>>ความร่วงโรยแห่งวัยเป็นปัญหาที่หลายคนกังวลและอยากให้เกิดกับตัวเองช้าที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสุขภาพร่างกายทั้งภายในและภายนอก โดยเฉพาะปัญหาผิวที่ส่งสัญญาณฟ้องให้เห็นอย่างเด่นชัดเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะเป็นริ้วรอย ความหย่อนคล้อยไม่เรียบเนียน รวมถึงความหมองคล้ำ จุดด่างดำที่ทำให้ผิวดูไม่กระจ่างใส เหล่านี้เป็นปัญหาที่วงการความงามพยายามสืบหาสาเหตุและคิดค้นวิธีแก้ไขด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอก็ถือเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม และนับวันก็ยิ่งมีการศึกษาวิจัยที่มอบความหวังใหม่เป็นทางเลือกในการจัดการปัญหาริ้วรอยแห่งวัยมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยเซลล์ต้นกำเนิดหรือ Stem Cell เรียกได้ว่ากำลังเป็นที่จับตามองอย่างยิ่งในแวดวงความงาม ว่าจะมีศักยภาพในการจัดการกับปัญหาผิวได้อย่างไร และจะมีวิธีการนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างไรในทางปฏิบัติ
โดยในงานสัมมนา “A Secret Key to Essential Power” เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาความร่วงโรยของผิว พร้อมไขข้อข้องใจเกี่ยวกับศักยภาพของเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) กับริ้วรอยแห่งวัยที่มีการศึกษาอย่างกว้างขวางในวงการความงาม โดยได้รับเกียรติจาก นพ. รัฐภรณ์ อึ๊งภากรณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง หัวหน้าศูนย์ผิวหนังและเลเซอร์ประจำโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และ ที่ปรึกษาพิเศษด้านผิวหนังและเชื้อรา ประจำสถาบันโรคผิวหนังและคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับปัญหาผิวและริ้วรอยในแง่มุมต่างๆ ทั้งสาเหตุของปัญหาริ้วรอยแห่งวัย สัญญาณอันตรายที่เตือนให้รู้เท่าทันถึงการเปลี่ยนแปลงผิว และวิทยาการใหม่ในการจัดการปัญหาผิว
โดย นพ. รัฐภรณ์ ได้เผยสาเหตุหลักของปัญหาริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ปัจจัยหลัก คือ ปัจจัยภายนอกนั้น ได้แก่ แสงแดดและมลภาวะ และปัจจัยภายใน ได้แก่ ภาวะความเครียด อายุที่เพิ่มมากขึ้น ตัวการเหล่านี้ประกอบกันทำให้สภาพผิวเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ผิวดูหยาบกร้านขึ้น และมีริ้วรอยที่มักปรากฏให้เห็นเด่นชัดบริเวณรอบดวงตา อย่างไรก็ตามการดูแลปัญหาริ้วรอยแห่งวัยสามารถทำได้หลายวิธีทั้งด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และการบำรุงผิวเป็นประจำ ยิ่งการศึกษาวิจัยก้าวหน้าขึ้นก็ส่งผลให้มีการพัฒนาแนวทางการดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และในการสัมมนาครั้งนี้ นพ. รัฐภรณ์ ก็ได้ให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิดและการวิจัยในทางการแพทย์ ซึ่งเป็นวิทยาการที่ถูกจับตามองอย่างมากในแวดวงความงามในฐานะเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เป็นความหวังใหม่ในการจัดการปัญหาริ้วรอย
ทั้งนี้ นพ. รัฐภรณ์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิทยาการเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ไว้อย่างน่าสนใจว่า “ แม้ว่าวิทยาการเซลล์ต้นกำเนิด(Stem Cell) จะมีความน่าสนใจเพียงไรแต่เราจำต้องตระหนักว่า ข้อจำกัดของเซลล์ในปัจจุบันยังคงมีอยู่นั่นคือ การสกัดเซลล์ทำได้ในสภาวะที่จำกัดในห้องปฏิบัติการเท่านั้น เนื่องจากเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) นั้นเป็นเซลล์มีชีวิต ดังนั้นการเพาะเลี้ยง จัดเก็บ บรรจุ ขนย้ายเพื่อนำมาใช้จึงจำเป็นต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมและสภาวะที่เหมาะสม อีกทั้งการควบคุมการแบ่งตัวหรือการพัฒนาของเซลล์เป็นไปได้ยากและที่สำคัญคือ เซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ยังต้องการการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการอีกหลายขั้นตอนก่อนนำมาใช้เป็นวิธีมาตรฐานในมนุษย์ แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาและข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันก็ทำให้มีความหวังขึ้นมาว่าสิ่งเหล่านั้นจะเป็นแรงบันดาลใจและสมมติฐานของการพัฒนาสิ่งใหม่ในอนาคตอันใกล้เพื่อเข้ากระตุ้นการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell)”
ในปัจจุบันการวิจัยศักยภาพของเซลล์ต้นกำเนิดมีความก้าวหน้าและครอบคลุมการใช้ประโยชน์ในหลายแง่มุม ในวงการความงามเองก็มีความพยายามในการศึกษาการทำงานของเซลล์ต้นกำเนิดของผิวและดึงเอาศักยภาพของเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ในการจัดการปัญหาริ้วรอย แม้ว่าหลายงานวิจัยยังคงอยู่ในขั้นการศึกษาเพิ่มเติม รวมถึงงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จและได้รับการพัฒนาเพื่อใช้รักษาโรคได้ผลมีเพียงโรคในระบบเลือดเท่านั้น แต่วิทยาการเซลล์ต้นกำเนิดก็เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการคิดค้นเทคโนโลยีใหม่เพื่อย้อนคืนความหนุ่มสาวให้กับชีวิต
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ (อังกฤษ: Stem Cell) โดย นพ.รัฐภรณ์ อึ๊งภากรณ์
เซลล์ต้นกำเนิด หรือ สเต็มเซลล์ (อังกฤษ: Stem Cell) เป็นเซลล์ชีวภาพ มีคุณสมบัติพิเศษในการแบ่งตัวให้เป็นเซลล์ของเนื้อเยื่อชนิดต่างๆ ทำหน้าที่จำเพาะในร่างกายเมื่อได้รับการกระตุ้นที่เหมาะสม และยังมีความสามารถในการแบ่งตัวเองให้เป็นเซลล์ต้นกำเนิดเหมือนเดิมด้วย
สเต็มเซลล์จัดตามแหล่งที่ได้มาเป็นสองชนิดคือ
1. สเต็มเซลล์จากตัวอ่อนมนุษย์ (Embryonic Stem Cell) คือ สเต็มเซลล์จากส่วนของ inner cell mass จากตัวอ่อนของมนุษย์หรือสัตว์ที่ยังอยู่ในครรภ์ในระยะ blastocyst สเต็มเซลล์ในระยะนี้จะมีอายุเพียง 3-5 วัน หลังการปฎิสนธิ แม้จะมีจำนวนเซลล์ไม่มากเมื่อเทียบกับสเต็มเซลล์ที่ได้จากเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย แต่เนื่องจากมันมีความสามารถในการพัฒนาไปเป็นเซลล์อื่นๆ ของร่างกายได้ จึงนับว่าเป็น สเต็มเซลล์ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาและวิจัยอย่างสูงสุด
2. สเต็มเซลล์จากเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย (Adult stem cell) คือ สเต็มเซลล์ที่เก็บจากเนื้อเยื่อที่โตเต็มวัย เช่น จาก ไขกระดูก เลือด ผิวหนัง ฟันน้ำนม เป็นต้น โดยทั่วไปสเต็มเซลล์ชนิดนี้จะเปลีี่่ยนไปเป็นเซลล์จำเพาะตามที่ถูกกำหนดมาเท่านั้น แต่การทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าอาจพัฒนาเป็นเซลล์ประเภทอื่นได้แต่กลไกยังไม่แน่ชัด
ปัจจุบันได้มีนักวิจัยมากมายที่สนใจการในนำสเต็มเซลล์มาใช้ในการรักษาโรค เช่น โรคเลือดธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคทางประสาท เช่น อัลไซเมอร์ พาร์กินสัน อัมพาตไขสันหลัง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เบาหวาน เป็นต้น สเต็มเซลล์พบได้ในสายสะดือ เลือด และไขกระดูก เป็นที่ทราบในทางการแพทย์ว่ามีความสำคัญต่อการสร้างระบบเลือด รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งในผู้ใหญ่จะเป็นสเต็มเซลล์จากไขกระดูกที่มีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดชนิดต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์ที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน
ในปัจจุบันสเต็มเซลล์ที่นำมาใช้รักษาโรคได้ผลมีแค่โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเท่านั้น ซึ่งโรคอื่นยังไม่มีการนำมาใช้ในทางคลินิกอย่างชัดเจน และยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนเพียงพอ ดังนั้นอย่าหลงเชื่อว่าการเก็บ สเต็มเซลล์ของตน จะช่วยในการรักษาโรคของตนได้มากมาย
Epidermal stem cell: ผิวหนังก็เป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายที่มีการเสื่อมสภาพหลุดลอกเป็นขี้ไคลหรือหนังกำพร้าอยู่ตลอดอายุขัยของมนุษย์ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการแบ่งเซลล์เพื่อทดแทนส่วนที่หลุดลอกไป ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอหรือได้รับอันตราย และในขณะเดียวกันยังต้องชดเชยความสมดุลย์ของสเต็มเซลล์ผิวหนังที่มีการพัฒนาเป็นเนื้อเยื่ออื่นๆ ให้อยู่ในภาวะคงที่อยู่เสมอ ปัจจุบันพบแหล่งสเต็มเซลล์ผิวหนังอยู่บริเวณชั้นล่างสุดของ epidermis (suprabasal cell layer) บริเวณเส้นขนใต้ต่อต่อมไขมัน และโคนเส้นขนบริเวณ dermal papillae
ข้อจำกัดของการใช้สเต็มเซลล์ คือ การสกัดเซลล์ทำได้ยากมากและในสภาวะที่จำกัดในห้องปฏิบัติการเท่านั้น เนื่องจากสเต็มเซลล์เป็นเซลล์มีชีวิต การเพาะเลี้ยง จัดเก็บ บรรจุ ขนย้าย เพื่อนำมาใช้จึงต้องอาศัยสิ่งแวดล้อมและสภาวะที่เหมาะสม การควบคุมการแบ่งตัวหรือการพัฒนาของเซลล์เป็นไปได้ยาก และที่สำคัญคือ สเต็มเซลล์ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษากลไกในระดับโมเลกุล ซึ่งยังต้องมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการอีกหลายขั้นตอนก่อนจะนำมาใช้เป็นวิธีมาตรฐานในมนุษย์ อย่างไรก็ตามการศึกษาและข้อมูลที่มีอยู่ในปัจจุบันจะเป็นแรงบันดาลใจและสมมติฐานของการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ได้ในอนาคตอันใกล้เพื่อหากลไกกระตุ้นในระดับเซลล์ให้คงสภาพผิวที่เยาว์วัยได้นานกว่าเดิม
การศึกษาเซลล์ต้นกำเนิดมีความก้าวหน้าขึ้นมากในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดองค์ความรู้และแนวทางใหม่ๆ ในการดึงเอาศักยภาพของเซลล์ต้นกำเนิดมาใช้ เรียกได้ว่างานวิจัย เซลล์ต้นกำเนิด โดยเฉพาะการศึกษาเซลล์ต้นกำเนิดของผิว ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการสุขภาพและความงาม โดยเป็นแรงบันดาลใจให้มีการพัฒนานวัตกรรมความงามที่เพื่อคืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวตั้งแต่แหล่งกำเนิดความงาม แต่วิทยาการอันน่าทึ่งนี้จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในวงการความงามได้อย่างไร และจะมีศักยภาพในการจัดการปัญหาริ้วรอยแห่งวัยได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องติดตามกันต่อไป :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net หรือ App Store ได้แล้วที่ celeb online ipad edition
Comments are closed.