“ขึ้นคาน” เป็นสำนวนเรียกสตรีผู้ถึงวัยมีลูกมีสามีแล้ว แต่ยังไม่ยอมโอเคเซย์เยสกับผู้ชายคนใดมีคู่เป็นตัวเป็นตนสักที
อรรถาธิบายจากขุนวิจิตรมาตรา ปราชญ์ภาษาไทย ท่านว่า สำนวน “ขึ้นคาน” มาจากการเรียกเรือที่ยกขึ้นพาดไว้บนคานเพื่อซ่อมรอยรั่ว ยาชัน ทาน้ำมันใหม่ ในตอนนั้นเรือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ค้างเติ่งอยู่บนคาน เรียกว่าขึ้นคาน
จากผลการวิจัย อ่านแล้วจะเฮ หรือจะเซ็งดีหนอ…บรรดาผู้หญิงในเมืองหลวงหรือตามเมืองใหญ่ 8 ประเทศของทวีปเอเชีย สาวชาวกรุง(กรุงเทพมหานคร) คือ ผู้ซิวแชมป์ขึ้นคานไปครองอย่างใสๆ
Jones, G.W. นักวิจัยของสถาบันวิจัยเอเชีย มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ได้สำรวจอัตราการครองโสดของบรรดาสาวใหญ่วัย 40-44 ปี ที่อาศัยอยู่ตามเมืองหลวง หรือเมืองสำคัญใน 8 ประเทศของเอเชีย ประกอบด้วย ไทย พม่า สิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ผลการสำรวจ สาวใหญ่วัย 40-44 ปี ใน กทม. มีอัตราการครองโสดสูงที่สุดถึง 19.9%
ตามด้วยสาวใหญ่จากย่างกุ้ง (พม่า) คว้ารองแชมป์คานทองนิเวศน์ไปครองด้วยสัดส่วน 16.4% สาวใหญ่แดนลอดช่อง (สิงคโปร์) รั้งตำแหน่งรองแชมป์ขึ้นคานอันดับ 3 ด้วยสัดส่วน 15%
หญิงชาวกัวลาลัมเปอร์ (มาเลเซีย) เกาะเกี่ยวความโสดไว้เหนียวหนึบ เป็นอันดับ 4 ที่ 12.4% หมวยใหญ่ชาวฮ่องกง ตามมาเป็นอันดับ 5 ด้วยสัดส่วน 12.2%
สาวใหญ่ที่มะนิลา (ฟิลิปปินส์) 10.4% ที่กรุงโซล แดนศัลยกรรมดัง (เกาหลีใต้) 3.9% และตบท้ายด้วยสาวสูงวัยในจาร์กาตา (อินโดนีเซีย) มีสัดส่วนขึ้นคาน ที่อัตรา 3.8%
อ๊ะ อ๊ะ อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป มิใช่ว่าสาวใหญ่เมืองกรุงจะหน้าตาเหียก ขี้ริ้วขี้เหร่ จนหาสามีกับไม่ได้ ซะเมื่อไหร่ แพทย์หญิง พรรณพิมล หล่อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันราชานุกูล กรมสุขภาพจิต มีคำตอบมาเฉลยให้กระจ่างแจ้งจ้า
ผู้หญิงเรียนเก่ง หน้าที่การงานเลิศ บันไดก้าวสู่ “คานทองนิเวศ”
“จากการศึกษาหลายที่ พบว่า เรื่องการศึกษา เป็นเหตุทำให้ผู้หญิงเราขึ้นคาน ปัจจุบันผู้หญิงประสบความสำเร็จเรื่องการศึกษาสูงกว่าผู้ชาย โดยค่าเฉลี่ยในระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาของทุกคณะเลยนะ
เพราะฉะนั้นช่วงการเรียนของผู้หญิงจะยาวนาน กว่าจะเรียนจบอายุก็เยอะแล้ว ดังนั้นอายุการทำงานจึงลดลง จากนั้นพอจบการศึกษา ตลาดงานของผู้หญิงจึงค่อนข้างมั่นคงหน้าที่การงานสูง จะมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น เช่น พวกตุลาการ ผู้พิพากษา จะมีผู้หญิงทำหน้าที่นี้มากขึ้น
ลองคิดดู สถานะขนาดผู้พิพากษา เวลาเลือกคู่ครองเขาจึงต้องมีสเปกที่สูงขึ้น ฉะนั้นการเลือกและการตัดสินใจในเรื่องการใช้ชีวิตคู่จึงลดลง กว่าจะเริ่มคิดเรื่องชีวิตคู่บางคนก็อายุเยอะแล้ว พอเริ่มคิดก็ต้องคิดในสเปกที่สูง ถ้าพูดแบบการตลาดช่องทางมันก็แคบลง เหลือตัวเลือกน้อยลงมาก”
คุณหมอพรรณพิมลบอกว่า ผู้หญิงขึ้นคานจะมี 2 ประเภท
“ประเภทที่ 1 เขาเลือกเลยนะ ว่าจะไม่มีชีวิตคู่ คือ เลือกขึ้นคานเลย รู้สึกว่าสถานะแบบเขา การใช้ชีวิตแบบเขาพร้อมทุกอย่างที่เขามี ไม่ได้ขาดอะไรเลย เขาเติมเต็มเองได้ เขาไม่คิดเรื่องการมีคู่ครอง พอใจในชีวิตแล้ว อีกทั้งและกรอบค่านิยมสมัยนี้ไม่ได้มีมากเหมือนสมัยก่อนด้วย
ประเภทที่ 2 คือ อยากมี แต่ตัวเลือกมันเหลือน้อย เมื่อเลือกไม่ได้ตัวเลือกที่ดีจริงๆ มันจึงไม่มีทางเลือก เพราะตัวเลือกมันน้อยเหลือเกิน ก็ขึ้นคานไป”
สาวจ๋าอย่ากังวลก่อน 40+ พ่อแม่ทุกคนจี้หาสามี
“ยุคสมัยนี้สังคมเปิดโอกาส ไม่เหมือนสมัยก่อนที่คิดว่า การที่ไม่มีคู่คือ การไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างหนึ่ง อย่างเวลานั่งในห้องประชุมหมอคาดว่าในห้องที่มีผู้หญิงอายุ 40 ขึ้นไป อาจจะขึ้นคานค่อนห้องเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะพูดคุยกันเรื่องลูก สามี แต่เดี๋ยวนี้หมอว่าเกินครึ่งที่ขึ้นคาน คนนี้ก็ใช่ คนนั้นก็ใช่”
หากพอใจกับชีวิตโสด ชีวิตไม่อ้างว้าง เหงาเคว้ง การขึ้นคานจะแปลกอะไร แต่สิ่งที่ต้องยอมรับคือ ความคาดหวังของพ่อแม่ บางท่านกดดัน “เมื่อไหร่เธอจะมีครอบครัว เป็นฝั่งเป็นฝา” คุณหมอพรรณพิมลแนะนำว่า
“หากเขามีกิจกรรมในชีวิตปกติ เขาพอใจกับชีวิตดี โดยที่ไม่ต้องมีชีวิตคู่ พอใจกับการใช้ชีวิตคนเดียวไม่ได้รู้สึกอะไร บางคนมีกิจกรรมทำเป็นเพื่อน บางคนก็แต่งกับงาน ทำงานทำเต็มที่กลับบ้านดึกดื่น มีเพื่อนไม่ได้เหงาอะไรก็ดีไป
หมออยากจะบอกว่า การขึ้นคาน มันเป็นการเลือก และทางเลือก แต่เรื่องครอบครัวจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ ครอบครัวบางคนเข้าใจ บางคนครอบครัวกดดันอยู่ ทำให้เรารู้สึกอึดอัด
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจพ่อแม่ก่อน ถ้าเขาถามเราว่าเมื่อไหร่จะมีครอบครัว มีแฟน เพราะเราต้องเข้าใจว่า ยุคเขาก็คิดแบบนี้แหล่ะ จะเปลี่ยนความคิดเขาคงยาก เพราะประสบการณ์ชีวิตของเขากับของเราต่างกัน คือ ถ้าเรายอมรับจะทำให้เราไม่กดดันไง เราจะเข้าใจได้ว่า ทำไมพ่อแม่เราถึงคิดแบบนี้ แต่ถ้าเราคิดว่า ทำไมมาคิดกับเราอย่างนี้ เราก็จะรู้สึกแย่ และโกรธเขา เราต้องยอมรับกับสิ่งที่เขาพูด
เราก็ควรยิ้มใส่เวลาพ่อแม่ถาม ไม่ควรตอบโต้ มันเป็นความคิดที่ต่างกัน ใช้เหตุผลสู้กันก็เท่านั้น จนในที่สุดเขาจะรู้ว่า โอเค ชั้นยอมแพ้ก็ได้ พ่อแม่จะยอมแพ้ไปเอง ถ้าช่วงที่เขายังลุ้นอยู่ บอกได้เลยว่า ต้องทำใจ 30 ต้นๆ 30 ปลายๆ เขายังลุ้นให้เรามีครอบครัวอยู่ พอหลังจาก 40 เขาจะเข้าใจเราไปโดยปริยาย พอเขาเลิกลุ้นเขาก็จะเข้าสู่การปรับตัว จะเริ่มกลับมาเข้าใจในมุมของเราว่า เออ ก็ดีนะ ลูกสาวชั้นเก่งนะ อยู่คนเดียวได้ เขาก็จะเริ่มมา มีความภูมิใจกับเราในเรื่องอื่น ที่ไม่ใช่เรื่องการแต่งงาน คุยเรื่องอื่นกับเรา จะไม่คุยเรื่องแต่งงาน แต่จะคุยเรื่องงานของเรา หรือเรื่องอื่นแทน”
สังคมทำกดดัน จงอย่าหวั่นไหว “ขึ้นคาน” แล้วไง!
“การใช้ชีวิตกับตัวเราเองต้องให้มีความชัดเจน และอีกอย่างต้องเข้าใจว่า สังคม และคนรอบข้างไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะมองเราอย่างเข้าใจเช่น เวลาประชุม คนที่นั่งในห้องประชุมก็ไม่ได้แปลว่าทุกคนเข้าใจเราเวลาเราพูด ก็อาจจะมีบางคนคิดต่างจากเรา
ดังนั้นต้องเข้าใจเลยว่า มันเป็นมุมมองความคิดที่หลงเหลือในสังคมอยู่ว่า เอ๊ะ ทำไมผู้หญิงคนนี้ไม่แต่งงาน ไม่มีแฟน เขาต้องนิสัยแย่แน่ๆ เลย ถึงไม่มีแฟนสักที ดังนั้นนั่นคือ สังคมที่เขามองเรา แต่เราอย่าไปกดดันกับมันมาก
กลุ่มที่หวั่นไหวกับสังคมที่มองเป็นพิเศษจะคือ ผู้ประเภทที่ไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นคานหรอก แต่ยังหาตัวเลือกที่ดีไม่ได้ กลุ่มนี้จะอ่อนไหว จะกลับมามองว่า ชั้นมีอะไรไม่ดีหรือเปล่า หากคนพูดเยอะจะเริ่มคิดแล้ว อ่อนไหวตามกระแส แล้วอีกอย่างเราก็ไม่ได้อยากขึ้นคานเหมือนผู้หญิงประเภทแรกที่เขาตั้งใจอยู่แล้ว นั่นจะทำให้เราสูญเสียความมั่นใจในตัวเอง เสียสภาวะจิตใจ เราต้องเข้าใจว่าต่างคนต่างมุมมอง อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจกับคำพูดนี้มากนัก คือเราต้องมีความสุขกับชีวิตเราอย่างไรก็ตามเรายัง มีเพื่อน ชีวิตมันก็ยังดีอยู่ การงานยังก้าวหน้า เราต้องยอมรับเสียงคนรอบข้างไม่ต้องขัดแย้งเขา เขาก็มีมุมของเขา เราก็มีมุมของเรา”
“เพื่อน” มิตรภาพยามเหงา
หาก “ความเหงา” เข้าครอบงำ อย่าริหาผู้ชายมาทำแฟนแก้เหงาเพราะจะไปกันไม่รอด แต่หา “เพื่อน” ที่จริงใจ ปลดล็อกความเหงา-ความทุกข์ทุกชั่วยาม อันนี้จะเลิศ และเด็ดกว่า คุณหมอพรรณพิมลแจงว่า คนเราเหงาแค่ 2 เวลา “ว่าง-จิตตก”!
“เราต้องกลับไปถามตัวเราเองว่า ตกลงเราเหงาหรือเรารู้สึกว่าเขาดี คือ เราอยากจะคบกับเขาโดยคุณสมบัติ แต่ก็ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบก็โอเคแล้ว มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อันนั้นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าเรารู้สึกเหงา เราต้องแก้ปัญหาเรื่องความเหงา เพราะหากว่าเขาไม่ได้มีคุณสมบัติอะไรที่เราอยากคบหาด้วย มันไปไม่รอด ในที่สุดก็ต้องกลับมาเหงาอยู่คนเดียวอยู่ดี พอไปไม่รอดก็เลิกกัน ในที่สุดก็ต้องกลับมาอยู่กับตัวเองอยู่ดี ต้องแก้ต้นเหตุเราด้วย ว่าไอ้ความเหงาของเรา เราจะดูแลตัวเองอย่างไร
เหงามันจะมี 2 เวลาเท่านั้น คือ เวลาว่างกับเวลาจิตตก เช่น มีเรื่องกับที่ทำงาน ช่วงนี้มันเครียด ไม่มีใครให้ระบาย รู้สึกพอเจออย่างนี้ เราจะรู้สึกกับตัวเองว่า แย่ ก็จะเริ่มรู้สึกอยากให้มีคนมาเป็นเพื่อน อยากให้มีใครมาให้กำลังใจ
ดังนั้นถ้าเริ่มรู้สึกว่างก็หาอะไรทำซะ เวลาจิตตกเขา ถึงพูดเสมอว่า คนเราต้องมีเพื่อนไง ไม่ต้องมีแฟนก็ได้ ทีนี้เวลาเราจิตปกติเราก็ต้องคบกับเพื่อน คุยกับเขาอย่างสม่ำเสมอด้วย ไม่ใช่ว่าคบกับเขา คุยกับเขาแค่เวลาจิตตก เอาล่ะ เริ่มโทรหาทั้งวันทั้งคืน แต่เวลาเราจิตปกติไม่โทรหาเพื่อนสักกริ้งเลย เพื่อนจะไปไหนก็ไป ไม่เคยสนใจ แต่พอเราทุกข์ขึ้นมาโทรหา เธออยู่ไหนมาหาชั้นเดี่ยวนี้ด่วนเลยนะ คนเราเป็นเพื่อนกันต้องมีเวลาแบ่งปันกัน เวลาเราไม่สบายใจ ความเป็นเพื่อนจะคุยกันได้
ซึ่งจริงๆแล้ว คนในครอบครัวก็คุยกันได้ แต่อาจจะคุยไม่ได้หมดทุกเรื่อง อย่างพ่อแม่ของเรา เราก็ไม่ได้อยากจะคุยทุกเรื่องหรอก บางครั้งเราก็ไม่อยากเอาความทุกข์ของเราไปเพิ่มให้กับเขา เพื่อนก็น่าจะเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุด ที่เราจะคุยปรึกษาได้ในยามมีปัญหา ไม่มีใคร”
*หมอแนะ*
->อยากก้าวลงจากคานมุ่งสู่ชีวิตคู่
“ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การมีชีวิตคู่คือ การแชร์พื้นที่ส่วนตัว คุณจะเป็นแฟนกันมานานขนาดไหน คุณไม่เคยแชร์เรื่องส่วนตัวกันมากเท่ากับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คำว่าแชร์พื้นที่ส่วนตัวนี่มันทุกเรื่องนะคะ ตั้งแต่วิธีคิด ตอนยังไม่แต่งงานกันก็เจอกันแว้บไปแว้บมา แต่ตอนนี้ทุกความคิดของเรากับเขามันจะปะทะกันตลอดเวลา มันเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ คุณอาจจะรำคาญ ไม่ชอบ คุณต้องเริ่มแชร์พื้นที่ส่วนตัว ของใช้ส่วนตัวทุกอย่าง ชีวิตประจำวันส่วนตัวทุกอย่าง และที่สำคัญเงินด้วย
ค่อยๆ เตรียมพร้อมว่าอาจจะต้องเจออะไรที่ต่างจากที่เราเคยรู้จักกัน ต้องเจอปัญหา มันเป็นเรื่องปกติ การใช้ชีวิตร่วมกันต้องพร้อมที่จะยอมรับว่า อาจจะมีอะไรบางสิ่งบางอย่างต่าง อันนี้เป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวัง เพราะว่าถ้าเราดูหนังดูละครตอนจบจะ Happy Ending แต่ชีวิตจริงการแต่งงาน คือ วันเริ่มต้นของการใช้ชีวิตคู่
แต่อย่าไปมองว่าชีวิตคู่โหดร้ายนะ การใช้ชีวิตคู่ย่อมมีความสุขอยู่แล้ว แต่ต้องไปเจอพื้นที่ส่วนตัวที่เมื่อก่อน เราก็ปิดเอาไว้ แต่พอมาใช้ชีวิตคู่มาอยู่บ้านเดียวกัน เช่น คุณอาจไม่เคยรู้ว่า เขาเดินแก้ผ้า จนกว่าคุณจะแต่งงาน คุณไม่เคยรู้ว่า เขามีนิสัยบางอย่างเวลาอยู่ที่บ้านที่ไม่เหมือนที่เราเคยเจอข้างนอก เขาก็ไม่เคยเจอเราตอนไม่เขียนคิ้ว ไม่เเต่งหน้า เขาจะรับได้หรือเปล่า และนิสัยใจคออีกที่เราจะต้องเจอ เขาเรียกว่า ความคาดหวังนั่นเอง” คุณหมอพรรณพิมล แนะเคล็ดลับการการมีชีวิตคู่แบบต่างฝ่ายต่างต้องเข้าใจ ปิดท้าย
เผื่อว่า… หากมีผู้หญิงคนใดไม่ไหวจะเกาะคานต่ออีกต่อไปแล้ว เพราะโดนผู้ชายเอาไม้สอยแหย่ลงมาจากคานทองนิเวศน์ เพื่อแต่งงานก้าวสู่ชีวิตคู่ที่ไม่เหงา(หู)อีกต่อไป ….
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.