เกือบ 10 ปีแล้ว ที่ “ฟ้า-ภณภิสา ปวโรดม” ลูกสาวคนสวยของ คุณแม่แพร-พัชรพิมล ยังประภากร เจ้าแม่กระเป๋าหนังเอ็กซอติก อย่าง S’uvimol จับผลัดจับผลูได้เข้ามาเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการช่วยคุณแม่และพี่สาวคนโต (ฝน-ชวมนฑ์ ปวโรดม) ปลุกปั้นและต่อยอด S’uvimol ให้โด่งดังเป็นที่รู้จักทั้งในวงการแฟชั่นเมืองไทยและต่างประเทศ
“10 ปีได้แล้วนะคะที่ฟ้าเข้ามาช่วยคุณแม่ ตอนนี้หลักๆ ฟ้าดูแลใน 2 ส่วน เริ่มจาก SVM ซึ่งแตกแบรนด์มาจาก S’uvimol ซึ่งยังคงซิกเนเจอร์ความเป็นแบรนด์หนังเอ็กซอติก แต่ทำไปสไตล์ยูนิเซ็กซ์ เน้นพวกแอกเซสซอรีที่อยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น กระเป๋าสตางค์ เคสโทรศัพท์ เคสแอร์พอด เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งฟ้าจะช่วยดูภาพรวมของแบรนด์ ตั้งแต่ดีไซน์ไปจนถึงโอเปอเรชัน การเงิน การตลาด
อีกส่วนคือ S’uvimol ฟ้ามีโอกาสเข้ามาช่วยตั้งแต่ตอนที่แบรนด์เพิ่งเริ่ม ทำทุกอย่างตั้งแต่ช่วยอ่านไลน์ ตอบลูกค้า รับออเดอร์ผ่านทาง what app ซึ่งเป็นหนึ่งในช่องทางที่ลูกค้าต่างชาติใช้ติดต่อเข้ามาเยอะ ฟ้าก็ช่วยคุย ช่วยตอบ เพราะต้องใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก บางครั้งก็ช่วยแพกของ บางคอลเลกชันก็ช่วยเพนต์ แต่ตอนนี้หลักๆ จะช่วยดูพวกงานหลังบ้าน” ฟ้าเล่าอย่างออกรส ถึงประสบการณ์การทำงานที่ต้องใช้คำว่า ผ่านมาแล้วเกือบทุกตำแหน่ง
ถามว่า ทำไมถึงตัดสินใจเข้ามาช่วยคุณแม่ปั้นแบรนด์กระเป๋า ฟ้าบอกว่า จริงๆ แล้วเธอชอบศิลปะมาตั้งแต่เด็ก จึงเลือกเรียนด้านกราฟิก ดีไซน์ ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะมาต่อยอดธุรกิจของคุณแม่ เพราะตอนนั้นแบรนด์ S’uvimol ยังไม่เกิด จนพอเรียนจบกลับมา เป็นช่วงที่คุณแม่กับพี่สาวกำลังช่วยกันปลุกปั้นแบรนด์พอดี แล้วปรากฏว่าแบรนด์ได้รับกระแสตอบรับดีมาก เลยเข้ามาช่วยตั้งแต่ตอนนั้น
“ฟ้ามีพี่น้อง 4 คน ทุกคนชอบศิลปะหมดเลย ฟ้าเองหลังจากเรียนจบ ม.3 ที่มาแตร์ฯ ก็ไปเรียนต่อไฮสกูลที่ Grier School ซึ่งโรงเรียนสตรีเก่าแก่ของสหรัฐอเมริกา เป็นโรงเรียนประจำ หลังจากเรียนจบก็ไปเรียนต่อปริญญาตรีด้านศิลปะและการออกแบบ ที่ Fashion Institute of Technology หรือ FIT สถาบันการออกแบบแฟชั่นที่โด่งดังติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกที่นิวยอร์ก ช่วงที่ไป โชคดีว่าถึงจะเรียนคนละมหาวิทยาลัยกับพี่ฝน แต่พอมีช่วงวันหยุดสัก 1-2 อาทิตย์ที่เราไม่ได้กลับไทย ก็จะนัดกันไปเที่ยวตลอด”
พอเรียนจบกลับมา ฟ้าเริ่มต้นจากการเป็นฟรีแลนซ์รับงานกราฟิก แต่พอเห็นว่าแบรนด์ “S’uvimol” ของคุณแม่ที่เริ่มขยายตัวอย่างรวดเร็ว ก็เลยเข้ามาช่วยดูแลทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
“ลูกค้ากลุ่มใหญ่ของเราคือ ชาวตะวันออกกลาง อาหรับ เวลาออเดอร์ทีจะสั่งเยอะมาก เชื่อมั้ยว่าลูกค้าเรามีทั้งผู้ชายและผู้หญิง อย่าง ถ้าเวลาลูกค้าผู้ชายมาที่ร้านเขาจะ Live คุยกับคนที่บ้านเลยว่าอยากได้ใบไหน ซึ่งด้วยความที่ครอบครัวใหญ่ มีภรรยาหลายคน ลูกก็เยอะ เวลาซื้อเขาก็จะซื้อเยอะมาก เพราะต้องซื้อฝากให้ครบทุกคน หรือลูกค้าบางคนถ้าซื้อไปแล้วติดใจ ถ้าไม่ได้เดินทางมาเมืองไทยก็จะออเดอร์มาทางออนไลน์ หรือเวลาเรามีสินค้าใหม่เราก็ถ่ายวิดีโอส่งไปให้ดู
ต้องยอมรับว่า ลูกค้ากลุ่มอาหรับเป็นกลุ่มที่ชอบพวกเครื่องหนังเอ็กซอติกอยู่แล้ว เขารู้จักเครื่องหนังดี พอมาเห็นของเราว่าคุณภาพดี ดีไซน์โอเค งานฝีมือได้ ประมาณว่าเป็นแบรนด์เล็กคุณภาพไม่เล็ก ก็เลยชอบ ที่สำคัญ ราคาเข้าถึง อยู่ที่หลักแสน ขณะที่กระเป๋าหนังจระเข้ของแบรนด์ใหญ่ๆ ขณะนั้นมีราคาสูงถึงใบละล้าน”
อย่างไรก็ตาม แม้ฐานลูกค้าหลักจะเป็นชาวต่างชาติ แต่พอมาเจอวิกฤตโควิด-19 ทำให้ฐานลูกค้าหลักเดินทางมาไม่ได้ ฟ้าบอกว่า โชคดีที่สินค้าของ S’uvimol มีวางขายที่ห้างสรรพสินค้าของดูไบ 2 แห่ง และยังมีที่คูเวตและซาอุดิอาระเบีย ซึ่งนำเข้ากระเป๋าเราไปวางขายอยู่แล้ว นอกจากลูกค้าประจำบางคนอยากได้แบบใหม่ๆ เพิ่ม ก็จะติดต่อมาซื้อกับเราโดยตรง
“เพราะฉะนั้น ช่วงที่ผ่านมา ยอดซื้อจากฐานลูกค้าหลักเรายังมีเข้ามา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นฐานลูกค้าเก่าเป็นส่วนใหญ่ ไม่เหมือนกับช่วงที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเอง เราก็จะได้ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ” ฟ้าเล่าอย่างออกรส จนอดสงสัยไม่ได้ว่า ร่ำเรียนมาสายอาร์ต แต่ทำไมดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะอินกับธุรกิจไม่เบา
“นอกจากเรื่องศิลปะ ฟ้ายังสนใจสายบริหารธุรกิจ การเงิน จริงๆ ไม่ได้ชอบค่ะ แต่พอมาทำธุรกิจเองก็เลยต้องดู อาศัยหาความรู้เพิ่ม ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ คงไม่ถึงขั้นไปเรียนต่อปริญญาโทด้านนี้ เน้นเรียนรู้ด้วยตัวเอง อาศัยคุยกับเพื่อนที่ทำธุรกิจสายนี้ เพราะพอมาทำธุรกิจเอง ทำให้รู้เลยว่ามีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้ ยิ่งเราทำเป็นแบรนด์ใหญ่ ไม่ใช่แค่ดีไซน์ แล้วซื้อมาขายไป แต่เรายังต้องดีลกับโรงงาน คนงาน บริหารจัดการสินค้าที่วางขายในห้าง และส่งออกไปขายต่างประเทศ แถมยังต้องดูเรื่องต้นทุนต่างๆ ทั้งหนังที่เลือกใช้ รวมถึงต้นทุนในแง่การขนส่ง”
นอกจากจะลุยงานเต็มที่ ในอีกมุมฟ้ายังหลงใหลในการออกกำลังกาย ฟ้าเล่าว่าเล่นพิลาทิสมา 5 ปีแล้ว ถ้ามีเวลาว่างเธอยังชอบไปวิ่งที่สวนสาธารณะ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพ เธอยังชอบความรู้สึกตอนที่เหงื่อออกมากๆ เพราะทำให้รู้สึกสดชื่นทั้งร่างกายและความคิด
“ส่วนของสะสม ฟ้าเป็นสไตล์มินิมอล ไม่ค่อยสะสมอะไร อย่าง เสื้อผ้า ฟ้าจะคิดเสมอว่า ถ้าซื้อมาแล้วใส่ครั้งเดียว ตกเทรนด์ คนจำได้ จะไม่ค่อยซื้อ หรือซื้อแล้วมาเก็บ เปิดมาเสื้อผ้าเต็มตู้ แต่รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ใส่ แบบนี้ไม่ใช่สไตล์ฟ้า เพราะของทุกชิ้นที่ซื้อมาต้องได้ใส่ ฟ้าชอบซื้ออะไรที่คลาสสิก มิกซ์แอนด์แมตช์ง่าย เลยชอบเสื้อผ้าโทนสีเรียบๆ มีสีสันบ้างนิดหน่อย สำหรับฟ้าถ้าเลือกได้ ชอบเอาเงินไปซื้อประสบการณ์ชีวิต จากการตระเวนกินของอร่อย หรือได้ไปเที่ยวมากกว่า”
สำหรับอนาคต ฟ้าบอกว่า อยากทำแบรนด์ของตัวเอง คิดไว้ว่าจะเป็นเชิงสุขภาพ อาจจะแนวอาหาร หรือของที่เป็นไลฟ์สไตล์ แต่ยังใม่ได้มีภาพชัดเจน เพราะตอนนี้ยังสนุกกับการช่วยคุณแม่ทำแบรนด์
อย่างไรก็ตาม ถึงจะเป็นผู้หญิงทำงาน แต่ฟ้าเชื่อว่าชีวิตคนเรามีหลายด้าน ไม่ควรใช้ไปกับการทำงานเพียงอย่างเดียว
“งานก็สำคัญค่ะ แต่ทำงานแล้วต้องไม่เบียดเบียนเวลาส่วนตัว อย่าง ฟ้าเองงานก็ทำนะคะ แต่ก็ยังต้องแบ่งเวลาไปออกกำลังกาย ไปกินข้าวกับเพื่อน หรือใช้เวลากับครอบครัว ฟ้ามองว่า เมื่อไหร่ที่หน้าที่การงานเติบโต ชีวิตก็ต้องบาลานซ์ ไม่ใช่งานโตมากแต่ลืมคนรอบตัวไปหมดแล้ว สุขภาพย่ำแย่ ดังนั้น ฟ้ามองว่าการไปอยู่ในจุดที่สามารถบริหารทุกด้านของชีวิตให้ลงตัวได้ ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของชีวิตเหมือนกัน” ฟ้าทิ้งท้าย
Comments are closed.