คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN
มันฟังเหมือนนิยายชีวิตแสนเศร้า
แต่สำหรับผู้หญิงคนหนึ่ง เสน่หาต้องห้ามครั้งนี้มันรุนแรงเกินห้ามใจ เรื่องราวต่อไปนี้คือ วิธีที่เธอจัดการกับอารมณ์ขัดแย้งของเธอและเพื่อนๆ กับญาติๆ ที่จะก่นด่าการกระทำของเธอ หญิงสาวคนนี้เล่าว่า:
บุคคลแรกที่ฉันเล่าเรื่องความหลงใหลของฉันที่มีต่อแซมก็คือ พี่สาวของฉัน มารีนา
“คุณพระช่วย”ฉันพูดทางโทรศัพท์ “ฉันคิดว่าฉันชอบพี่บุญธรรมของเราอ่ะ”
มารีนาไม่ต่อต้าน แต่เธอพูดอย่างที่พอจะเดาได้ว่าเธอจะพูดอะไร“ใครๆ เขาจะคิดว่ามันเป็นเรื่องต้องห้ามและวิตถารที่ต้องการเป็นแฟนกับสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวนะ”
เธอเตือนฉันว่าถ้าเราพัวพันกัน บางคนจะทึกทักว่าเราเติบโตขึ้นมาในบ้านหลังเดียวกันและจากนั้นก็เริ่มจู๋จี๋กัน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
แซมกับฉันแทบจะไม่เจอกันเลยตอนเด็กๆ พ่อของเขาย้ายมาอยู่กับแม่ของฉันเมื่อฉันอายุ 6 ขวบ และแซมอายุ 11 ขวบ (พ่อแท้ๆ ของฉันตายในอุบัติเหตุรถชนกัน เมื่อ 4 ปีก่อนหน้านั้น) ส่วนแซมก็ยังคงอาศัยอยู่กับแม่ของเขาห่างจากเรา 15 นาที แต่ครอบครัวของเราทั้งคู่แยกกันอยู่โดยสิ้นเชิง
ฉันไม่เคยใช้เวลาอยู่กับแซมเลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งพ่อแม่ของเขาพาเราไปเที่ยวสวนสนุกแห่งหนึ่งในวันที่ฉันอายุ 8 ขวบ แซมตัวสูงกว่าฉันประมาณ 1 ช่วงศีรษะ ผมบลอนด์ นัยน์ตาสีน้ำตาลและสวมแว่น เราขี่รถไฟเหาะและเล่นอะไรต่อมิอะไรกันทั้งวัน
แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่ได้เจอกับเขามากนัก แม้ว่าแม่ของฉันกับพ่อของเขาแต่งงานกันใน 4 ปีต่อมาก็ตาม เขาแทบไม่มีตัวตนสำหรับฉัน ทว่าขณะที่ฉันโตขึ้นมา ฉันสังเกตว่าเขาน่ารัก แต่มันก็เท่านั้น
ซู่ซ่าครั้งแรก
ในปี 2005 เมื่อฉันอายุ 18 ฉันเจอกับแซมโดยบังเอิญในพิธีฝังศพแห่งหนึ่ง หลังจากที่ไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นเวลา 3ปี เขาดูเท่มากในสูทสีดำ ตัวสูงกว่าเดิมอีก และไว้เคราด้วย เราเริ่มคุยกันไม่หยุดปากเป็นเวลา 5 ชั่วโมง อะไรบางอย่างระหว่างเรามัน “คลิก” กันพอดี
แซมเล่าให้ฉันฟังเรื่องงาน IT อันดีเยี่ยมของเขาและเริ่มถามเกี่ยวกับวิชาเอกที่ฉันกำลังศึกษาในมหาวิทยาลัย เขาอยากรู้เกี่ยวกับเพื่อนๆ ที่ฉันคบหาอยู่และแม้แต่แฟนหนุ่มของฉันที่คบกันมาตั้งแต่ปีก่อน
เมื่อเรากอดลากัน มันใกล้ชิดยาวนานกว่าการกอดแบบ “ครอบครัว” เขายังจูบแก้มฉันด้วย ฉันตกใจที่รู้สึกซู่ซ่าไปทั้งตัว ฉันบอกว่าจะโทรหาเขา ขณะตัวเองยืนงงและใจเต้นรัว
การพูดคุยของฉันกับมารีนาเกิดขึ้นในคืนนั้น ฉันบอกเธอว่าฉันไม่แคร์ โดยไม่สนใจความห่วงกังวลของเธอ สิ่งที่ฉันรู้สึกกับแซมมันใหญ่โตเกินกว่าจะปฏิเสธได้
เดทลับ
หลายวันต่อมา ฉันเชิญแซมมาดินเนอร์แบบครอบครัว ในทันทีที่เขาเดินผ่านประตูเข้ามา ฉันก็ต้องมนต์เสน่ห์ของเขาแทบสลบ
ระหว่างกินอาหาร ฉันเฝ้าแอบมองแซมและจับได้ว่าเขาก็กำลังจ้องมองฉันเช่นกัน ต่อมาในคืนนั้น แซมขับรถพาฉันไปรอบๆ ละแวกบ้านเพื่อที่เราจะคุยกันได้สะดวก
“ฉันชอบคุณ” ฉันโพล่งออกมาราวกับเด็กอายุ 8 ขวบและย้อนกลับไปที่สวนสนุกอีกครั้ง ฉันใจเต้นระทึกเมื่อเขาสารภาพ “ผมก็ชอบคุณ”
แต่เมื่อเขาถามว่าเขาจะพาฉันออกไปเที่ยวได้ไหม ฉันก็ลังเล ไม่ใช่แค่เพราะว่าฉันมีแฟนแล้ว แต่ยังรวมถึงฉันทำนายไม่ได้ว่าพ่อแม่ของฉัน (ก็พ่อของเขาด้วยแหละ) จะว่ายังไง แซมรบเร้าฉันให้ออกเดทกับเขาเพียงครั้งเดียวก็พอ
พอถึงเวลาที่เราพบกันสำหรับการเดทครั้งนั้นในสองสัปดาห์ต่อมา ฉันก็ตัดสินใจเลิกกับแฟนหนุ่มของฉัน แม้ว่าฉันวิตกกังวลกับเรื่องทั้งหมดนี้ แต่แซมไม่เลย เราคุยกันทุกเรื่องตั้งแต่ฟุตบอลจนถึงแผนอนาคตของเรา และพอสิ้นสุดคืนนั้น เราก็พูดขำๆ ว่าเราเป็นญาติกัน เมื่อเขาจูบฉัน มันรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกด
ตั้งแต่นั้นมา เราออกไปเที่ยวด้วยกันตลอดเวลา แต่ก็เก็บงำความสัมพันธ์ของเราไว้เป็นความลับ
นามสกุลเดียวกันแต่งงานกัน
แซมและฉันพบกับเพื่อนๆ ของกันและกันและค่อยๆ ปล่อยให้พวกเขารู้ความจริงอย่างช้าๆ เราบอกให้พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่า เราไม่ใช่ญาติกันทางสายเลือดและไม่ได้โตมาในบ้านหลังเดียวกัน
ในเดือนพฤศจิกายน2005 หลังจากเราเป็นคู่รักกันได้ 2 เดือน แซมก็มารับฉันไปดูฟุตบอลนัดสำคัญ เมื่อเขาเจอแม่ฉัน เขาก็ถาม “ผมขอเดทกับลูกสาวของแม่ได้ไหม?”
แม่ตกใจเล็กน้อย แต่หลังจากได้ทราบว่าความรู้สึกของเราที่มีต่อกันนั้นจริงจังแค่ไหน ท่านก็อนุญาตอย่างระมัดระวัง
พ่อบุญธรรมของฉันยังรับไม่ค่อยได้ โดยเฉพาะเรื่องที่เขากับแซมไม่ลงรอยกันมาเสมอ “หนูแน่ใจหรือว่าต้องการทำอย่างนี้?” เขาถาม
ฉันไม่ทะเลาะกับเขา แค่พูดคุยกันอย่างจริงจัง และไม่ว่าเขาจะพูดยังไงก็เปลี่ยนใจฉันไม่ได้
แซมขอแต่งงานใน 2 เดือนต่อมา และเราย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกัน ทุกคนในครอบครัวมีความสุขกับเรา แต่ก็มีช่วงเวลาอันเคอะเขินอยู่บ้าง เมื่อน้องชายคนเล็กของฉันประกาศที่โรงเรียนว่าพี่ชายกับพี่สาวของเขากำลังจะแต่งงานกัน ฉันได้รับโทรศัพท์จากครูผู้สับสนของเขา เราจึงต้องอธิบายสายสัมพันธ์อันค่อนข้างยุ่งเหยิงของครอบครัวเราให้เขาฟัง และเมื่อเราไปจดทะเบียนสมรสที่ศาลาเมือง เสมียนก็งงอีก เพราะเรามีนามสกุลเดียวกัน (ฉันใช้นามสกุลของพ่อบุญธรรมเมื่อแม่แต่งงานกับเขา) มันจึงเป็นการแต่งงานของคนฝ่ายเดียวกัน
แต่เรามีความสุขมาก เราไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้น ทุกวันนี้เมื่อใครถามว่าเราพบกันยังไง ฉันก็แค่บอก “เราเจอกันในงานศพ เรื่องมันยาวน่ะ” เมื่อฉันอธิบายไป มีน้อยคนที่จะประณามฉัน ฉันไม่เคยวางแผนที่จะแต่งงานกับพี่บุญธรรมของฉัน ใครขอฉันล่ะ? แต่ฉันนึกไม่ออกว่าจะต้องการใครอื่นนอกจากแซม
ครับ ก็อย่างที่เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์กล่าวไว้แหละครับ
“NO THING CAN HURT YOU IF YOU DON’T CARE”
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.