Interview

“ภานุกร ศรีอรทัยกุล” เรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต นอกอาณาจักรเพชรพันล้าน!

Pinterest LinkedIn Tumblr


แม้จะเป็นถึงทายาทคุณหนูแห่งอาณาจักรเพชรพันล้าน หากแต่ “พูม-ภานุกร ศรีอรทัยกุล” หนุ่มตี๋หน้าหยกทายาทรุ่นสามแห่งบิวตี้เจมส์ บุตรชายคนโตของ หนึ่ง-สุริยน กับ เมก้า และหลานปู่พรสิทธิ์ ศรีอรทัยกุล บรมครูแห่งวงการอัญมณีเมืองไทย ที่ตอนนี้กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 คณะเศรษฐศาสตร์ เทอมสุดท้าย มหาวิทยาลัยบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ยังคงอยากออกเดินทางค้นหาประสบการณ์ชีวิตที่อยู่นอกห้องเรียน และคฤหาสน์สุดหรูด้วยตัวเอง ให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต

“วัยของผมกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังค้นหาสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ ที่บ้านมีธุรกิจจิวเวลรี แต่วันหนึ่งผมอาจไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เลยก็ได้ ผมอาจจะเป็นนักกอล์ฟอาชีพก็ได้ ซึ่งผมต้องใช้เวลาช่วงนี้ให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อค้นหาตัวเองให้เจอว่าอยากให้ชีวิตเป็นอย่างไร”

ช่วงที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดไปทั่วโลก ประกอบกับมหาวิทยาลัยปิดช่วงซัมเมอร์ จึงทำให้หนุ่มหน้าใสได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่เมืองไทย ตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา ดังนั้น หนุ่มน้อยวัยใสจึงใช้ช่วงเวลาที่ผ่านมา ออกค้นหาประสบการณ์ชีวิตแบบจริงจัง

เมื่อตัดสินใจอยากค้นหาประสบการณ์ชีวิต เขาจึงตัดสินใจไปฝึกงานที่ บริษัท ซีเคียวริตี คอมปานี อันเป็นบริษัทที่เกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ตามคำแนะนำของผู้เป็นบิดา


จากชีวิตลูกคุณหนูที่ใช้ชีวิตแสนสบายในคฤหาสน์หลังงาม มีคนคอยปรนนิบัติรอบกาย แต่เมื่อเลือกที่อยากจะฝึกงานหาประสบการณ์ชีวิต ชีวิตของเขาจึงต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ต้องใช้ชีวิตไม่ต่างจากมนุษย์เงินเดือนทั่วๆ ไป

“การไปฝึกงานมันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเรียนหนังสือ หรือเวลาอยู่ที่บ้านเลยนะครับ ผมต้องเริ่มงานตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง เพราะต้องเข้างานก่อนตลาดหุ้นเปิดตอนแปดโมงเช้า และเลิกงานห้าโมงเย็น เป็นอย่างนี้ทุกวัน วันสองวันแรกก็รู้สึกเหนื่อยหน่อย เพราะเราไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้ แต่เราต้องปลุกตัวเองให้ลุกขึ้นมา แล้วบอกกับตัวเองว่าเราเป็นคนเลือกที่จะมาฝึกงานเอง ต้องทำให้ได้ ทำให้ผมรู้ว่า คนที่เขาเป็นพนักงานออฟฟิศ ต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานทุกวัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็เช่นเดียวกัน ทุกอย่างในโลกใบนี้ก็สอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายถ้าเราไม่ลงมือทำ” พูมเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ทายาทเพชรพันล้าน เล่าถึงเหตุผลที่เลือกไปฝึกงานทางด้านการเงินการลงทุนในตลาดหุ้น แทนการไปฝึกงานด้านบริหาร ที่เขาร่ำเรียนมาว่า

“ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ เพราะอยากรู้ว่าระบบเศรษฐกิจของแต่ละโลกเขาเป็นอย่างไร ทำไมประเทศนี้ค่าเงินบาทอ่อนและแข็งตัว และรอบตัวผมไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือคุณปู่ ท่านเป็นนักธุรกิจ ผมสามารถไปเรียนรู้งานจากท่านได้ แต่งานการลงทุนตลาดหุ้นมันเป็นความรู้ที่ท้าท้ายสำหรับผม ที่สำคัญ ผมศึกษาเรื่องการซื้อขายหุ้นด้วยตัวเองมานานแล้ว จึงอยากจะเข้ามาศึกษาอย่างจริงจัง อยากทราบแนวความคิดของนักเล่นหุ้นว่า เขาวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัวอย่างไร เขามีการซื้อขายกันอย่างไร และผมก็ยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับงานไฟแนนซ์ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับตลาดหุ้น รวมถึงเรียนรู้วิธีแลกเปลี่ยนเงิน”


เรียกว่าเป็น 2 เดือนของการหาประสบการณ์ชีวิตที่คุ้มค่าสุดๆ และเขาได้เก็บเกี่ยวหาประสบการณ์ชีวิตนอกตำรา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน และชีวิตการเรียน โดยเฉพาะ การเรียนผ่านระบบออนไลน์ทางไกลข้ามทวีป ที่เขากำลังเรียนอยู่ในขณะนี้

“การฝึกงานทำให้ผมนิ่งและมีสมาธิมากขึ้นครับ เมื่อก่อนเป็นคนไฮเปอร์มาก และความนิ่งนี้เองที่ทำให้เรามีสมาธิในการเรียนออนไลน์ เพราะตอนนี้มหาวิทยาลัยเปิดแล้ว แต่เรายังไม่สามารถเดินทางกลับไปเรียนได้ จึงต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายแล้ว ผมมีเรียนทั้งหมด 3 วิชาด้วยกัน ตั้งแต่ 20.00 -22.45 น. เกือบทุกวัน แถบบางวันยังมีรอบเช้าที่ต้องตื่นมาเข้าคลาสแต่เช้าตรู่ด้วย“

แม้ต้องเรียนเกือบทุกวันและตารางเรียนที่ไม่ตรงกับเวลาในประเทศไทย แต่หนุ่มหน้าใสก็ไม่ได้หวั่นเกรง แถมมีวิธีจัดสรรชีวิตแบ่งเวลาเรียนออนไลน์ข้ามทวีป ไทยกับสหรัฐอเมริกา แบบสบายๆ เพราะทุกที่คือห้องเรียน

ด้วยยังคงมีอีกความฝันที่ท้าทาย และเฝ้าฝันอยากทำให้สำเร็จ นั่นคือการเปิดแบรนด์จิวเวลรีเครื่องประดับสำหรับผู้ชาย เพื่อมาเสริมกิจการของครอบครัวให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น ดังนั้น เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีในกลางปีนี้แล้ว ชายหนุ่มตั้งเป้าว่าจะต้องศึกษาเกี่ยวกับเรื่องอัญมณีเพิ่มเติม

“ก็ต้องดูสถานการณ์โควิดด้วยครับ ถ้าไม่มีอะไรผิดแผน ผมจะบินกลับไปเรียนเกี่ยวกับจิวเวลรีดีไซน์ ที่สถาบันอัญมณีศาสตร์ หรือ (GIA) ประเทศสหรัฐอเมริกา อีกประมาณ 6 เดือน เพื่อศึกษาการออกแบบเพชรในรูปแบบต่างๆ ผมคิดว่าอยากจะเปิดแบรนด์เพชรสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะ เพื่อมาต่อยอดกิจการของคุณพ่อ ที่เน้นเครื่องเพชรของผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ผมอยากออกแบบเพชรให้มีดีไซน์ที่เหมาะกับผู้ชาย โดยเฉพาะ กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เคยมีความคิดว่า เพชรใส่ได้เฉพาะแค่ผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งแท้จริงแล้วผู้ชายก็สามารถใส่เพชรเป็นเครื่องประดับประจำกายได้เช่นกัน”


หนุ่มหน้าใสในชุดลำลองสบายๆ ขยับตัวนิดหน่อยก่อนที่จะพูดว่า เขาเริ่มหลงเสน่ห์ในความแวววับของเพชรเม็ดงามเมื่อ 3-4 ปีที่แล้วนี้เอง

“เมื่อก่อนผมก็เป็นอีกคนที่ไม่ชอบเครื่องประดับเพชรเลย แม้จะเห็นคุณพ่อกับคุณปู่ทำกิจการร้านเพชร แต่เมื่อเราเริ่มโตขึ้น เห็นคุณพ่อมีความสุขทุกครั้ง เวลาที่เห็นเพชรแต่ละเส้นถูกดีไซน์ขึ้นมาอย่างงดงาม ผมจึงค่อยๆ ซึมซับความรักมาจากคุณพ่อ กระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อน ทำให้ผมตกหลุมรักเพชรขึ้นมา จึงอยากรู้ว่าเพชรแต่ละเส้นที่สวมใส่อยู่นั้น มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เขาดีไซน์กันอย่างไร และจะทำอย่างไรให้เพชรที่ผู้ชายเห็นว่าเป็นเรื่องของผู้หญิง ดูเป็นเรื่องของคนทุกเพศได้” พูมเล่าด้วยน้ำเสียงแห่งความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง

นี่ไม่ใช่เพียงแค่ความตั้งใจเดียว แต่หนุ่มน้อยคนนี้ยังตั้งเป้าหมายชีวิตไว้อย่างมีระบบ โดยในแต่ละปีเขาจะตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนชีวิตไว้ปีละ 3 ข้อ และปีนี้ก็เช่นกัน เป้าหมายทั้งหมดถูกจัดสรรไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

“แต่ละปีผมจะกำหนดเป้าหมายในชีวิตไว้ เพราะถ้าเราใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไม่มีเป้าหมาย ก็จะทำให้เราดูเป็นคนไร้ค่าในทันที และปีนี้ผมตั้งเป้าหมายไว้ 3 ข้อคือ ข้อที่ 1 จะต้องดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง 2. ปีการศึกษานี้ซึ่งเป็นเทอมสุดท้ายของการเรียน ผมจะต้องเรียนให้ได้เกรด 3.5 ขึ้นไป เพื่อให้คุณพ่อและคุณแม่ภูมิใจ และข้อที่ 3 คือ ผมจะต้องพยายามหาเงินใช้เองให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งตอนนี้ผมก็นำเงินเก็บของตัวเอง ที่ได้จากอั่งเปาคุณปู่คุณพ่อให้ทุกๆ ปีมารวมกัน แล้วเริ่มลงทุนซื้อหุ้นและก็เพิ่งจะได้เงินปันผลเล็กๆ น้อยๆ กลับมา ถือเป็นเงินก้อนแรกที่เราหามาได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้เราภูมิใจที่สุดที่สามารถทำเป้าหมายได้สำเร็จ และผมก็จะเดินหน้าทำต่อไปด้วยครับ”


นอกจากเรื่องเรียนและชีวิตการฝึกงานแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หนุ่มอนาคตไกล ตกหลุมรักมาตั้งแต่วัยเยาว์นั้นคือ การเล่นกอล์ฟอันเป็นกีฬาสุดโปรดของครอบครัว มาตั้งแต่รุ่นคุณปู่สานต่อมารุ่นคุณพ่อ จนกลายมาอยู่ในสายเลือดของครอบครัวนี้ และเขาก็มักจะชวนคุณปู่คุณพ่อและแก๊งเพื่อนสนิท ไปออกรอบอยู่เป็นประจำ

“ผมชอบตีกอล์ฟมากครับ ตอนเป็นเด็กก็จะตามคุณปู่กับคุณพ่อไปออกรอบที่สนาม คุณปู่สอนให้จับไม้กอล์ฟตั้งแต่เด็กๆ แรกๆ ก็ไม่ค่อยชอบเหมือนถูกบังคับให้ไป แต่พอนานวันเข้า เราเริ่มรู้สึกว่าการตีกอล์ฟมันเหมือนเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง แถมยังช่วยฝึกให้เรามีสมาธิในการควบคุม พัดลูกกอล์ฟให้ลงหลุม ที่สำคัญทุกครั้งที่ผมออกรอบตีกอล์ฟ เราจะมีความสุขและผ่อนคลาย เหมือนกอล์ฟเป็นยาวิเศษช่วยขจัดทุกความรู้สึกแย่ๆ ในจิตใจออกไปจนหมดสิ้นครับ”

Comments are closed.

Pin It