หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตา “อ้อมแอ้ม-ศรัณย์ภัค เพ็ญชาติ” ลูกสาวคนเก่งของศรัณย์ และ ณัฏฐกา เพ็ญชาติ เป็นอย่างดี ในฐานะเซเลบริตีสาวคนดังที่มักได้รับเทียบเชิญออกงานสังคมบ่อยๆ แต่เชื่อว่าน้อยครั้งที่จะได้เห็นเธอจูงมือคุณพ่อคุณแม่สุดที่รัก เคลียร์คิวมาเปิดใจให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ถึงเรื่องราวความรักความผูกพันในครอบครัวไซส์มินิ ที่มีเพียง 3 คน พ่อ-แม่-ลูก อย่างออกรส และชวนให้อมยิ้มตาม ส่วนจะน่ารักและชวนให้อิจฉาขนาดไหน Celeb Online พร้อมแล้วจะพาทุกคนไปหาคำตอบ
Young Happy กับชีวิตในวัยกึ่งเกษียณ
ก่อนอื่นเริ่มจากหัวหน้าครอบครัว อย่าง คุณพ่อศรัณย์ ซึ่งนิยามตัวเองว่าอยู่ในวัย “กึ่งเกษียณ” มาหลายปีแล้ว สาเหตุที่ใช้คำว่า “กึ่ง” เพราะแม้จะไม่ได้ทำงานประจำ แต่ก็ยังเข้าออฟฟิศทุกวัน
“ตอนนี้ผมยังเป็นกรรมการบริษัทจุฑานาวี ซึ่งเป็นธุรกิจเรือของครอบครัว รวมทั้งเป็นกรรมการอีกบริษัทที่เราตั้งขึ้นเพื่อบริหารจัดการเรื่องโลจิสติกส์ เวลามีเรือเข้า-ออก ทำให้ยังต้องเข้ามาประชุม เซ็นเอกสาร ส่วนงานโอเปอเรชัน ตอนนี้ปล่อยให้รุ่นลูก-รุ่นหลานเข้ามาดูแล นอกจากนี้ ยังทำงานเป็นที่ปรึกษาให้กับธุรกิจพวกเรียลเอสเตท อย่าง คอนโดมิเนียม” คุณพ่อเปิดฉากอย่างเป็นกันเอง
ผลจากการใช้ชีวิตแบบกึ่งเกษียณ ทำให้คุณพ่อวัย 67 ปี มีความสุขกับชีวิตที่มีเวลามากขึ้น ได้ไปเที่ยวมากขึ้น “เวลาไปเที่ยว ถ้าเป็นทริปครอบครัวไปกับภรรยา และ ลูก ลูกจะเป็นคนวางแผนทั้งหมด แต่บางครั้งก็มีจะทริปที่ไปกับเพื่อนนักเรียน ซึ่งตอนนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานกันแล้ว
มาถึงคุณแม่สุดแอคทีฟ การันตีความสวยด้วยดีกรีแอร์โฮสเตสของการบินไทย ปัจจุบันก็ยังคงทำงานให้องค์กรที่เธอบอกว่ารักที่สุด เพราะเป็นที่ทำงานแรกและที่ทำงานเดียวในชีวิต เริ่มเป็นแอร์ฯ ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 สิริรวมเวลาก็ 35 ปี
“จริงๆ ตำแหน่งของเราคือ ผู้จัดการเที่ยวบินอาวุโสประจำสำนักงาน เวลาที่มีบิน เราจะเป็นซูเปอร์ไวเซอร์ขึ้นไปดูแลน้องๆ หัวหน้าพนักงานต้อนรับ ไปตรวจไฟล์ท ให้คะแนน จะบินเดือนละประมาณ 3-4 ไฟลท์ ส่วนช่วงที่ไม่มีบินก็จะเข้ามาที่ออฟฟิศ ซึ่งเราประจำอยู่ที่กองสื่อสารและประชาสัมพันธ์พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน เวลาบริษัทหรือต้นสังกัดมีอะไรที่แจ้งให้พนักงานต้อนรับทราบหมด ก็จะส่งมาที่แผนกเพื่อกระจายข่าว ซึ่งเราเริ่มลงมาทำงานอยู่ที่ภาคพื้นด้วยประมาณเกือบ 10 ปีแล้ว”
แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (โควิด-19) ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการบินอย่างสาหัส ผู้คนไม่สามารถเดินทางได้เหมือนเก่า ทำให้การทำงานก็ต้องปรับเปลี่ยน “อย่างที่ทราบกันดีว่า ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ตอนนี้การบินไทยหยุดบินชั่วคราว แต่พนักงานยังคงทำงานอยู่ ในส่วนของพนักงานต้อนรับในช่วงที่ไม่ได้มีการบิน แต่ยังมีหลายหน่วยงานในการบินไทย ที่ต้องการนำศักยภาพของพนักงานต้อนรับไปใช้ในที่ต่างๆ ซึ่งเราเองทางต้นสังกัดมอบหมายให้ไปดูแล อำนวยความสะดวก เวลาที่พนักงานต้อนรับได้รับมอบหมายให้ไปช่วยในส่วนไหน ซึ่งเราก็ไม่ติด เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบงานสังคม ทำงานจิตอาสาอยู่แล้ว ถึงบริษัทไม่ได้มอบหมายให้ทำ ถ้ามีงานไหนทำได้ ก็ยินดีทำให้ตลอด”
ด้วยความที่อยู่กับองค์กรมานานและยังมีใจอาสาทำงานโดยไม่เกี่ยง ทำให้บางคนเรียกเธอว่าเป็น “เจ้าแม่แอร์โฮสเตส” งานนี้เจ้าตัวออกตัวอย่างขำขันว่า “ไม่ถึงขนาดนั้น อย่างที่บอกว่า เราทำงานจิตอาสา เพราะฉะนั้น เราจะมีกลุ่มไลน์เฉพาะที่มีพนักงานทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ช่าง แคเทอริง คาร์โก้ เวลาส่วนไหนของการบินไทยต้องการคนช่วยงาน เราก็จะประกาศไปในกลุ่ม อย่าง งานภัตตาคารปาท่องโก๋ก็เหมือนกัน”
มาถึงวันนี้ ไม่ต้องถามเลยว่าผูกพันกับการบินไทยมาแค่ไหน เพราะไม่ใช่แค่ทำงานเกินค่าตอบแทน แต่เต็มใจและยินดีทำเพื่อองค์กรที่รักแบบสุดหัวใจ
“ผูกพันกับองค์กรมากถึงมากที่สุด อะไรที่ทำให้การบินไทยได้ จะทำอย่างเต็มใจและเต็มที่เสมอ จนแอ้มยังแซวว่าทำงานเกินเงินเดือน ต้องบอกว่า เราเห็นใจเพื่อนร่วมงานและองค์กรมาก ตั้งแต่เกิดโควิด-19 การบินไทยไม่เคยทอดทิ้งพนักงาน ทุกวันนี้ถึงจะขอความร่วมมือให้มีการลดเงินเดือน แต่ก็ยังจ่ายเงินเดือนให้พนักงานทุกเดือน ทั้งที่รายได้บริษัทน้อยมาก แม้ว่าจะหาช่องทางทำรายได้ อย่าง การเปิดภัตตาคาร ขายปาท่องโก๋ หรือ มีไฟล์ทที่บินไปรับคนไทยบ้าง คาร์โก้บ้าง แต่ยังไม่คุ้มกับ Fixed cost ที่เป็นรายจ่ายประจำ อย่าง ค่าพนักงาน ค่าเครื่อง เราเองในฐานะพนักงานคิดเสมอว่า ที่ผ่านมา บริษัทก็ดูแลเราอย่างดีมาตลอด ดังนั้น ตราบที่บริษัทยังจ่ายเงินเดือน อะไรที่ทำให้บริษัทที่รักได้ก็จะช่วย และจะบอกน้องๆ อยู่เสมอว่า เราต้องช่วยบริษัทให้อยู่ได้ เพราะบริษัทอยู่ได้ เราก็อยู่ได้”
ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้เวิร์กกิงมัมคนเก่งทุ่มเทกับงานแบบเกินร้อย จนสามียังออกปาก ทุกวันนี้ออกจากบ้านเช้ากว่าตอนช่วงยังไม่เกิดวิกฤต แถมยังกลับบ้านค่ำ หัวถึงหมอนก็หลับเลย ยังไม่รวมน้ำเสียงที่แหบแห้ง เพราะต้องเป็นศูนย์กลางในการประสานงาน และบรีฟงานให้กับทีมงานแบบแทบจะนันสต็อป
“ตอนนี้การบินไทยทำภัตตาคารอร่อยล้นฟ้า ไม่ต้องบินก็ฟินได้ เราก็มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า ประสานงานกับแผนกต่างๆ โดยเฉพาะ ในกลุ่มลูกเรือ ซึ่งเรามีกิมมิคให้แต่งชุดยูนิฟอร์มเวลาปฏิบัติงานจริง หรือบางครั้งก็ให้ใส่ชุดไทยมาถ่ายรูปกับแขก ขณะที่ กัปตันบางส่วนก็รวมทีมกันมาเป็นวงดนตรีร้องเพลงให้แขกฟัง หน้าที่หลักของเราคือ เป็นตัวกลางในการช่วยประสาน เพราะน้องๆ ที่มาเป็นจิตอาสา มาจากคนละส่วน ไม่รู้ว่าต้องสอบถามหรือประสานงานกับใคร เราเลยเหมือนมาช่วยเป็นผู้จัดการร้าน ภัตตาคารเปิด 8 โมงเช้า 7 โมงกว่าๆ ก็ต้องถึงออฟฟิศแล้ว”
คุณแม่คนเก่งยังเปรียบเทียบอย่างเห็นภาพว่า “การไปทำงานที่ภัตตาคาร ก็เหมือนได้กลับมาบินเหมือนกันนะ เพราะคนที่มาส่วนใหญ่เป็นลูกค้าการบินไทยอยู่แล้ว เขาคิดถึงเลยมาใช้บริการไม่พอยังให้พลังบวก มาเป็นกำลังใจให้พวกเรา เชื่อมั้ยว่า จากตอนแรกที่เปิดรับพนักงานจิตอาสา มาช่วยงานแบบเดือนต่อเดือนก็ยังมีคนที่มาร่วมไม่มาก แต่ครั้งล่าสุดที่เปิดรับพนักงานให้มาช่วยงานยาว 6 เดือน มีพนักงานที่พร้อมจะมาช่วยบริษัทตอนที่ไม่ได้บินมาลงชื่อ 400-500 คน เพราะอย่างที่บอกว่า ตอนนี้ถึงจะกลับมาบินแต่ก็ยังไม่ 100% แต่พอกลุ่มพนักงานใหญ่ขึ้น เราก็ต้องคัดเฉพาะหัวหน้างานมาจัดเป็นกลุ่มเล็กๆ สอนระบบเพื่อให้ไปบรีฟต่อ จะทำเหมือนที่ทำอยู่ทุกวันนี้ บรีฟเองทุกเช้าคงไม่ไหว
มาถึงอ้อมแอ้ม ลูกสาวคนเดียวของบ้าน อัปเดตว่า ล่าสุด ผันตัวจากงานประชาสัมพันธ์มาทำงานในสายการตลาด ที่บริษัทอีคอมเมิร์ซชื่อดัง อย่าง Shopee ได้ 6 เดือนแล้ว
“สนุกดีค่ะ เพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และถึงจะเปลี่ยนสายงาน แต่ก็ยังเป็นสายที่ใกล้ตัว โดยเฉพาะ ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรง ตั้งแต่โควิด-19 ก็ยิ่งโต ถือว่าเป็นงานที่ทั้งตอบโจทย์ เพราะเราเป็นคนทำอะไรเร็วอยู่แล้ว และท้าทายให้เราต้องเพิ่มทักษะเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ การมาทำงานตรงนี้ทำให้มีอะไรให้เรียนรู้ทุกวัน มีแคมเปญใหม่ๆ ทุกเดือนให้ศึกษา ที่สำคัญ เวลาในการทำงานก็ค่อนข้างยืดหยุ่น
ถอดรหัสดีเอ็นเอครอบครัวปาท่องโก๋
แม้หน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนจะหลากหลาย แต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างไม่เหงา โดยเฉพาะ คุณพ่อ ต่อให้ตอนนี้จะมีเวลาว่างมากที่สุดก็มีกิจกรรมมากมายให้ทำ นอกเหนือจากการทำงาน ยังหาเวลาว่างท่องโลกออนไลน์ และออกกำลังกายอยู่ที่บ้าน แทนที่จะไปสปอร์ตคลับเพื่อหนีปัญหาการจราจร
“เราเป็นครอบครัวเล็ก มีกันแค่พ่อแม่ลูก แต่งงานมา 6 ปี ถึงจะมีแอ้ม ใจจริงอยากมีอีกคน แต่ก็ไม่มี เลยคิดว่าจะทุ่มเททุกอย่างให้แอ้มคนเดียว เลี้ยงเขามาอย่างใกล้ชิด เป็นครอบครัวที่ตัวติดกันตลอด” คุณแม่เปิดฉากถึงความสนิทสนมก่อนคุณพ่อจะเสริมว่า “ตอนเด็กๆ สมัยที่แม่เขายังบิน แอ้มจะอยู่กับพ่อ เวลาวันหยุดเราจะไปต่างจังหวัดกัน บางครั้งถ้าแม่ไปทำงาน แอ้มก็ไปกับพ่อก่อน แม่ลงเครื่องมาก็ตามไป หรือบางทีก็ไปรับแม่จากสนามบินแล้วขับออกต่างจังหวัดเลย ครอบครัวเราใช้เวลาด้วยกันตลอด เรียกได้ว่า เราใกล้ชิดกันมากถึงมากที่สุด”
สำหรับวิธีการเลี้ยงลูกสาวคนเดียว คุณแม่บอกเลยว่า “เน้นพูดคุยตรงไปตรงมา แอ้มมีอะไรก็จะเล่าให้พ่อแม่ฟังทุกเรื่อง ในฐานะพ่อแม่เราก็ไม่ได้ดุพร่ำเพรื่อ โชคดีที่เขาเองก็เป็นเด็กดี มีเหตุผล มีระเบียบวินัย กลับจากโรงเรียน อาบน้ำ แต่งตัว ทำการบ้าน ไม่ต้องจ้ำจี้จ้ำไช”
ถามว่า ทำไมเป็นเด็กดีขนาดนี้ อ้อมแอ้มตอบแบบเขินๆ ว่า “คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยดุ แต่แอ้มเองที่คิดว่าเวลาเรียนหนังสือก็อยากให้คะแนนดี ประกอบกับได้เพื่อนดี อย่างเพื่อนสนิทแอ้มก็สไตล์เดียวกัน ถ้าเป็นช่วงใกล้สอบก็จะขยันอ่านหนังสือ ถ้าช่วงไหนไม่ติดสอบก็ลัลลา”
งานนี้ คุณแม่ที่นั่งฟังอยู่แอบซ่อนสายตาแห่งความภาคภูมิใจในตัวลูกสาวไม่ไหวจนต้องเสริมว่า “ต้องบอกว่าเพื่อนๆ เขาที่จิตรลดาก็ค่อนข้างดี มีความรับผิดชอบ แถมเพื่อนๆ เขาแทบทุกคนก็เป็นลูกสาวคนเดียวหมด พ่อแม่ก็รู้จักสนิทสนมกันเป็นอย่างดี”
“เขาเรียนด้วยกันตั้งแต่ อ.1-ม.6 บางคนก็เข้ามาเรียนที่อักษรฯ จุฬาฯ ด้วยกัน เขาเป็นคนวางแผนตัวเอง ตั้งแต่ ม.ปลาย พอรู้แล้วว่าตัวเองจะเรียนต่อคณะไหน ก็เริ่มวางแผนเรียนพิเศษ คุณพ่อมีหน้าที่แค่จ่ายเงิน ไปรับ-ส่ง และไปนั่งคอยเขาเรียน หรืออย่างตอนที่เขาจะไปเรียนต่อปริญญาโท พอปี 3 เขาก็เริ่มวางแผนแล้วว่าเรียนจบจะไปเลย เพราฉะนั้น ต้องเตรียมตัวหาที่เรียน สมัครเรียนแต่เนิ่นๆ ทำให้เขาแทบจะเป็นคนแรกๆ ของรุ่น ที่ไปเรียนต่อได้ค่อนข้างไว ผมกับภรรยาก็มีหน้าที่ไปช่วยเลือกโรงเรียน ช่วยหาที่พัก” คุณพ่อเล่าอย่างออกรสก่อนคุณลูกจะเสริมว่า
“แอ้มมีความคิดเป็นของตัวเอง เลือกเส้นทางชีวิตตัวองมาตลอด แต่ในขณะเดียวกัน เวลาเลือกแล้วเราก็จะมาปรึกษาคุณพ่อคุณแม่อีกทีว่า แบบนี้ดีมั้ย หรือถ้าเลือกเรียนที่นี่แล้วพักแถวนี้มั้ย พอถึงเวลาเราก็ชวนคุณพ่อคุณแม่บินไปดูด้วยกัน”
“เขาเป็นเด็กที่มีความคิดเป็นของตัวเอง และก็จะมีออปชั่นเวลามาขอคำปรึกษาจากพ่อแม่ให้ช่วยพิจารณาอีกทีว่า ดีหรือไม่ดีเพราะอะไร เช่น ตอนจะไปเรียนต่อที่ลอนดอน เขาก็จะถามว่าพักย่านนี้ดีหรือไม่ดีเพราะอะไร โชคดีที่ตอนนั้น เขาไปเรียนต่อพร้อมเพื่อนที่อักษรฯ อีกคน ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว ถึงจะเรียนคนละมหาวิทยาลัย แต่เราเลือกที่พักที่ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน สะดวกสำหรับการเดินทางทั้งคู่” คุณแม่ถือโอกาสเสริม จนถูกคุณพ่อแซวว่า “ดีที่แม่เขาเป็นแอร์ฯ บินไปลอนดอนบ่อยจนทะลุปรุโปร่ง หลับตาวาดภาพได้เลยว่า ถนนสายไหนเป็นอย่างไร ตอนที่เราบินไปดูที่เรียน ที่พัก จ่ายมัดจำ แม่เขาเป็นคนนำทางเลย สุดท้ายได้บ้านที่โอเค แถมราคาไม่สูงมาก”
ถามว่าเหงามั้ยที่เกิดมาเป็นลูก(สาว) คนเดียว แอ้มคลี่ยิ้มก่อนเฉลยว่า “ไม่เหงาเลย ที่สำคัญบ้านเราอยู่บริเวณเดียวกับญาติๆ สมัยเด็กๆ ก็ไป-กลับจากโรงเรียนพร้อมกัน หรือไม่ก็ไปเล่นบ้านญาติ แต่พอโตก็มีความชอบต่างสไตล์ ต่างคนต่างมีเส้นทางของตัวเอง แต่เจอกันก็ยังคุยกันปกติ เลยเหมือนมีคนที่โตมาด้วยกัน”
ตามติดครอบครัวนักเดินทาง
นอกจากจะสะท้อนภาพครอบครัวที่แสนอบอุ่นแล้ว ทั้งสามคนยังเป็นครอบครัวนักเดินทาง เรียกว่าถ้าเข้าไปส่องอินสตาแกรมของอ้อมแอ้มต้องตาร้อนผ่าว เพราะชีพจรลงเท้าเดินทางตลอด
“ทริปของแอ้มมีทั้งทริปที่ไปกับเพื่อนสนิท ที่อักษรฯ กับจิตรลดา ซึ่งเราไปเที่ยวทั้งในและต่างประเทศด้วยกัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เป็นช่วงหยุดยาว เป็นอันรู้กันว่าไม่ต้องนัดแอ้ม เพราะต้องไปเที่ยวกับพ่อแม่ ปกติเราจะมีทริปประจำปีไปกับอีกครอบครัวหนึ่ง ซึ่งเราสนิทมากทั้งที่ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่เรามีรสนิยมการเที่ยวใกล้เคียงกัน แรกๆ ก็เริ่มจากทริปญี่ปุ่น จนตอนหลังไปยุโรป ล่องเรือ อย่าง สงกรานต์ที่ผ่านมา จริงๆ เรามีแผนไปจอร์เจียกัน พ.ย.นี้ ก็มีแผนไปฟินแลนด์ แต่พอโควิด-19 มาก็ต้องเลื่อนไปเป็นปีหน้า ซึ่งหวังว่าเราจะได้ไป(ยิ้ม)”
ในฐานะที่ไปเที่ยวมาเยอะ ตะลุยมาหลายเดสติเนชัน ถ้าให้เลือกทริปที่ประทับใจที่สุด ทั้งสามลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ ยกให้ทริปล่องทะเลเมดิเตอร์เรเดียนเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ซึ่งแพ็กกระเป๋าไปเมื่อ ก.ค.ปีที่แล้ว
“ทริปนั้นเราไปใช้ชีวิตบนเรือ กลางวันลงเรือมาเช่ารถตู้ที่จอดอยู่แถวท่าเรือให้พาไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ พอถึงเวลาก็พากลับมาส่งที่เรือ นอนบนเรือล่องไปเรื่อยๆ จากโรมไปจบที่สเปน แวะกรีซ อิตาลี ได้ไปมอนเตเนโกร เป็นประเทศที่เราไม่เคยไปมาก่อน เป็นอะไรที่ประทับใจมาก” ทั้งสามช่วยกันเล่าและวาดภาพความประทับใจให้เห็นราวกับเพิ่งกลับจากทริปเมื่อวาน พร้อมเสริมแผนการเดินทางในปีนี้ว่า ด้วยสถานการณ์ที่ไม่อำนวยปีนี้คงต้องพับแผน กลับมาเที่ยวเมืองไทยซึ่งสวยไม่แพ้ประเทศใดในโลกไปก่อน
“ถ้าต่างประเทศ ให้แม่เขาตัดสินใจ เราเดินตาม ถ้าเมืองไทย เราวางแผนกับลูกก่อน เพราะลูกเป็นคนยุติธรรม ไม่เข้าข้างพ่อหรือแม่ ดังนั้น คำตัดสินของแอ้มเป็นที่สิ้นสุด นานๆ ทีอาจจะมีไปล็อบบี้ก่อน เช่น การเลือกโรงแรม ถ้าไปใต้ ผมจะเลือกโรงแรมที่อยู่เนินเขา เพราะเผื่อเกิดสึนามิ ล่าสุด ไปเกาะยาวน้อย ภูเก็ต สวยและถูก อาหารถูกปาก นักท่องเที่ยวไม่เยอะ”
“พอเจอโควิด-19 ไปไหนไม่ได้ คราวนี้ใช้ชีวิตติดกันเหมือนตังเม อ้วนขึ้นทุกคน ยกเว้นแอ้ม เพราะตื่นเช้ามาเราก็ถามกันแล้วว่า จะกินอะไร ซึ่งถึงเราจะไม่ได้เข้าครัว แต่ก็ไม่อด เพราะช่วงนั้นมีลูกเรือหารายได้พิเศษ ทำอาหารขายเยอะมาก เราก็ช่วยอุดหนุนเต็มที่ จนอาหาร-ขนมเต็มตู้เย็น พอมีเวลาว่างก็ออกกำลัง เลือกคนละมุมในบ้าน เพราะอย่างคุณพ่อเขาจะวิ่งลู่ ส่วนแอ้มเขาดูคลาสออกกำลังกาย” คุณแม่ฉายภาพชีวิตช่วงโควิด-19
“ช่วงนั้น ออกกำลังกายเยอะมาก ออกทุกวัน วันละ 2-3 ครั้ง พอคลายล็อกดาวน์ ไม่รู้สึกอ้วนขึ้นเรื่อย เพราะกินเยอะ ออกกำลังกายเยอะ แข็งแรงขึ้นด้วย” แอ้มเสริมก่อนคุณแม่จะแซวว่า “ตอนเด็กๆ เขาอ้วนมากจนไม่คิดว่าจะผอมได้ (หัวเราะ) กินเสร็จนอน เวลาพาไปกินแฮมเบอร์เกอร์ก็เลือกชิ้นใหญ่ ๆ กินก๋วยเตี๋ยวก็ขอ 2 ชาม จนเรียนอยู่ ป.5- ป.6 ก็อ้วนอยู่ มีวันหนึ่งกลับมาบ้านร้องไห้ เจอเพื่อนบอกว่า เธอสวยนะแต่อ้วนไปหน่อย เลยเป็นแรงบันดาลใจให้ลุกขึ้นมาลดน้ำหนัก ทั้งที่พ่อแม่ไม่เคยบอกให้ลด เขาคิดเองทำเอง
สมัยก่อนเราจะไปกินข้าวที่บ้านคุณปู่ พอญาติๆ เห็นว่า แอ้มกินผลไม้แทนข้าว ทุกคนก็หาว่าพ่อแม่บังคับ พอทำไปเรื่อยๆ เริ่มผอม ญาติๆ ก็บอกว่าไม่ต้องลดแล้ว แต่ตอนนั้นแอ้มก็ไม่ฟัง เพราะมีเป้าในใจว่าอยากลดน้ำหนักให้เหลือเท่าไหร่ ยังกินผลไม้แทนอาหารเย็น ทำการบ้านเสร็จก็ไปว่ายน้ำ ที่บ้านไปกินบุฟเฟต์ ก็กินแต่ผลไม้ จำได้เลยว่า มีครั้งหนึ่ง นั่งกินผลไม้ในร้านบุฟเฟต์แล้วก็ร้องไห้ จนทุกคนหาว่าเราบังคับลูก ความจริงคือไม่เคย” คุณแม่เล่าอย่างอารมณ์ดี จนคุณพ่อทนไม่ไหว ต้องเสริม
“เขาเป็นคนมีระเบียบ มีความรับผิดชอบ จะเรียกว่าเป็นโชคดีของพ่อแม่ก็ได้ เรียนหนังสือก็ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ พอเป็นวัยรุ่นจะไปเที่ยวกลับตี 1 ตี 2 ก็ให้พ่อไปรับ ซึ่งเขาก็ไม่ได้เที่ยวบ่อย บางทีมาขอไปก็กลับมาเร็วจนแม่เขายังแปลกใจ ยังไม่ทันเข้านอนเลย ที่สำคัญเพื่อนๆ ที่ไปด้วยเราก็รู้จักหมด”
ถามว่าอะไรคือสิ่งที่พ่อแม่ห่วงใยลูกสาวคนเดียว ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ “ก็คงเหมือนพ่อแม่ทั่วไป ห่วงอนาคต ถ้าเขาจะมีครอบครัวต่อไป เขาเป็นลูกคนเดียว เราก็หวังให้เขามีคนดีๆ มีความรับผิดชอบมาดูแลต่อจากเรา” ฟากลูกสาวที่ไม่เคยพาใครมาเปิดตัวในฐานะแฟนซักที ได้แต่อมยิ้ม ก่อนเผยถึงความในใจที่รักและเป็นห่วงพ่อแม่เช่นกัน “สำหรับคุณพ่อ แอ้มห่วงเรื่องสุขภาพ เพราะเวลาคุณพ่อป่วยที จะป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลเลย ส่วนคุณแม่แอ้มอยากให้ทำงานน้อยลง”
มาถึงคำถามที่ชวนให้ดีกรีความอบอุ่นยิ่งพุ่งทะยาน เมื่อคุณพ่อบอกว่า “โควิด-19 ทำให้อยู่ด้วยกันมากกว่าปกติ อย่าง ภรรยาผม แต่งงานมา 30 กว่าปี หลังเขาเป็นแอร์ฯ ชีวิตเขาก็เดินทางตลอดแบบนี้ เจอกัน 2-3 วันก็บิน ผมเองมีหน้าที่ไปรับ-ไปส่งสนามบิน พอโควิด-19 มากลายเป็นเราได้เจอกัน 24 ชั่วโมง แต่ก่อนแค่ไปเที่ยวด้วยกัน 7-10 วัน ตอนนี้เห็นหน้าทั้งวันทั้งคืน”คุณพ่อทิ้งท้าย
** ขอขอบคุณ :: โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โทรศัพท์ 0-2541-1234 :: เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพ **
Comments are closed.