Interview

“อิทธิฤทธิ์ รัตนทารส อัมพุช” ทายาทเดอะมอลล์ กรุ๊ป ผู้ต่อจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย "ดิ เอ็มดิสทริค"

Pinterest LinkedIn Tumblr


เผลอแป็บเดียว “จีน-อิทธิฤทธิ์ รัตนทารส ​อัมพุช” บุตรชายคนโตของ “กอล์ฟ-ณชนก รัตนทารส กับอ้อย-อัจฉรา อัมพุช” หลานชายคนสนิทของ “แอ๊ว-ศุภลักษณ์ อัมพุช” ก็โตเป็นหนุ่มใหญ่ จนเข้ามาช่วยเสริมทัพครอบครัวในการบริหาร เดอะมอลล์ กรุ๊ป ที่ตอนนี้กำลังจะมีบิ๊กโปรเจกต์อย่าง ‘ดิ เอ็มสเฟียร์’ (THE EMSPHERE) จิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะมาเติมเต็มภาพของโครงการ ดิ เอ็มดิสทริค (THE EMDISTRICT) ให้สมบูรณ์ หลังจากก่อนหน้านี้ ได้เปิดตัว ดิ เอ็มโพเรียม (THE EMPORIUM) และ ดิ เอ็มควอเทียร์ (THE EMQUARTIER) ได้แล้ว

“ผมเป็นเจนฯ ใหม่ คนที่ 4 ที่เข้ามาเรียนรู้การบริหารงานของ เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผมมาอยู่ในทีมลิสซิ่ง ตอนนี้หลักๆ คือ รับผิดชอบโปรเจกต์ใหม่ The Emsphere เรียกว่าเป็นงานแรกหลังจากเรียนจบมาเลย คุณแม่ให้พัก 10 วัน ก็ให้เข้ามาทำงานเลย จริงๆ ตอนนั้นก็คิดว่าอยากขอพักก่อน แต่เพราะด้วยความที่ผมเรียนด้าน Interior Design and Architecture ที่ Syracuse University สหรัฐอเมริกา พอมาเจอโควิด เลยทำให้เรียนจบปริญญาตรีช้าไป 1 ปี เพราะมีวิชาที่ต้องไปทำแบบใช้เครื่องมือ บวกกับช่วงที่เรียนออนไลน์ก็เหมือนได้พักอยู่แล้ว เลยไม่อยากเสียเวลา พอเรียนจบผมก็เลยตัดสินใจมาทำงานเลย”


หน้าที่หลักๆ ของจีนตอนนี้คือ เข้ามาช่วยดูแลโปรเจกต์ ดิ เอ็มสเฟียร์ ซึ่งวางแผนกันมาก่อนตั้งแต่จีนยังเรียนไม่จบ จนตอนนี้อยู่ระหว่างก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม ปี 2023 โดยจีนเน้นนำความรู้ด้านอินทีเรียที่มีมาช่วยต่อยอด ช่วยในการออกแบบร้าน และดูภาพรวมของการออกแบบ

“จุดเด่นของ ดิ เอ็มสเฟียร์ คือ เป็นครั้งแรกที่ผู้เช่าสามารถมีอิสระในการออกแบบพื้นที่ คาแรกเตอร์ของตัวเอง แต่เราก็ต้องช่วยดูภาพรวมว่า ไม่ให้บังกัน หรือบางทีผู้เช่าก็อาจจะไม่เข้าใจว่า Circulation ห้างเป็นแบบไหน ควรออกแบบให้เปิดปิดเยอะแค่ไหน มีกระจกเยอะหรือไม่มีเลย เพราะเราจะพยายามคุมโทนทั้งห้างไปทางเดียวกัน ถือเป็นความโชคดีมากๆ ที่ผมได้นำสิ่งที่เรียนมาได้เอามาใช้ ทำให้ยิ่งเอ็นจอยและตื่นเต้น เพราะรู้สึกว่าเป็นห้างที่วางคอนเซ็ปต์มาให้เจาะกลุ่มเจนฯ ผมจริงๆ ให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะคนชอบเล่นกีฬา ชอบเข้าสังคมก็มาได้ เป็นทั้งที่กินข้าว ชอปปิ้ง มีการตกแต่งที่แตกต่างจากห้างอื่นๆ เข้าไปแล้วรู้สึกว่าแกรนด์ ถึงแม้จะใช้วัตถุดิบแบบดิบๆ ก็ตาม ในส่วนของแบรนด์ที่เลือกเข้ามาก็น่าสนใจ เป็นแบรนด์ใหม่ๆ ที่เน้นความเป็นสตรีท เหมาะกับคนที่ชอบไอเทมที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพื่อเก็บสะสม”


ทุกวันนี้ ถ้าไม่ติดภารกิจหรือประชุมสำคัญ จีนจะลงไซต์งานสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อพาผู้เช่าไปทัวร์สถานที่จริง เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น เพราะบางครั้งการดูแบบจากแพลน อาจจะเห็นแค่มิติเดียว แต่การมาดูสถานที่จริง มาเห็นว่าลิฟต์อยู่ตรงไหน เลื่อนอยู่บันไดตรงไหน จะเห็นภาพมากขึ้นว่า โฟลว์ของลูกค้าจะไปทางไหน ซึ่งหลักการทำงานของจีนก็คือ ถึงแม้การทำตามโจทย์ของลูกค้าจะเป็นสิ่งที่จำเป็น แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องพยายามบาลานซ์และทำให้ Win-Win ทุกฝ่าย

ถามว่า จากวัยเรียนพอต้องเปลี่ยนผ่านมาสู่วัยทำงาน มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง จีนบอกว่าเขาไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่ไม่เคยมีอาการคิดถึงบ้าน เพราะตั้งแต่ 6-7 ขวบ คุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มส่งไปซัมเมอร์แคมป์แล้ว เลยคุ้นเคยกับการอยู่กับเพื่อน และสนุกกับการทำกิจกรรมต่างๆ ช่วงที่ไปเรียนต่อ ก็ใช้เวลาไปกับการเดินทางไปเที่ยวเมืองใหม่ๆ จนพอกลับมาทำงานก็เป็นประสบการณ์ใหม่ สิ่งที่แตกต่างคือ เราอาจจะไม่ได้สามารถวางแผนทุกอย่างเป๊ะๆ เหมือนสมัยเรียนต้องยืดหยุ่นมากขึ้น


“ตอน 7-8 ขวบ ผมฝันว่าอยากเป็นคนขับเครื่องบิน เพราะชอบดูหนัง แต่ลึกๆ แล้ว ผมคิดอยู่แล้วว่าวันหนึ่งจะมาช่วยงานที่บ้าน เพราะคุณแม่ก็บอก ป้าแอ๊วเองก็อยากให้เข้ามา สมัยเด็ก ผมก็ตามป้าแอ๊วมาประชุม ตามคุณแม่ไปทำงานตลอด จนตอนนี้ผมมาช่วยงานที่บ้านได้ 8 เดือนแล้ว ก็เป็นประสบการณ์ที่สนุก ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เพราะส่วนใหญ่ผมจะทำงานกับป้าแอ๊ว สิ่งที่ได้เรียนรู้เยอะมากคือ ความอดทนและการลงรายละเอียดในงานที่ทำ ป้าแอ๊วจะคอยสอน ผมเองจะมีโน๊ตบุ๊กติดตัว เพื่อโน๊ตเก็บไว้”

นอกจากเรื่องประสบการณ์ที่แน่นปึ้ก อีกเรื่องที่จีนชื่นชมป้าแอ๊วคือ การดีลกับลักชัวรี แบรนด์ “ป้าแอ๊วเก่งมากในการดีลกับลูกค้าเมืองนอก ทำให้เขาชอบห้างเรา ป้าแอ๊วจะสอนตลอดว่า คอนเนกชันกับลักชัวรีแบรนด์และลูกค้าสำคัญแค่ไหน ซึ่งผมก็ได้มีโอกาสไปร่วมประชุม และพยายามเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้เจอ”


มาถึงไลฟ์สไตล์วันว่าง จีนบอกว่าเขาชอบเล่นกีฬาตั้งแต่สมัยเรียน เลยเลือกที่จะแบ่งเวลาไปเตะฟุตบอลแทบทุกสัปดาห์ และถ้าจะนัดเจอหรือแฮงก์เอาต์กับเพื่อน จะเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะวันธรรมดาแค่ทำงานกับเข้าสปอร์ตคลับก็หมดเวลาแล้ว​

“นอกจากออกกำลังกายผมชอบวาดรูป แต่ช่วงหลังทำงานเหนื่อย ก็ไม่ค่อยมีอารมณ์วาดเท่าไหร่ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่ ผมชอบวาดรูปการ์ตูน รู้สึกเป็นการผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าเรามีกระดาษเปล่าๆ ที่เราจะวาดอะไรในนั้นก็ได้ อีกกิจกรรมที่ชอบคือ สกี ได้มาจากคุณพ่อ ซึ่งชอบเล่นสกีเหมือนกัน ผมเลยได้ฝึกเล่นมาตั้งแต่ 7-8 ขวบ และจะมีทริปประจำปี ต้องไปเล่นสกีปีละ 1-2 ครั้ง อย่างต้นปีหน้าก็มีแผนจะไปญี่ปุ่น”


สำหรับอนาคต จีนบอกว่าตอนนี้อยู่ในช่วงเริ่มต้นทำงาน เลยตั้งเป้าระยะสั้นว่า อยากให้ผ่านช่วงเวลาท้าทายนี้ไปก่อน

“ผมเข้ามาตอนที่ ดิ เอ็มสเฟียร์ ใกล้จะคลอดแล้ว เลยมีลูกค้าเข้ามาคุยกับเราเยอะ ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ผมได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจกต์ใหญ่ขนาดนี้ ตอนนี้เลยเหมือนเป็นช่วงที่เจนฯ ใหม่อย่างพวกผม เข้ามาช่วยสานต่อโปรเจกต์ของผู้ใหญ่ ส่วนอนาคตคงต้องมาหารือกันอีกที แต่ปกติเจนฯ เราก็จะคุยกันตลอดอยู่แล้ว ข้อดีคือเรามีหลายห้าง แถมแต่ละคนยังดูแลกันคนละแผนก เวลาคุยกัน เลยเหมือนต่างคนก็จะช่วยอัปเดตกัน​ไปในตัว”


ปิดท้ายด้วยคำถามคาใจที่หลายคนอยากรู้ นั่นคือ ในฐานะหลานคนสนิท พอต้องมาทำงานกับป้าแอ๊ว หญิงแกร่งแห่งวงการรีเทลบ้านเราแล้ว ป้าแอ๊วดุแค่ไหน

งานนี้จีนทิ้งท้ายอย่างติดตลกว่า “ดุ ดุมาก ไม่เคยเจอใครน่ากลัวแบบนี้แต่บางทีผมก็เข้าใจนะว่าทำไมป้าแอ๊วต้องดุ แต่เขาก็ใจกว้างและพร้อมเปิดใจฟังความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่ ที่มีความคิดแตกต่างกันอย่างมีเหตุผลด้วย เขาพยายามผสานความคิดของทั้งวัยเก๋าและคนรุ่นใหม่ไว้ด้วยกัน ส่วนตัวผมไม่ค่อยกลัวนะ เพราะผมสนิทกับป้าแอ๊วมาตั้งแต่เด็ก สมัยเด็กไปเที่ยวด้วยกัน แต่ตอนนี้เหมือนผมมาเรียนรู้จากป้าแอ๊ว ซึ่งดุก็เพื่อทำให้ผมเก่งขึ้น”

Comments are closed.

Pin It