Interview

ล้วงลึกเลขาฯ หนุ่มแห่งแมคลาเรนคลับ “สมิทธ์ ทอย” กับซุปคาร์ในดวงใจ

Pinterest LinkedIn Tumblr


ขึ้นชื่อว่าเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย สำหรับ “มาร์ค-สมิทธ์ ทอย” กรรมการบริหาร บริษัท ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง วัย 30 ปี ที่ต้องบอกว่า Lucky in game แถมยัง lucky in love ครอบครัวสุขสันต์อบอุ่น เพราะล่าสุด “หมี่หยก-เขมณัฏฐ์ อัครมณีสกุล” ภรรยาเพิ่งจะคลอดลูกชาย “น้องมาร์วิณณ์ ทอย” ซึ่งตอนนี้อายุได้ 2 เดือน

แต่ก่อนจะไปล้วงลึกเรื่องราวของแฟมิลี่แมน Celeb Online พาไปทำความรู้จักกับหนุ่มมาร์ค ที่แม้จะเป็นกรรมการของคลับที่อายุน้อยที่สุด แต่ก็ได้รับความไว้วางใจ ให้มาเป็นเลขาฯ ของแมคลาเรน คลับ ประเทศไทย (McLaren Club Thailand)

“ผมเป็นสมาชิก McLaren Club มา 5-6 ปีแล้วครับ หน้าที่เลขาฯ หลักๆ คือ เวลามีกิจกรรมก็จะช่วยประสานงานกับฝ่ายต่างๆ เพราะ บางครั้งเราก็นัดไปจิบกาแฟ หรือไปทริปต่างจังหวัด ผมมองว่า เราไม่ใช่แค่คลับที่รวมพลคนชอบรถ McLaren แต่เป็นอีกสังคมดีๆ ที่ต่อให้มีเงินก็ซื้อไม่ได้”


ที่น่าสนใจคือ ในขณะที่ หลายคนอาจจะมองว่า ซูเปอร์คาร์ไม่เหมาะกับถนนเมืองไทย ซื้อมาก็เน้นจอดมากกว่าขับ แต่มาร์คมองว่า ซูเปอร์คาร์ก็ขับในเมืองไทยได้

“มีหลายคนที่ซื้อซูเปอร์คาร์แล้วไปจอดไว้ที่บ้าน ไม่ได้ขับไปไหน อย่างมากก็ขับไปซื้อกาแฟแถวบ้าน หรือขับไปล้างรถ ส่วนตัวผมมองว่า เดี๋ยวนี้รถซูเปอร์คาร์อัจฉริยะขึ้น เช่น ถ้าขับไปเจอพื้นที่ลาดมากๆ ตัวรถก็ยกขึ้นได้ หรือถ้าไปห้างสรรพสินค้า เดี๋ยวนี้ก็มีที่จอดเฉพาะให้ หรืออย่างขับไปต่างจังหวัด ที่ผ่านมา ทางกลุ่มจะมีกิจกรรมชวนกันเอารถไปขับต่างจังหวัด ขึ้นเหนือล่องใต้ ซึ่งแต่ละภาคก็มีความสนุกในการขับที่แตกต่างกัน แถมยังได้ชมวิวสองข้างทาง”

มาร์คยังเสริมด้วยว่า “เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ ผมก็ชอบเช่าซูเปอร์คาร์มาขับ แต่พอมาขับในไทยก็สนุกไปอีกแบบ อย่างไปที่แม่ฮ่องสอนจะมีโค้งเยอะ ก็ขับสนุกมาก หรืออย่างกิจกรรม Track Day Experience ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เจ้าของรถ McLaren ได้มาลองทดสอบสมรรถภาพรถ ว่ารถที่ออกแบบมาอย่างดี พออยู่ในสนามเป็นอย่างไร เพื่อเวลาที่ไปใช้ขับบนท้องถนน จะได้มีประสบการณ์ว่าควรจะขับขี่อย่างไรให้ปลอดภัย”


อินโทรให้เห็นภาพบทบาทเลขาฯ แล้ว งานนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วอะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาร์คมาสนใจรถ เจ้าตัวย้อนวันวานไปสมัยวัยเด็กๆ ว่า ตามประสาเด็กผู้ชาย ส่วนใหญ่ก็ชอบรถ แรกๆ ก็อาจจะเริ่มจากโมเดลรถ พอโตขึ้นมา มีกำลังทรัพย์ ก็เริ่มซื้อรถจริงๆ บวกกับคุณพ่อซึ่งเป็นชาวฮ่องกงก็ชอบรถ เลยยิ่งคุยกันถูกคอ

“การซื้อรถก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ถ้าเลือกรุ่นที่ใช่ เป็นที่ต้องการในตลาด ผมเป็นแนวเปลี่ยนรถบ่อย เน้นซื้อมาขายไป ซึ่งบางคนอาจจะตัดใจขายคันเก่าไม่ได้ เพราะรู้สึกว่ามีความทรงจำ แต่ผมไม่ใช่แนวนั้น และไม่ได้มีกรอบว่าต้องเป็นรถแนวไหน ผมชอบทั้งรถใหม่และรถเก่า อย่าง McLaren นอกจากความเร็ว ความแรงของรถ นวัตกรรมที่เขาใส่ลงไปมันแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของแบรนด์

มาร์คยกตัวอย่างตอนที่ขยับจากรุ่นลูก อย่าง 570s มาเป็นรุ่นพ่อ อย่าง 720s เพราะขับแล้วชอบ นอกจากดีไซน์จะออกแบบมาให้ลู่ลม ขับง่าย ประตูเปิดเฉียงขึ้นเหมือนแมลงปีกแข็ง ทำให้เข้า-ออกตัวรถสะดวก มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ ทำให้รถพุ่งจาก 0 ไปถึง 100 ได้ในเวลาแค่ไม่กี่วินาที

ส่วนเหตุผลที่เลือกสี McLaren Orange เพราะนอกจากจะมีโจทย์ในใจว่า อยากได้สีแปลกๆ เด่นๆ รถคันนี้ยังเป็นสีเดียวกับ McLaren คันจิ๋วที่ซื้อให้ลูกชายไว้ขับด้วยกัน


นอกจาก McLaren อีกคันที่มาร์คยกให้เป็นที่ 1 ในใจคือ Land Rover Defender 2015 Heritage Edition ที่ผลิตมาเพียง 400 คันทั่วโลก แต่สำหรับคันที่เป็นหลังคาผ้าใบ น่าจะมีเพียงคันเดียวในประเทศไทย

“ผมตั้งชื่อว่า “น้องชาเขียว” ชอบคันนี้ เพราะนอกจากจะเป็นสีเขียวที่ดูแปลกตา ตัวหลังคายังเป็นผ้าใบ มีความแอดเวนเจอร์ เหมาะสำหรับขับเข้าป่าไปแคมปิ้งได้ หรือบางครั้งก็ขับไปร้านกาแฟ ผมว่าดูคอนทราสระหว่างความเป็นเมืองกับความวินเทจ”


อัปเดตเรื่องความชอบมาพอหอมปากหอมคอ มาชวนคุยเกี่ยวกับธุรกิจกันบ้าง ปัจจุบันมาร์คเข้ามาช่วยดูแลธุรกิจครอบครัว ซึ่งทำเกี่ยวกับฉลากฟิล์มหด ซึ่งกำลังมีดีมานด์ในตลาดสูง เพราะจุดเด่นของ ฉลากฟิล์มหด คือกันน้ำสามารถลอกออก เพื่อนำบรรจุภัณฑ์ไปรีไซเคิลต่อ สามารถใช้กับบรรจุภัณฑ์ในทุกรูปทรง และสามารถ Customize ได้ตามโจทย์ที่แต่ละแบรนด์ต้องการสร้างความพิเศษให้สินค้า

“จริงๆ งานที่ทำก็ไม่ได้ตรงกับสายที่เรียนซะทีเดียว ผมเรียนจบนิเทศศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แต่ด้วยความที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง ผมเริ่มทำงานพิเศษตั้งแต่สมัยเรียน เพราะอยากรู้ว่าธุรกิจทำอย่างไร เคยเป็นพาร์ตไทม์แฟรนไชส์เชนร้านอาหาร ก่อนจะมาเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเอง จนทำให้มีโอกาสได้พบรักกับภรรยา ซึ่งมาเป็นลูกค้า

“ที่ตลกคือ เราเรียนมหาลัยเดียวกัน แต่คนละคณะ เขาเรียน BBA บริหารธุรกิจ แต่เราไม่เคยเจอกันมาก่อน จนมาพบรักกันที่ร้านกาแฟ”

พอเรียนจบมาร์คก็มาทำงานที่ SFT โดยมาร์คจะเน้นดูแลในส่วนการตลาดและฝ่ายขาย หาลูกค้าใหม่ๆ โดยตอนหลังภรรยาก็เข้ามาทำงานด้วยกัน และยังต่อยอดธุรกิจความชอบของทั้งคู่ไปสู่การเปิดสนามเทนนิส


ไหนๆ ก็แตะเรื่องครอบครัวแล้ว มาร์คเลยอัปเดตสเตตัสการเป็นคุณพ่อมือใหม่ เพราะลูกชายเพิ่งจะอายุ 2 เดือน

“ช่วงอาทิตย์แรกต้องปรับตัวพอควร แต่ด้วยความที่เราสองคนค่อนข้างมีวินัย เวลาทำอะไรเราจะวางไทม์ไลน์ไว้หมด แรกๆ ก็เหนื่อย แต่พอทุกอย่างโฟลว์ก็ลงตัว โชคดีว่าลูกชายก็เลี้ยงง่ายด้วย”

งานนี้ถ้าถามว่าคุณพ่อป้ายแดงเห่อลูกชายขนาดไหน ก็แค่ทุ่มทุนรีโนเวตห้องทำงานใหม่มาเป็นห้องของลูก โดยยังคงคอนเซ็ปต์ให้กับบ้านที่ตั้งใจเป็นเรือนหอ

“อยู่ที่นี่มาเกือบ 2 ปีแล้ว ที่เลือกโครงการบ้านอิสสระ บางนา เพราะมองว่าย่านนี้เดินทางสะดวก เป็นทำเลที่มีศักยภาพ ราคาที่ดินน่าจะขึ้นเรื่อยๆ บวกกับโครงการนี้เป็นแนว Luxury Modern ซึ่งใกล้เคียงกับไลฟ์สไตล์ของเราสองคน แต่ตอนนั้น เราไม่ได้เตรียมห้องลูกไว้ พอมีลูกเลยเอาห้องทำงานมารีโนเวท เปลี่ยนวอลเปเปอร์ใหม่ให้น่ารักขึ้น แล้วก็ทำเตียง ซื้อเฟอร์นิเจอร์เด็กและพร็อพของเล่นเพิ่มเข้ามา”


ต้องบอกว่า เบื้องหลังความสวยงามของการตกแต่งบ้านหลังนี้ ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มาจากความทุ่มเทของมาร์คและภรรยา ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด “เราสองคนเดินทางเยอะมาก ดังนั้น เราก็จะนำแรงบันดาลใจที่ได้จากโรงแรมมาปรับใช้ ใช้เวลาไปกับการเฟ้นหาเฟอร์นิเจอร์ที่ใช่ มาไว้ในบ้าน ส่วนหนึ่งในสเปซที่เป็นไฮไลท์ของบ้าน มาร์คยกให้โรงรถติดแอร์ ซึ่งตั้งใจจะใช้เป็นห้องทำงานด้วย


“แต่ก่อนการติดแอร์ในโรงรถ คนอาจจะมองว่าเพี้ยน แต่ตอนนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว สำหรับผมรถ ไม่ใช่เอาไว้ขับ แต่เป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ ดังนั้น พอมีบ้านก็เลยอยากทำโรงรถแบบนี้ ซึ่งผมตั้งใจใช้เป็นที่เก็บรถ ห้องทำงาน อนาคตอาจจะใช้เป็นพื้นที่แฮงก์เอาท์ตอนลูกโตได้ เพราะคิดว่าลูกชายก็น่าจะชอบรถเหมือนผม”


ถามว่าการมีลูกทำให้ไลฟ์สไตล์ของทั้งคู่เปลี่ยนไปหรือไม่ มาร์คตอบว่า “ก่อนมีลูกเราก็คุยกันมาระดับหนึ่ง ว่าถ้ามีลูกออกมาจะใช้ชีวิตแบบไหน เพราะเราไม่ได้อยากเปลี่ยนชีวิตเราไปเลย จนลืมทุกอย่าง ให้ลูก 100 % จนลืมทุกอย่าง ลืมกันและกัน”

“เราอยากให้ลูกโตไปกับไลฟ์สไตล์เรา อย่างเราชอบไปเที่ยว เราก็อยากพาลูกไปด้วย” หมี่หยกเสริม

ปิดท้ายด้วยโมเมนต์โรแมนติกของคู่รักรุ่นใหม่ ที่แม้จะรู้จักกันมาเกือบ 10 ปี แต่ดีกรีความหวานไม่ลดลง “สิ่งที่ประทับใจเขาคือ ความใส่ใจ เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้ ไม่มีวันไหนที่เขาลืมเรา เหมือนเราเติบโตมาด้วยกัน” หมี่หยกชิงตอบ

ก่อนที่มาร์คจะเสริมว่า “ผมชอบโมเมนต์ที่เราอยู่ด้วยกันสองคน เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยทะเลาะกัน ส่วนใหญ่จะเป็นการบ่น ที่มาจากความใส่ใจมากกว่า แต่ถ้าเป็นช่วงแรกก็มีทะเลาะกันบ้าง เพราะเราทำงานด้วยกัน จนตอนหลังเราคุยกันชัดว่า ถ้ากลับถึงบ้านจะไม่คุยเรื่องงาน มีเวลาก็จะไปเที่ยวด้วยกัน อย่างต่างจังหวัดจะไปเดือนละครั้ง ผมชอบไปทะเล หรือถ้าไปต่างประเทศก็ไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ คนไม่เยอะ ไปอยู่กับธรรมชาติ อาจเพราะเราอยู่ในเมืองใหญ่จนพอ เวลาไปเที่ยวก็อยากถอยหลังมาอยู่ที่ๆ สงบบ้าง” มาร์คทิ้งท้าย

Comments are closed.

Pin It