Interview

ซิงเกิลมัมมือใหม่ “ณัฐวดี บุรานนท์” เลี้ยงลูกแบบเพื่อน ปรึกษาได้ทุกเรื่อง!

Pinterest LinkedIn Tumblr


แม้จะเพิ่งเลิกรากับสามีไปเมื่อปีกว่าๆ ที่ผ่านมา ชีวิตของ “ก้อย-ณัฐวดี บุรานนท์” ในปัจจุบัน ก็มีแต่ความสุขสมบูรณ์ในการดูแลลูกๆ ทั้ง 3 คน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น น้องภูมิ วัย 20 ปี น้องภีม วัย 18 ปี และน้องแพม วัย 15 ปี โดยก้อยรับหน้าที่ดูแลลูกๆ แบบฟูลไทม์ เพราะตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา เธอก็รับบทคุณแม่ที่ดูแลลูกๆ อย่างใกล้ชิดไม่มีขาดตกบกพร่อง และพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีของสังคม และดูแลตัวเองได้ในทุกสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
ถึงช่วงนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ไม่ได้ทำให้คุณแม่คนเก่ง อย่าง ก้อย มีเวลาว่างมากขึ้นแต่อย่างใด เพราะนอกจากจะเป็นคุณแม่แบบครบวงจรของลูกๆ แล้ว เธอยังเป็นเวิร์กกิงวูแมนแบบเต็มตัวด้วย


“ตอนนี้พี่นำเข้าและจำหน่ายเครื่องสำอางจากประเทศฝรั่งเศส ยี่ห้อ ทาลิก้า (Talika) ซึ่งขายในเคาน์เตอร์ตามห้างสรรพสินค้า แต่ช่วงนี้ห้างถูกสั่งปิดเราจึงต้องสลับมาขายบนระบบออนไลน์แทน และก็ทำแบรนด์อาหารทานเล่นที่มีชื่อว่า

“กิมชวนชู” (ออกแนวเกาหลี แต่ไม่ใช่ ลองผวนคำดู) ที่เน้นขายสินค้าของอร่อยในแต่ละจังหวัด บนระบบออนไลน์และมีวางสินค้าเหล่านี้ในซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง วิลล่า มาร์เก็ต อีกด้วย “คุณแม่คนเก่งเริ่มอัปเดตถึงหน้าที่การงานของเธอนอกเหนือจากการดูแลลูกๆ วัยรุ่น


เพื่อนๆ และคนในแวดวงสังคม คงได้ข่าวการหย่าร้างของเธอกับอดีตสามีในปีที่ผ่านมา แต่ทุกอย่างในชีวิตยังดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น เพราะตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ก้อยเป็นทั้งคุณพ่อและคุณแม่ในเวลาเดียวกัน ลูกๆ จึงไม่ได้รู้สึกถึงการแยกทางระหว่างพ่อและแม่

“ลูกทั้ง 3 คนก็ยังมีความสุขตามปกติ และรับผิดชอบในการเรียนอย่างดียิ่งทุกคน สาเหตุที่ลูกไม่ได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการแยกทางระหว่างพ่อกับแม่นั้น เป็นเพราะตลอดระยะเวลาที่เราเป็นสามีภรรยากันนั้น คุณหนิงมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับช่วงเวลากลางคืน จะกลับถึงบ้านในขณะที่ลูกๆ ยังไม่ตื่น และออกจากบ้านไปในช่วงก่อนที่ลูกจะกลับถึงบ้านจากโรงเรียน”


ก้อยยอมรับว่า ในสถานการณ์แสนยากลำบากใจ ในการตัดสินใจของการเลิกใช้ชีวิตคู่นั้น ลูกๆ ทุกคนคือกำลังใจสำคัญ ที่ทำให้เธอก้าวผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้อย่างราบรื่น

“พี่ทุ่มเทกับการเลี้ยงลูกทั้ง 3 คน และโชคดีที่ทุกคนน่ารัก มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง ภูมิลูกคนชายโตปัจจุบันเพิ่งจบปี 1 BBA จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนภีมและแพมกำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 4 โรงเรียนอำนวยศิลป์ ตามลำดับ

ชีวิตพี่ในวันปกติคือ ตื่นประมาณตีห้าเตรียมอาหารเช้าให้ลูก จากนั้นก็ขับรถไปส่งที่โรงเรียนทุกคน หลังจากนั้นก็ได้เวลาออกกำลังกายที่สปอร์ตคลับประมาณ 1-2 ชม. อาบน้ำและไปเข้าออฟฟิศ ซึ่งห่างจากสปอร์ตคลับเพียง 5 นาที ในช่วงบ่ายๆ ก็ได้เวลาไปรับลูกกลับบ้าน และจะชอบทำอาหารให้ลูกทานทุกช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จากนั้นก็เสร็จภารกิจ พี่อาจจะฟังเพลง เล่นกับเจ้าสุนัขตัวโปรดของทุกคนในบ้าน หรือระบายสีบนภาพวาด นั่งคุยกับลูกๆ พี่เลี้ยงลูกแบบให้อิสระในการพูดและแสดงความคิดเห็นในทุกเรื่อง เช่น เรื่องการเรียน เพื่อน กิจกรรมต่างๆ แม้กระทั่งเรื่องแฟน”


นอกจากนี้ เธอยังเผยถึงเคล็ดลับการเลี้ยงลูก ให้เติบโตเป็นหนุ่มสาวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพว่า ต้องใช้ความเข้าใจคุยกับลูกเสมือนเป็นเพื่อน ที่สำคัญ บ้านนี้จะสอนให้ลูกๆ ทุกคนรักและเกื้อกูลกันตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อลูกคนใดคนหนึ่งมีปัญหาในชีวิต แม่จะต้องรู้จากลูกอีกคนเสมอ

“พี่จะเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนคุยกันทุกวัน และลูกค่อนข้างเป็นคนเปิดเผยมีอะไรจะเล่าให้เราฟังหมด แต่ละคนพอมีปัญหาอะไรก็จะมาปรึกษาแม่ แต่บางเรื่องโดยเฉพาะ เรื่องวัยรุ่นมากๆ เขาจะไปปรึกษากันเองในกลุ่มพี่น้องเขา 3 คน เพราะเราจะสอนให้ลูกรักกัน เป็นพี่น้องต้องรักกัน เกื้อกูลซึ่งกันและกัน ฉะนั้น เวลาเขามีปัญหาเขาก็จะปรึกษาสลับไขว้กันไปมา แต่สุดท้ายเราก็รู้จากลูกอีกคนอยู่ดีว่า ลูกมีปัญหาอยู่ จากนั้นเราจึงจะเข้าไปถามลูกว่า ยินดีให้แม่ช่วยแก้ไขปัญหาไหม และหลังจากนั้นพวกเราก็มาช่วยกันให้เรื่องต่างๆ ผ่านไปด้วยดี”


เมื่อถูกถามว่าเป็นคุณแม่ที่ต้องดูแลลูกวัยรุ่นถึง 3 คน เหนื่อยบ้างไหม ก้อย ตอบด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “พี่ไม่เคยมองว่าการเลี้ยงลูกคือหน้าที่ แต่เป็นเรื่องของความสุขที่ได้ทำให้กับคนที่เรารัก อย่างตอนนี้มีปัญหาโควิดก็ดีหน่อยสำหรับพี่เพราะเราจะได้มีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ลูกๆ ทุกคนก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียต่างๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขา แต่ทุกคนมีความรับผิดชอบ พี่พยายามสอนให้เขามีสมดุลที่ดีของชีวิต หมายถึง ในหนึ่งวันมี 24 ชม. เราต้องมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ต้องมีเวลาออกกำลังกาย ทบทวนบทเรียนในแต่ละวัน กิจกรรมบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี แชทกับเพื่อน พี่ไปไหนมาไปไหนกับลูกตลอด มีกิจกรรมร่วมกับลูกสม่ำเสมอ จนพี่ไม่เคยรู้สึกว่าพี่ขาดอะไรในชีวิตเลย”


ด้วยความที่สนิทสนมกับลูกๆ ทุกคน ดังนั้น คุณแม่ก้อยจึงแทบจะรู้จักนิสัยและความเป็นตัวตนของลูกๆ ได้เป็นอย่างดี

“ลูกชายคนโต น้องภูมิ จะมีลักษณะเงียบขรึม เป็นเด็กที่มีสมาธิ มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน มีความรับผิดชอบ มีความเป็นผู้นำ รักน้อง ภีมลูกชายคนกลางมีอุปนิสัยร่าเริง เป็นเด็กกิจกรรม ชอบการแสดง การร้องเพลงและเล่นดนตรี เป็นลูกชายที่ติดแม่ คอยมาอยู่ใกล้ๆ ช่วยแม่ทำโน่นนี่ตลอดเวลา ส่วนแพมสาวน้อยปีนี้อายุ 15 ก็จะเป็นน้องเล็กที่พี่ๆ ตามใจ มีเพื่อนเยอะ เฮฮา กล้าแสดงออก เป็นเด็กที่มีครีเอทีฟ ชอบแฟชั่น คุยกับแม่ได้ทุกเรื่อง นอนกับแม่ทุกคืน พี่ดีใจและภูมิใจที่ลูกๆ รักกันและเข้ากันได้ดีในเกือบทุกเรื่อง เขาเริ่มโตกันแล้ว ทุกวันนี้จะช่วยกันคนละไม้คนละมือในเรื่องต่างๆ ในบ้าน ซึ่งก็ทำให้งานพี่เบาลงในบางส่วน”


ถึงจะดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด แต่ในหนึ่งเดือนก้อยบอกว่าขอมีวันหยุดสักวันสองวัน เพื่อไปเที่ยวพักผ่อน เพราะมั่นใจว่าลูกๆ สามารถดูแลกันได้เป็นอย่างดี

“ทุกวันนี้พี่จะมีเวลาส่วนตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ เดือนละครั้ง ลูกๆ ก็ดูแลกันเองได้อย่างดี ในเรื่องของความรักพี่สอนลูกๆ ว่า การรักใครชอบใครไม่ใช่เรื่องผิด ต้องมีความจริงใจต่อกัน รวมถึงการคบเพื่อนด้วย ชีวิตคือการเดินทางไกล บางช่วงของชีวิต ก็มีใครเข้ามาร่วมชีวิตด้วยอย่างมีความสุข ทุกอย่างลงตัว แต่วันเวลาผ่านไป บางสิ่งหรือบางคนก็อาจเปลี่ยนไป เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต แต่เราต้องแข็งแรง เราต้องอยู่ได้ด้วยตัวของเราเองอย่างมีความสุข” คุณแม่คนเก่งสรุปทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It