แต่ฉันก็ยังโชคดีที่ยังมี “นายดี” อดีตเพื่อนใจของฉัน ซึ่งแม้เราจะเปลี่ยนสถานะจากเดิม มาประดุจเพื่อน ประดุจญาติต่อกัน เขาก็ยังส่งเงินมาช่วยเหลือฉันอยู่เสมอ โดยเฉพาะในยามที่ฉันขาดแคลน นายดีจึงเป็นบุคคล อันแสนมีบุญคุณที่ฉันจะลืมเลือนเสียไม่ได้
การที่ฉันได้พบเขา ดุจดังเป็นพรหมลิขิตที่ชักนำเปิดประตูให้ฉันเข้ามาสู่หนทางชีวิตเช่นนี้ แม้เราจะไม่มีบุญอยู่คู่กันไปจนแก่เฒ่า แต่น้ำจิตน้ำใจของเขาไม่เคยเหือดแห้งไป..
อันงานบรอนซ์นั้นมีต้นทุนการผลิตและเป็นวัตถุดิบซึ่งมีคุณค่ามีราคาสูง ราคาของงานบรอนซ์จึงสูงตามไปด้วย การจะเที่ยวขายงานดิน ซึ่งมีราคาถูกกว่าจึงเป็นสิ่งไม่สมควรทำสำหรับฉัน เพราะเท่ากับฉันเปิดโอกาสให้งานทั้งสองชนิดของตนเองได้รบราฆ่าฟันกันเอง
แต่สิ่งซึ่งสำคัญกว่าในอีกแง่หนึ่งที่ฉันอยากจะกล่าวถึงนั้นคือ ความรู้สึกที่ว่าฉันมีหน้าที่ต้องเก็บสะสมงานของตัวเองไว้ เพื่อเป็นหลักฐาน เพื่อยืนยันในการมีชีวิตอยู่บนเส้นทางสายนี้ของฉัน ฉันมีความปรารถนาให้ชิ้นงานและเรื่องราวที่ถูกเก็บไว้ในตู้ เป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นหลังๆที่ได้ผ่านมาแล้วพบเห็นมัน นอกเหนือจากหน้าที่การสร้างงานแล้ว การเก็บสะสมงานไว้นั้นก็เป็นการงานของฉันอีกอย่างหนึ่งด้วย
ในขณะที่ฉันมีเงินน้อย ฉันก็กินอยู่อย่างประหยัด กับข้าวเพียงอย่างเดียวในสำรับกับข้าวของฉันอาจเป็นผัดผักบุ้งมีราคาแค่สองกำสิบบาทต่อมื้อ
แต่มันก็อร่อยด้วยฝีมือการปรุงอย่างตั้งอกตั้งใจของตัวเอง..ยามมีเงินน้อยก็สอนฉันให้เห็นในคุณค่าของการกินข้าว เวลาที่ฉันตักข้าวใส่จาน
ฉันก็ได้คิดไปด้วยว่า กินข้าวนี้อิ่มท้องได้อย่างจริงๆ กินแล้วอิ่มทันทีและฉันมีชีวิตรอดอยู่ไปได้ กับมีเงินในธนาคารนั้นให้ความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยแก่จิตใจ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อิ่มท้องทันทีเหมือนอย่างข้าว เมื่อนึกได้เช่นนี้ฉันก็มีความสุขในกับข้าวยามจนอย่างเอร็ดอร่อย
แต่ฉันก็ไม่ปฏิเสธ ความมีเงินหรือความสุขสบาย ในเวลาที่ขายงานได้และฉันมีเงิน ฉันก็พร้อมที่จะใช้เงินนั้นให้ความสุขกับตัวเองตามความพอใจด้วยเช่นกัน
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.