By Lady Manager
ขวดไซส์บิ๊กภายในบรรจุของเหลวไขมันปนเลือดแยกชั้นคละคลุ้งว่อนทั่วอินสตาแกรม (Instagram) พร้อมกับ Caption บรรยาย “มันแน่นพุง ต้องดูดออก (อยากสวยต้องอดทน)”
เจ้าของไขมันหนึ่งในนั้นเป็นดีเจชื่อดังหุ่นตุ้ยนุ้ยเปี่ยมด้วยเสียงฮา และพริตตี้สาวหุ่นเป๊ะ โดยนางได้ไปดูดไขมันบริเวณต้นแขนออก โพสรูปโชว์หราให้เห็นความฟกช้ำดำเขียวอย่างเห็นได้ชัด
การโพสจะจะแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากประชาชนวัยรุ่นตามไปดูดไขมันเลียนแบบดาราพริตตี้บ้าง มีสิทธิเสี่ยงเกิดผลข้างเคียงอะไรบ้าง?!?
เราไปคุยกับทั้งศัลยแพทย์และนักวิชาการด้านสื่อค่ะ
ประเดิมข้อมูลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสองท่านตามลำดับเลยค่ะ
“การดูดไขมันคือ การเปลี่ยนหุ่น พูดง่ายๆ เหมือนเปลี่ยนขวดโค้กเป็นขวดเป็ปซี่”
นพ.เทพ เวชวิสิฐ แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งคนดัง ผู้ก่อตั้งประตูน้ำโพลีคลินิก ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูดไขมัน อธิบายให้เห็นภาพ
“หลักของการดูดไขมันคือ การใช้ท่อเล็กๆ เสียบเข้าไปแล้วใช้ vacuum ดูดออกมา มีคนพยายามคิดเครื่องมือที่สามารถดูดไขมันได้ เช่น ในเรื่องของความร้อน เพื่อมาช่วยในการดูดไขมัน เช่น นำน้ำเข้าไปฉีดก่อนแล้วดูดออกมา หรือนำเครื่องอัลตราซาวด์เข้าไปเขย่าไขมันให้ละลายแล้วดูดออกมา แต่โดยหลักคือ ต้องเอาท่อเข้าไปแล้วใช้สูญญากาศดูดออกมา
ไขมันมีลักษณะนิ่มๆ ดูดออกได้ ถ้าคนไข้มีปัญหาเรื่องหุ่นไม่ดีก็ดูดออก แต่ถ้าดูดทั้งตัวก็ต้องเสี่ยงต่อการใช้ยาชาซึ่งอาจจะเยอะเกินไป การเสียเลือดมาก น้ำมากก็เสียชีวิตได้เช่นกัน ธรรมดาเขาไม่แนะนำให้ดูดไขมันเกิน 5,000 ซีซี ง่ายๆ ก็เท่ากับโค้ก 5 ลิตร ถ้าสมมติดูด 8,000 ซีซี โค้ก 8 ลิตร คุณต้องอยู่โรงพยาบาลเลย อาจจะต้องให้เลือด”
และที่เป็นข่าวโด่งดังหมาดๆ เมื่อต้นปี วัยรุ่นสาว 17 ดูดไขมันแล้วดับคาเตียงที่เชียงใหม่ หรือเมื่อปลายปีที่แล้ว นางแบบบราซิลก็เสียชีวิตจากการดูดไขมันหน้าท้อง หรือย้อนไปอีกหน่อยในกรุงเทพฯเรานี่แหล่ะ วัยรุ่นสาวอีกเช่นเคยดูดไขมันแล้วตายในคลินิกแถวอุดมสุข
ห้ามไม่ได้ แต่ต้องให้ข้อมูลจริง ดูดไขมันมีอันตราย
“สมัยนี้คุณห้ามไม่ได้หรอกในการโพสภาพเพราะมันเป็นเรื่องของสื่อทางอินเตอร์เน็ต ห้ามไม่ได้เลยตอนนี้ หยุดไม่ได้ ต้องปล่อย
ผมว่าไม่เสียหายเลยนะ คุณอยากรู้เรื่องอะไรสื่ออินเตอร์เน็ตมีหมด แม้กระทั่งเรื่องเซ็กซ์เรื่องเปลือย คุณจะไปห้ามได้ไง แต่สิ่งที่คุณให้ข้อมูลต้องเป็นเรื่องจริง เช่น คุณบอกว่าไขมันไม่มีอันตราย ไม่จริง อันนี้ห้ามพูดเลย แม้กระทั่งถอนฟัน ยังมีอันตรายเลย แค่ยาชาก็อาจเสียชีวิตได้” หมอเทพ กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ นพ.นพรัตน์ รัตนวราห แพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ประจำโรงพยาบาลสมิติเวช
“การดูดไขมันส่วนใหญ่ถ้าเป็นคนไทยจะนิยมดูดบริเวณต้นขา หน้าท้อง จุดอื่นๆ อาจจะมีหลัง ท้องแขนบ้าง วัตถุประสงค์หลักของการดูดไขมันไม่ใช่เพื่อการลดความอ้วน ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่การดูดเพื่อลดน้ำหนัก ไม่ใช่ดูดเพื่อทำให้ผอมลง ไม่ใช่การดูดเพื่อลดไขมัน เหล่านี้ไม่เกี่ยวเลย
การดูดไขมันที่ถูกต้องตามวัตถุประสงค์เหมือนการแกะสลักไขมันตามร่างกาย โดยที่เราควรจะคุมน้ำหนักให้ได้บริเวณหนึ่งก่อน จากนั้นจะดูดไขมันบริเวณส่วนเกินที่ไม่สวยงาม เช่น บริเวณต้นขาด้านนอก บริเวณเอว ท้อง และดูดเฉพาะจุดนั้นๆ เพื่อให้ร่างกายมีสัดส่วนที่สวยงาม ไม่ใช่ดูดจากใหญ่ๆ ให้เล็กลง เพราะการดูดไขมันในปริมาณมากๆ จะดูดไม่ได้ นอกจากจะดูดมากๆ ยังมีความเสี่ยง ทำให้ผิวหนังไม่เรียบ เกิดภาวะแทรกซ้อนได้
ปัจจุบันการดูดไขมันมีการพัฒนาไปมากแล้ว สมัยก่อนเริ่มต้นจะดูดสดๆ เลย เข้าไปปุ้บจะดูดเลย หรืออาจจะเอาน้ำผสมยาฉีดเข้าไปทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว ทำให้เลือดออกไม่เยอะ จะดูดได้น้อยและบาดเจ็บเยอะ เพราะอาจไปโดนเส้นเลือดใต้ประสาททำให้เกิดการช้ำบวมเยอะ และผิวไม่เรียบ การดูดไขมันตอนนี้จะนำเครื่องไปสลายไขมันก่อนดูดจึงลดความเสี่ยงลงได้
ถ้าเรากินเยอะโอกาสไขมันสะสมก็จะเปิดขึ้นได้อีกในเซลล์ไขมันที่ยังเหลืออยู่ เพราะในเซลล์ไขมัน 1 เซลล์ มันสะสมไขมันได้เป็นหลายร้อยเท่า ดังนั้นถ้ากินเยอะๆ มันก็มีโอกาสกลับมาได้”
ดูดไขมันเสี่ยงติดเชื้อ บวมช้ำ ผิวหนังไม่เรียบ พังผืดเกาะแข็ง
“เราต้องดูด้วยว่าตัวเราเหมาะแก่การดูดไขมันหรือไม่ ไม่ใช่ว่าอ้วนมากๆ แล้วอยากไปดูดไขมันให้ผอม อันนี้ผิดวัตถุประสงค์เลย เพราะการดูดไขมันมีข้อเสียข้อเสี่ยงอยู่คือ ภาวะแทรกซ้อนบ้าง เช่น ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ บวมช้ำ มีน้ำเหลืองคั่ง เลือดคั่งต้องมาเจาะออก หรือผิวหนังไม่เรียบ จะเจอเยอะสุดเลย ยิ่งหากเป็นรายที่ต้องดูดไขมันเยอะๆ ผิวหนังข้างล่างจะไม่เรียบ ต้องมีบางบริเวณลูบไปแล้วไม่เรียบ แข็ง ต้องมานวด กว่าจะหายก็นาน เหมือนกับมีพังผืดอยู่ข้างใน
เราอย่าไปตามกระแสมากเพราะคนส่วนใหญ่จะตกเป็นเป้าในการโฆษณาโดยไม่รู้ตัว คิดว่าการดูดไขมันอะไรก็ปลอดภัยใครๆก็ทำได้ บางทีมันเป็นการโฆษณาแอบแฝง ต้องไม่เฮไปตามกระแสต่างๆ ตรงนั้น บางทีเราอาจจะไม่ใช่คนที่เหมาะที่สุดในการดูดไขมัน นอกจากไม่ได้ผลประโยชน์ที่ดีกลายเป็นกว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนต่อตัวเรา มันจะยิ่งแย่ และบางอย่างเกิดแล้วจะแก้ไม่ได้ มันจะไม่คุ้ม ถ้าจะทำก็ควรเลือกสถานที่ที่น่าเชื่อถือได้“
คุณหมอนพรัตน์ย้ำว่าวิธีที่ดีสุดในการลดไขมันคือ การออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร น้ำหนัก สุขภาพดี ผอมด้วย
ตามติดกับมุมมองของ คุณธาม เชื้อสถาปนศิริ จากสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) ไทยพีบีเอส เลยค่ะ
IG ช่องทางการตลาดแบบเนียนๆ
“ในความคิดเห็นของผมว่าขั้นตอนของการทำศัลยกรรม คุณไม่ควรจะถ่ายนะ ในทางอ้อมๆ มันเป็นการสื่อสาร โฆษณาให้กับสถานบริการนั้นๆ แต่ผมก็จะบอกว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของบางอ้อคือ เข้าใจได้ว่าทำไมเขาทำแบบนั้น ในทางหนึ่งสถานบริการก็อยากที่จะให้ดาราโปรโมท
มันก็เหมือนกับคุณถ่ายรูปดาราที่มากินก๋วยเตี๋ยวร้านคุณ แล้วคุณแปะไว้ที่ข้างฝา เช่นเดียวกัน มันเป็นการตลาดเดียวกัน คือ การโปรโมทของสถานบริการนั้น เหมือนกับโปรโมทร้านอาหารที่อร่อย ฉะนั้นเมื่อคุณเห็นดารามากิน คุณจะไม่อยากกินเหรอ การตลาดเดียวกันเลย เมื่อคุณเห็นดารามาใช้บริการ ซื้อสินค้านั้นๆ ก็อยากทำตาม เพราะว่า 'ดารา' ได้เป็นพรีเซนเตอร์ในทางอ้อมๆ แต่มันดีกว่ามากเลยนะ
การเป็นพรีเซนเตอร์แบบนี้ มันไม่เหมือนกับภาพพรีเซนเตอร์ที่แปะโปสเตอร์สวย Before & After บทป้ายบิลบอร์ด คัทเอาท์ หรือว่าในหน้าหนังสือ นิตยสารแบบภาพสวยๆ มันไม่ใช่นะ เพราะหลักสำคัญนั้นคือว่า 'ความสมจริง' ที่อินสตาแกรมทำ เพราะเขารู้ว่าพวกนี้มันจริง มันไม่เหมือนภาพโปสเตอร์ที่ผ่านโฟโต้ช็อป ดาราเป็นคนถ่ายเอง และเขียนคำบรรยาย เขารู้สึกว่ามันจริงมาก มีความโน้มน้าวใจสูงกว่า
ดาราคือ ผู้มีอิทธิพลทางสังคม ดารานอกจากเป็นเซเล็บเป็นคนดังแล้ว เขายังเป็น trendsetter ผู้จุดกระแสให้เทรนด์ เช่น กระแสเฟอร์บี้ ก็มาจากดารา ฉะนั้นกระแสการดูดไขมัน มาจากดารา อ้าว! เธอไปดูดไขมันกันเถอะ ดาราเขาไปทำกันทั้งนั้น
แล้วรู้ไหมทำไมเขาเชื่อดาราเหล่านี้มาก อย่าลืมว่าคนที่ดูภาพอินสตาแกรมของดาราหรือภาพผ่านเฟสบุ๊กที่ไปทำกิจกรรมต่างๆ เขาศรัทธาในดารา เขาถึงไปแอดเฟรนด์ เขาถึงไป follow เขามีความเชื่อ ความนิยม เป็นพื้นฐานของดาราคนนั้น ไม่ว่าดาราคนนั้นจะทำอะไร เขาเชื่อมากกว่าป้ายโฆษณาสถานความงามต่างๆ อิทธิพลจึงมีสูงมากกว่าปกติ
ฉะนั้นในอเมริกา การตลาดของดารา พรีเซนเตอร์ปัจจุบันที่ใช้ช่องทางคือ อินสตาแกรม เป็นช่องทางการในโน้มน้าวใจในสินค้าบริการ โดยมีดาราเป็นตัวหลักแบบไม่เป็นทางการ ผมว่าได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย ดาราอาจจะได้ผลประโยชน์ในการประชาสัมพันธ์ทางอ้อมให้บางอย่าง เช่น ได้คอร์สพิเศษ ได้ส่วนลด คือ มันมีผลประโยชน์ในการต่อรอง มันเป็น แฟรนไชส์ (Franchise) ของความชอบ ความนิยม ที่ตอบโจทย์ผลประโยชน์ทางธุรกิจ
เทคโนโลยีโซเชียลมีเดียกำลังพัฒนาประสานให้โลกความจริงกับความเป็นจริงให้ใกล้เคียงกันมากขึ้น มันกำลังประสานกันระหว่าง 'ความจริง' กับ 'ความเป็นจริง' ให้ใกล้เคียงเข้ากันมากขึ้น นั่นคือ เหตุผลว่าทำไมถึงมีเฟสบุ๊ก ทวิสเตอร์ดาราปัจจัยที่จะทำให้ความจริงกับความเป็นจริงเข้าใกล้เคียงกันมากที่สุดคือ การย่นยอระยะห่างระหว่างภาพสองภาพนี้ให้มันใกล้มากที่สุด
พูดง่ายๆ เขาตัด Mass Media ออกไป เขาตัดนักข่าว กองบรรณาธิการข่าวออกไป ให้เข้าถึงโดยตรงแบบใกล้ชิด แบบเอกซ์คลูซีฟ เป็นกันเองมากขึ้น Up Close and Personal มากขึ้น ” คุณธาม กล่าวต่ออีกว่า
“กระแสความสวยความงามในอินสตาแกรมนั้นมีมานานแล้ว เช่น ดาราไปฟิตเนส สปา โยคะ หรือเข้าสถาบันความงามโชว์ ทำให้คนแห่เข้าไปทำกิจกรรม ไปใช้สินค้าโปรแกรมนั้นเยอะ
คนจะรู้สึกว่า ถ้าเกิดการโฆษณาโดยตรงมันใช้ผลไม่ได้ คนจะปฏิเสธ แต่ถ้าดาราโพสภาพอินสตาแกรมแบบส่วนตัวโดยการถือโทรศัพท์ถ่ายรูปโพสรูปภาพในขณะที่เพิ่งเข้าไปทำมาเขาจะเชื่อนะ เพราะเขารู้สึกว่าอินสตาแกรมมันเป็นการสื่อสารโดยตรงระหว่างดารากับเขาเลยโดยไม่ต้องผ่านสื่อ
ดาราไม่ค่อยที่จะได้พูดหรอกว่าทำจากสถาบันไหน หรือคอร์สที่ไหน แต่ว่าบอกหลังไมค์ได้นะ หรือว่าพูดการันตีสินค้า/บริการนั้น คนจะรู้สึกว่าใช้ได้ผล เพราะว่าขนาดดารายังไปทำเลย เขาจะติดคำว่า “ขนาดดารายังไปทำเลย
ที่สำคัญคือ มันเห็นผลทันทีว่า ดาราทำสวย มันได้ผล เพราะเขาจะต้องคิดว่าดาราจะต้องลงทุนกับความสวยมากกว่าปกติ ฉะนั้นถ้าเขาลงทุน เรื่องอันตรายเขาจะต้องลงทุน ถ้าเขาต้องเสี่ยง ดังนั้นถ้าดาราไปทำมันจะมีพลังความน่าเชื่อถือมากกว่าคนธรรมดาไปทำ เพราะว่านั่นคือ ร่างกาย ใบหน้า เรือนร่างของเขา ฉะนั้นเขาต้องมั่นใจแน่นอน”
ดังนั้นเราในฐานะผู้เสพควรรู้เท่าทัน อย่าแห่ตามดาราไปเสียหมด คุณธามแนะนำสร้างภูมิคุ้มกันไม่คล้อยตามดาราง่ายๆ ตามนี้ค่ะ
วิธีส่องอินสตาแกรมดาราให้รู้เท่าทัน
“ดูว่าดาราแต่ละคนมีภาพแบบไหนที่เขาโพสบ้าง เช่น ดาราคนนี้โพสแต่รูปส่วนตัว รูปทำหน้า ทำสวย ทำหล่อ แสดงว่าเขาพยายามพรีเซนต์ตัวเอง ที่เขาทำเพื่อให้มีแฟนคลับตามมากขึ้น การที่มีแฟนคลับตามมากขึ้นแสดงว่าเขามีฐานคนนิยมมากขึ้น มันอาจจะเป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า เขามีแฟนคลับเยอะเห็นไหม ฉะนั้นงานควรจะเข้ามาที่เขา
การชี้วัดจำนวน follower เป็นการชี้วัดฐานนิยม ฐานป็อปปูลาร์ คุณจะบอกได้ว่าดาราคนไหนดังไม่ดังคุณวัดได้อย่างเดียว ไม่ใช่เรื่องคุณภาพการแสดงนะ คนละเรื่องกัน วัดจากฐานนิยมความป็อปปูลาร์ ซึ่งมันเป็นต้นทุนในการได้งานของดารา
ถ้าดาราที่โพสรูปในลักษณะวาบหวิววาบหวามผมจะรู้สึกว่าคนนี้ขายเซ็กซ์ มันอาจจะดูไม่ค่อยดี ผมจะไม่พยายามดูต่อ เช่น นางแบบบางคนอยู่นิตยสาร FHM เจตจำนงค์ของเขาก็จะเน้นเซ็กซี่มันจะนำไปสู่สินค้าของเขา นิตยสารของเขา หรือว่าสิ่งที่เขาเป็นพรีเซนเตอร์
ส่วนดาราขายของ ผมดูแล้วก็รู้เลยว่าใช้เป็นช่องทางในการโปรโมท ขายตรงไปตรงมา ไปทำหน้า ทำนมมา เดี๋ยวนี้หลายๆ คนใช้โซเชียลแคม มันเป็นการผสมผสานระหว่างโซเชียลแคมที่สามารถปรากฏในทั้งเฟสบุ๊ก ปรากฏในยูทิวบ์ได้ และมีคนคอมเมนต์ มีคนกดแชร์
ดาราที่น่าสนใจน่าติดตามคือ เขาพูดเรื่องชีวิตส่วนตัว เรื่องของการทำงาน เรื่องของชีวิต แง่มุมบางอย่างที่นักข่าวไม่เคยสัมภาษณ์ หรือความคิดที่มีต่อเรื่องสาธารณะคือ พูดเรื่องสังคม
แต่ดาราบ้านเราที่พูดเรื่องส่วนรวมบ้าง เรื่องปัญหาสังคมบ้างจะน้อย ใน 10 คนเจอ 1คน ใน 10 รูปจะเจอสักรูป ส่วนใหญ่จะเป็นดาราอาวุโส เพราะเขาไม่ต้องการอินสตาแกรมในการสร้างตัวตน แต่เขาใช้อินสตาแกรมในการพูดในสิ่งนักข่าวบันเทิงไม่ถาม ผมว่าบางทีอินสตาแกรมของดาวค้างฟ้าที่เป็นอาวุโสเหล่านี้มีประโยชน์ เพราะว่า เป็นการสื่อข้อความในคนอีก
เพราะดาราเป็นคนที่ชี้นำ และให้คุณค่า หรือพูดเตือนสังคมบางอย่างได้ ก็มีประโยชน์ อย่าลืมว่าดาราเป็นบุคคลสาธารณะ การที่เขาพูดอะไรเรื่องเกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง สังคม วัฒนธรรม มันมีประโยชน์ เพราะว่าคำพูดของเขามันชี้นำคนได้เยอะว่าคนทั่วไป แต่จะมีดาราแบบนี้ค่อนข้างน้อยแค่นั้นเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
นอกจากคุณต้องระวังภาพลักษณ์ดาราที่อยู่ในจอแล้ว คุณยังต้องระวังภาพลักษณ์ดาราที่อาจประกอบสร้างได้อีกแบบหนึ่งในอินสตาแกรม ทุกอย่างเป็นการสร้างภาพลักษณ์ทั้งนั้น
วิธีการง่ายๆ คือตั้งคำถามว่าเขาโพสรูปเหล่านั้นเพื่ออะไร ง่ายที่สุด แล้วคุณก็จะเจอคำตอบ ว่าทำไมเขาโพสรูปนี้”
และคำตอบของคุณเองจะไม่ทำให้ตัวคุณเองกลายเป็นเหยื่อ เสียรู้ เสียเงิน และอาจเสียชีวิต…
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.