“ถ้าไม่ทำโอกาสคือศูนย์ แต่ถ้าลงมือทำ โอกาสอาจจะกลายเป็น 0.1 เพราะฉะนั้น เวลาอยากทำอะไร ต้องตาจะลองทำ และทำทุกอย่างเต็มที่ จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง”
นี่คือหนึ่งในแนวคิดในการใช้ชีวิตที่ “ต้องตา-นภัส เคียงศิริ” หลานสาวคนสวยของนักธุรกิจชั้นนำของไทย ยูมิ เคียงศิริ บัณฑิตสาวคนเก่งยึดถือมาตลอด ทำให้แม้ชีวิต 4 ปีในรั้วมหาวิทยาลัยจะผ่านไปไวราวกับพริบตา เพราะได้มีโอกาสไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแค่ปีครึ่ง ก็เจอกับสถานการณ์โรคระบาดจนต้องนั่งเรียนออนไลน์ยาว แต่ต้องตาก็ยังคิดบวกที่อย่างน้อยช่วงเวลาปีครึ่งของเธอ ก็ถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าเต็มที่ทั้งเรื่องเรียนและกิจกรรม
“สมัยเด็กฝันว่าอยากเป็นนักกีฬา เพราะตอนเด็กๆ คุณพ่อคุณแม่ชอบพาไป Sport club ตรงราชดำริ ทำให้ได้ลองเล่นกีฬาหลายอย่าง ทั้งว่ายน้ำ เทนนิส ปิงปอง วอลเลย์บอล เลยเล่นกีฬามาตลอด จนเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเล่นกีฬาอยู่”
แต่พอต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต้องตาเล่าถึงเหตุผลที่เธอเลือกเบนเข็มจากนักกีฬาไปสู่สาวบัญชีว่า เป็นเพราะชอบเรียนวิชาเลขเป็นทุนเดิม บวกกับมองว่าบัญชีเป็นพื้นฐานที่ดีของการทำธุรกิจ และน่าจะนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตได้ง่าย เลยเลือกเรียนต่อคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี เอกบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
งานนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้องตาถึงชอบเรียนวิชาเลข ซึ่งเป็นเหมือนยาขมของใครหลายคน แต่ต้องตาเฉลยว่าเพราะเลขเป็นวิชาที่มีคำตอบตายตัวก็จริง แต่กลับมีวิธีในการแก้โจทย์มากมาย ซึ่งเธอมองว่าเป็นความสนุก เลยชอบเรียนเลข ซึ่งพอได้มาเรียนบัญชีจริงๆ ก็ยังได้ต่อยอดไปสู่การอ่านงบการเงิน รวมถึงเรื่องภาษี ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปใช้ในการธุรกิจ หรือจะต่อยอดไปสู่การทำงานสายการเงิน อย่าง พวกนักวิเคราะห์“ตอนนี้เรียนจบแล้ว อยู่ระหว่างเตรียมตัวสอบ CFA ซึ่งเป็นหลักสูตรคุณวุฒิวิชาชีพทางการเงินและการลงทุนระดับสากล ที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เพื่อต่อยอดสู่การทำงานในสายไฟแนนซ์ ซึ่งต้องตาตั้งใจว่าจะหาประสบการณ์ในโลกการทำงาน 2-3 ปี ก่อนจะลัดฟ้าไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ”
นอกจากจะจริงจังกับเรื่องเรียนแล้ว เห็นลุคดูเป็นสาวหวานแบบนี้ แต่ต้องตากลับเป็นนักกิจกรรมอีกด้วย เพราะเธอตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยจะไม่เน้นเรียนอย่างเดียว แต่จะทั้งเล่นกีฬาและทำกิจกรรมไปด้วย ดังนั้น ตอนเรียนปี 1 จึงไปสมัครเป็นจุฬาฯ คทากร ในเทศกาลฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ–ธรรมศาสตร์
แน่นอนว่า การจะฝ่าด่านเพื่อเป็นหนึ่งในจุฬาฯ คทากร ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะวัดกันที่ความหล่อ-สวย ยังต้องผ่านบททดสอบ ทั้งการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกาย เพื่อดูความแข็งแรงทาง มีการเทสต์การแสดง และสอบสัมภาษณ์
“ตอนที่เทสต์การแสดง ต้องตาจับคู่กับเพื่อนจำลองสถานการณ์ว่ากำลังตีแบตฯ กับเพื่อน ก็สนุกดีค่ะเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่” ต้องตาเล่าอย่างออกรส
อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องผ่านหลายด่าน กว่าจะได้ตำแหน่งจุฬาฯ คทากร แต่ประสบการณ์ที่ได้กลับมาก็แสนคุ้มค่า ซึ่งเธอเรียกบทเรียนที่ได้จากการฝึกซ้อมอย่างหนักตลอด 3 เดือนเต็มว่าเป็นทักษะชีวิต (Life Skills)
“ถึงจะซ้อมหนัก แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี ได้เพื่อนและพี่น้องดีมากๆ ช่วยขัดเกลาให้เรามีความอดทน มีน้ำใจ รู้จักการทำงานเป็นทีม ฝึกการแก้ปัญหา ยังจำได้เลยพอถึงวันจริงเราทั้งตื่นเต้นและกังวล กลัวว่าจะทำอะไรพลาด เช่น โยนไม้คทาแล้วรับไม่ได้ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี ทุกคนทำเต็มที่ บรรยากาศในวันนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม”
อีกบทเรียนสำคัญที่ได้จากการเรียนควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมคือ การบริหารเวลา
“เราต้องมาซ้อมตั้งแต่ 5 โมงเย็นถึงดึกทุกวัน เพราะฉะนั้น เราต้องรู้จักแบ่งเวลาระหว่างเรียนและกิจกรรมให้ดี บางครั้งเหนื่อยก็ต้องอดทน ต้องตาว่าเหมือนเป็นการเตรียมพร้อมก่อนการเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง”
ส่วนการเล่นกีฬา อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า เล่นกีฬามาตั้งแต่เด็ก ทั้งกีฬาที่เน้นความสวยงาม อย่าง ยิมนาสติก บัลเลย์ กีฬาเป็นทีม อย่าง บาสเกตบอลและวอลเลย์บอล รวมไปถึงกีฬาขี่ม้า ซึ่งแม้จะเคยเจออุบัติเหตุตกม้า จนต้องพักรักษาตัวอยู่ 2 สัปดาห์ แต่ต้องตาก็ยังหลงรักกีฬาขี่ม้าเป็นชีวิตจิตใจ
“ม้าเป็นสัตว์ที่น่ารักมากค่ะ ทำให้พอมาขี่ม้าก็ยิ่งชอบ เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังทำให้เราเป็นคนที่อ่อนโยนต่อสัตว์ บางครั้งเวลาไปขี่ม้าที่ต่างจังหวัด แทนที่จะนั่งรถไปตามที่ต่างๆ ก็จะชวนเพื่อนๆ ขี่ม้าเที่ยว ชมวิวสองข้างทาง ได้บรรยากาศไปอีกแบบ”
ไหนๆ ก็ชวนคุยมาถึงงานอดิเรก ถือโอกาสนี้ถามถึงไลฟ์สไตล์วันว่างของต้องตาว่าชอบไปเที่ยวที่ไหน งานนี้เจ้าตัวยกให้ทะเลเป็นจุดหมายปลายทางที่หนึ่งในใจแบบไม่ลังเล เพราะประทับใจในบรรยากาศที่ชวนให้พักผ่อน ยามอยู่บนชายหาด แถมยังได้สนุกกับกีฬาทางน้ำ อย่าง เซิร์ฟบอร์ด
“ชอบทะเลค่ะ ตั้งแต่โควิด-19 ที่ผ่านมา ไปเที่ยวทะเลไทยเยอะมาก เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน ด้วยความที่พี่ชายซึ่งอายุห่างกัน 2 ปีครึ่ง เรียนปริญญาตรีอยู่ที่อเมริกา บางครั้งก็จะนัดไปเจอกันที่ฮาวาย แต่พอพี่ชายอยู่ทำงานต่อ ก็ไม่ค่อยได้ไป มีปีที่แล้วบินไปหาพี่คนเดียว พอตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น เลยกะว่า เร็วนี้ๆ จะชวนคุณพ่อคุณแม่บินไปหาพี่ชายด้วยกัน”
อย่างไรก็ตาม แม้จะดูเป็นสาวที่มีไลฟ์สไตล์ค่อนข้างโลดโผน แถมยังชอบเล่นกีฬา แต่เรื่องดูแลตัวเองต้องตาก็ไม่ละเลย โดยเฉพาะ ผิวหน้า ที่ต้องระวังอันตรายจากแสงแดด
“ปกติเป็นคนไม่ค่อยชอบทาครีมกันแดด บางครั้งไปออกแดดเล่นกีฬากลับมาก็จะผิวลอก เพราะส่วนใหญ่จะเน้นดูแลผิวหน้าเป็นหลัก ครีมไหนที่ใครรีวิวว่าดี ก็จัดมา แต่ส่วนอื่นๆ ไม่ค่อยได้ดูแล เพราะฉะนั้น ถ้าไปออกแดดมาผิวก็จะแทนๆ ลอกๆ ต้องอาศัยตัวช่วย อย่าง การเข้าสปาเพื่อดูแลผิว“
ส่วนสไตล์การแต่งตัว ต้องตาชอบแนวเรียบๆ เน้นสีโทนเย็น อย่าง ดำ ขาว ฟ้า ไม่ตามเทรนด์แฟชั่นจ๋า แต่เลือกชิ้นที่ถูกใจ
ปิดท้ายด้วยมุมมองของสาวรุ่นใหม่ที่กำลังจะเข้าสู่การเป็น First Jobber ต้องตาบอกว่า ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยว่า นอกจาก Life Skills ที่ได้จากการเป็นจุฬาฯ คทากร และการเล่นกีฬา พอมาเจอสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ไม่สามารถไปเรียนปกติ ต้องเรียนออนไลน์ แต่ก็เป็นโอกาสที่ทำให้ได้ไปฝึกงานระหว่างเรียน
ต้องตาได้ไปฝึกงานถึง 3 แห่ง ได้แก่ ไทยน้ำทิพย์ ซึ่งเธอได้ Rotate ไปเรียนรู้งานในหลายๆ แผนกที่เป็นสายผลิตและจัดจำหน่าย และยังได้ไปฝึกงานที่เกียรตินาคินภัทร ซึ่งเป็นธุรกิจ Wealth Management รวมถึง JLL บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยไปอยู่ในแผนก Research and consult เก็บข้อมูลและทำโปรเจกต์ให้ลูกค้า ทำให้ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์
“ตั้งแต่เด็ก คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยบังคับหรือตีกรอบว่าต้องเรียนอะไร หรือทำอาชีพไหน แต่สิ่งที่สอนเสมอคือ ไม่ว่าลงมือทำอะไรแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด ต่อให้ล้มเหลว ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงลงมือทำแล้ว ก็ต้องเดินหน้าทำต่อให้จบ อย่าหยุดกลางคัน ซึ่งต้องตาก็คิดและทำตามความเชื่อแบบนี้มาตลอด” ต้องตาทิ้งท้าย
(ขอบคุณ โชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ MOTIF (โมทีฟ) ชั้น 4 เซ็นทรัล เอมบาสซี เอื้อเฟื้อสถานที่ถ่ายภาพ)
Comments are closed.