หลายคนเริ่มต้นธุรกิจจากแพสชั่น แต่สำหรับ “ฟ้าฉาย ดำรงชัยธรรม” กับ “นภนิศ อิศรางกูร ณ อยุธยา” สองผู้บริหารไฟแรง กลับตั้งต้นจากดีมานต์ของตัวเองที่ต้องการหาบ้านสักหลัง เพื่อสร้างครอบครัวร่วมกัน แต่ไม่เจอที่ตอบโจทย์ จึงหลอมรวมแพสชั่นที่อยากทำธุรกิจเข้ากับ Pain Point จับมือกันเปิดบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในชื่อ SANSA (สรรษา) แจ้งเกิดในฐานะดีเวลอปเปอร์หน้าใหม่
“ฟ้าฉาย ดำรงชัยธรรม” เป็นทายาทคนเล็กของ อากู๋-ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งแกรมมี่ ที่ตอนนี้นั่งแท่นดูแล จีเอ็มเอ็ม โอ ช้อปปิ้ง ในเครือธุรกิจของครอบครัว ที่เริ่มมาทำธุรกิจของตัวเอง ส่วน “นภนิศ อิศรางกูร ณ อยุธยา” เป็นผู้จัดการฝ่ายอาวุโสของสยามพิวรรธน์ ที่ดูแลงานด้านอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 10 ปี แม้ทั้งคู่จะมีประสบการณ์การทำงานที่แตกต่างกัน แต่ก็มาบรรจบกันได้อย่างลงตัว และกำลังเดินหน้าประเดิมโครงการแรกคือ SANSA (สรรษา) เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนซ์ บนทำเลอารีย์-พระราม 6
“ก่อนจะพัฒนาโครงการของตัวเอง เราไปตระเวนดูคอนโดกลางเมืองมาหลายที่ แต่ปัญหาที่พบคือ ถ้าเป็นคอนโดฯ ไซส์ใหญ่ที่อยู่สบายเหมือนบ้าน ราคาค่อนข้างสูง ในระดับที่เราคิดว่าน่าจะซื้อที่ดินได้ เลยเปลี่ยนแผนไปตระเวนดูที่ดินแทน จนมาเจอที่ดินแถวอารีย์ ซึ่งอยู่ถัดจากบ้านผมไปไม่ไกล ด้วยความที่คุ้นเคยกับย่านนี้มาตลอดชีวิต ก็ตัดสินใจซื้อเพราะมองว่า อารีย์เป็นย่านที่มีเสน่ห์ มีความเจริญแบบใจกลางเมือง มีทุกอย่างครบ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังมีความสงบสูง เป็นคอมมูนิตีเก่าแก่ที่แข็งแรง”
ด้านฟ้าฉายเสริมว่า “ด้วยขนาดที่ดินที่ค่อนข้างใหญ่ประมาณ 280 ตร.ว. เลยมองเห็นโอกาสในเชิงธุรกิจซะมากกว่าการสร้างอยู่เอง น่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการพัฒนาเป็นโครงการเรสซิเดนซ์ สไตล์ Modern Tropical villa ที่มีเพียง 4 หลัง โดยแพลนว่า 1 หลังจะเอาไว้อยู่เอง”
ด้วยโอกาสที่เข้ามาอย่างลงตัวนี้ ทั้งที่ดินที่พอเหมาะ ทำเลถูกใจ แถมทั้งคู่ก็มีไอเดียอยากทำธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว บวกกับฝ่ายชายก็เรียนจบด้านสถาปนิกและทำงานในสายงานพัฒนาธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์ พอต้องมาสวมบทบาทดีเวลอปเปอร์เอง จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอย่างที่คิด ขณะที่ ฝ่ายหญิงก็มีพื้นฐานเรื่องการทำธุรกิจ การทำแบรนด์ดิ้ง จึงกลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว
“เราแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ตามความถนัด คนหนึ่งดูเรื่องแบบก่อสร้าง อีกคนดูเรื่องการตลาด การสร้างแบรนด์ เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การสำรวจตลาดบ้านว่าตอนนี้เป็นอย่างไร ทำไมบางโครงการขายดี บางโครงการขายไม่ได้ ทำให้เราได้อินไซต์ของคนที่อยากซื้อบ้านจริงๆ จนพอจับจุดได้ว่า สิ่งที่คนซื้อบ้านมองหา คือ อยากได้บ้านที่ให้ความรู้สึกที่เป็นบ้านจริงๆ ไม่ใช่การอยู่ในตึกหรือคอนโดที่ปิดทุกด้าน อยากมีพื้นที่สวนและสระว่ายน้ำ เราเลยเอาตรงนี้มาเป็นหลักคิดในการพัฒนาโครงการ ดึงความเป็นธรรมชาติเข้ามาในการออกแบบบ้าน พยายามมองในทุกมิติไลฟ์สไตล์ของครอบครัวรุ่นใหม่ เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตของทุกคนในบ้าน”
ขณะเดียวกัน นภนิศเสริมว่า “เราเป็น User centric จริงๆ อย่างที่บอกว่าเราไปสำรวจตลาด เพื่อดูข้อดี-ข้อเสีย แล้วนำข้อเสียมาพัฒนาต่อ เช่น บางโครงการห้องนอนใหญ่มีตู้เสื้อผ้าแค่ 2-3 ตู้ ซึ่งไม่เพียงพอและตอบโจทย์กับเจ้าของบ้านแน่นอน พอเรามาทำเอง เลยพยายามทำห้องที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่ หรืออย่างห้องแม่บ้าน หลายโครงการไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่เรามองว่า แม่บ้านก็เป็นส่วนหนึ่งของผู้อยู่อาศัยเหมือนกัน ถ้าแม่บ้านอยู่แล้วมีความสุข อยู่สบาย เขาก็จะเซอร์วิสเจ้าของบ้านดี เจ้าของบ้านก็ไม่ต้องปวดหัวคอยหาแม่บ้านใหม่”
ทั้งนี้ สำหรับบ้านทั้ง 4 หลัง ที่จะเปิดตัว สองผู้บริหารบอกว่า จะออกแบบเหมือนกันหมด แต่ในแง่พื้นที่ใช้สอยภายใน สามารถปรับได้ตามไลฟ์สไตล์ หรือตามความจำเป็น เช่น
“เราตั้งใจทำบ้านที่พร้อมจะโตไปกับเรา มีการวางระบบเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนในอนาคต อย่างตอนนี้เป็นคู่สามีภรรยา อาจจะทำแค่ห้องนอนเดียว อีกห้องเป็นห้องทำงาน หรือ ห้องยิม พอมีลูก ก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องนอนลูกในอนาคตได้ เพราะเราเชื่อว่าชีวิตคนเรามีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ขณะเดียวกัน การซื้อบ้านเป็นการลงทุนก้อนใหญ่ แทนที่จะลงทุนใหญ่ๆ หลายรอบ ทำไมไม่ลงทุนใหญ่ทีเดียว แล้วอยู่นานๆ ไปเลย” นภนิศกล่าว
สำหรับความคืบหน้าของโครงการ ฟ้าฉายบอกว่า “ตอนนี้ดีไซน์เสร็จแล้ว จะเริ่มก่อสร้างต้นปีหน้า คาดว่าจะเสร็จปลายปีหน้า ตอนนี้อยู่ในช่วงพรีเซล เราตั้งใจจะขายบ้านก่อนสร้าง เผื่อใครที่อยากเปลี่ยนแพลนภายในก็สามารถทำได้ อนาคต เรายังมีแผนพัฒนาอีกหลายโครงการ ภายใต้แบรนด์ Sansa (สรรษา) ซึ่งมาจากคำว่า คัดสรร กับสุขสันต์หรรษา เพราะคอนเซ็ปต์ที่คิดไว้คือคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุด ให้คนที่อยู่สุขสันต์หรรษา โดยโครงการที่มองว่าอาจจะมีทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด”
ถามว่า จากมนุษย์เงินเดือนพอมาสวมบทเจ้าของธุรกิจเอง มีความท้าทายอย่างไร ทั้งคู่เห็นตรงกันว่า พอเริ่มต้นธุรกิจนี้จากแพสชั่น พัฒนาโครงการที่ไม่ใช่แค่เพื่อขาย แต่เพื่ออยู่เอง จึงใส่ใจในทุกรายละเอียด จนทำให้บางครั้งมัวแต่มองหาสิ่งที่ดีที่สุด จนลืมถอยออกมาภาพใหญ่ แต่ในแง่มายด์เซ็ตการทำงาน กลับไม่ต่าง เพราะทุ่มเทและตั้งใจยังเหมือนเดิม ที่ยากกว่าคือ ต้องตัดสินใจทุกอย่างเองทั้งหมด จึงต้องคิดทุกอย่างแบบถี่ถ้วน
“สิ่งที่ต่างอีกอย่างคือ ความเครียด ตอนที่อยู่ในองค์กรที่มีผู้ใหญ่ คนนับร้อยช่วยเราอยู่ จะไม่เครียดมาก แต่พอมาทำของตัวเองเครียดมาก อยากทำออกมาให้ดี และพิสูจน์ตัวเองด้วยว่าทำได้จริงๆ เพราะเป็นโปรเจกต์แรกที่ลงทุนเอง” ฟ้าฉายเสริม
หลังจากฉายภาพให้เห็นโปรเจกต์ที่น่าจับตามอง เรามาทำความรู้จักดาวรุ่งวงการอสังหาฯ คู่นี้กันหน่อยดีกว่า เริ่มจาก นภนิศ เขาเรียนจบปริญญาตรีและปริญญาโทด้านสถาปนิก ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น พอเรียนจบกลับมาก็มาทำงานที่ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์
“ผมเข้ามาช่วยทำโปรเจกต์สยามดิสคัฟเวอรี และไอคอนสยาม ช่วงแรกๆ ผมเลยมีโอกาสได้ Rotate ไปทำงานกับหลายแผนก ทำให้ได้เรียนรู้ ไม่ใช่แค่เรื่องการออกแบบ ตลอด 10 ปีที่ทำงานที่นี่ ผมมีไอดอลคือ คุณแป๋ม-ชฎาทิพ จูตระกูล สิ่งที่ได้เรียนรู้จากคุณแป๋มคือ นอกจากเวลาทำอะไรต้องทำให้ดีที่สุด และต้องมีแผนสำรองเสมอ เผื่อมี Worst case scenario เกิดขึ้น จะได้รับมือทัน”
ส่วนฝั่งฟ้าฉาย เธอเรียนจบด้าน Design Management จาก Parsons School of Design ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Director of Media Channels บริษัท จีเอ็มเอ็ม โอ ช้อปปิ้ง จำกัด เดิมเธอมีความฝันว่าอยากจะสร้างแบรนด์เสื้อผ้า สกินแคร์เครื่องสำอางของตัวเอง แต่เพราะเห็นว่าเทรนด์ของธุรกิจดังกล่าวเปลี่ยนไว จนยากจะตามได้ทัน เลยเก็บความฝันไว้ และคิดว่าวันหนึ่งจะทำธุรกิจของตัวเอง จนมาลงเอยที่ธุรกิจอสังหาฯ
“ตอนที่เรียนจบกลับมา ก็เข้ามาช่วยงานคุณพ่อ เริ่มต้นด้วยการเป็น Creative Marketing ที่จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อยู่แผนก ARATIST ก่อนจะย้ายมาช่วยดูแลในส่วน O Shopping ซึ่งต้องใช้ทักษะการขายและการตลาด ถือว่าท้าทายมาก เพราะ O Shopping เป็นธุรกิจทีวีชอปปิ้ง ที่เน้นการทำตลาดในรูปแบบรายการทีวี ซึ่งเราเองไม่ได้ดูทีวีแล้ว แต่พอศึกษาไปเรื่อยๆ ก็เริ่มอิน ทำรายการขายของ แล้วขายได้ก็สนุกเหมือนกันแฮะ และช่วงหลังก็เริ่มปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์ มีการไลฟ์ขายของ เพิ่มความสนุกมากขึ้น และมีสินค้า House Brand ออกมา เพื่อจัดจำหน่าย”
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำงานกับคุณพ่อคือ เรื่องความอดทน ไม่ว่าทำอะไรก็ต้องจริงจัง ทำต่อเนื่องจนสำเร็จ นอกจากนี้ คุณพ่อยังฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต ใส่ใจรายละเอียด ซึ่งเป็นประโยชน์มากกับการทำงาน ทำให้เราอาจจะเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น แล้วเราก็จะจับจุดได้ ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในเรื่องๆ นั้น”
มาถึงเส้นทางความรักของทั้งคู่ ที่เริ่มต้นเมื่อราว 3 ปีก่อน ก่อนจะลงเอยด้วยการเป็นพาร์ตเนอร์ธุรกิจ ความรักของทั้งคู่เริ่มจากการจับคู่ของเพื่อน ที่เห็นว่าทั้งคู่มีไลฟ์สไตล์และรสนิยมความชอบคล้ายกัน เลยจัดนัดบอดให้มาเจอกัน ปรากฏว่าทั้งคู่ก็คลิกกันจริงๆ เลยค่อยๆ สานสัมพันธ์กันเรื่อยมา จนล่าสุด ตัดสินใจมาทำธุรกิจด้วยกัน พอให้เล่าถึงความประทับใจของอีกฝ่าย ฟ้าฉายชิงตอบก่อนว่า “เขาไม่ใช่คนโรแมนติกตั้งแต่คบกัน แต่เราคบแล้วรู้สึกว่าเรามีความชอบ รสนิยมคล้ายกัน เข้ากันได้ ที่สำคัญเขาเป็นคนใจกว้าง พอมาทำงานด้วยกัน ก็ยังช่วยเติมเต็มมุมมองของเรา จากที่เราอาจจะเป็นคนค่อนข้างดีเทล เขาก็จะมาช่วยมองภาพรวม”
“จริงๆ ผมไม่ได้มีสเปก แค่คุยแล้วรู้สึกว่าใช่ และโชคดีที่เขาเข้ากับเราได้ดี ผมชอบที่เขาเป็นคนใจกว้างเหมือนกัน และเป็นคนที่แคร์คนอื่น เห็นอกเห็นใจคนอื่นตลอดเวลา”
ส่วนเรื่องทะเลาะหรืองอนกันตามประสาคู่รัก ทั้งคู่มองว่าเป็นธรรมดา ยิ่งตอนนี้มาทำธุรกิจด้วยกัน ช่วงแรกๆ ต้องปรับตัวค่อนข้างยากต้องปรับมายด์เซ็ต
“เราจะพยายามไม่มีอีโก้ใส่กัน เวลาเห็นไม่ตรงกัน เราจะเอา Fact มาคุยกัน คุยด้วยเหตุผล ที่สำคัญคือ ทำงานด้วยความเชื่อใจกัน”
“อาจเพราะผมเป็นคนอีโมชันแนลคือศูนย์ ไม่เข้าใจผู้หญิงว่าบางครั้งไม่ต้องมีเหตุผลตลอดเวลากับทุกเรื่อง แต่ส่วนใหญ่ถ้ามีปัญหา เราก็จะเคลียร์กันให้เข้าใจ แล้วไปต่อ ไม่ปล่อยให้งอนข้ามวัน”
“ทุกวันนี้ พอมาทำธุรกิจของตัวเอง ก็ไม่ได้มีเวลาว่างเหมือนเก่า เจอกันทีไรก็คุยแต่เรื่องงาน แต่ถ้ามีเวลาว่าง ถ้าไม่พักผ่อนอยู่บ้านเราก็จะไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปพักผ่อนที่บ้านตากอากาศที่เขาใหญ่ หัวหิน หรือถ้าไปต่างประเทศ จะชอบไปพักตามบูทีคโฮเทลเล็กๆ หรือไปใช้ชีวิตแบบโลคัลจริงๆ” ฟ้าฉายเสริม
สำหรับแผนอนาคต ทั้งคู่วางแผนจะแต่งงานสิ้นปีนี้ โดยตั้งใจจัดเป็นงานเล็กๆ อบอุ่นที่บ้าน และหลังจากนั้นก็เดินหน้าสร้างเรือนหอที่จะกลายเป็นบ้านที่จะอยู่ร่วมกันไปตลอดชีวิต ควบคู่ไปกับการทำโครงการสรรษานี้ โดยฟ้าฉายทิ้งท้ายว่า
“เราอยากทำโครงการบ้านที่ดี ตอบโจทย์กับคนยุคใหม่ อาจจะไม่ต้องทำหลายๆ โครงการต่อปี แต่อยากให้คนได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เราไม่ได้ตั้งเป้าจะเป็นธุรกิจที่ทำเพื่อกำไร แต่เราอยากพัฒนาที่ดินที่มีคุณภาพด้วยแพสชั่น ให้คนที่มาอยู่แล้วมีความสุข เหมือนที่เราเองก็อยากจะอยู่ค่ะ”
Comments are closed.