Interview

อัปเลเวลให้มีสีสันกับลุคที่ใช่ เจ้าพ่อเครื่องเพชร “สุริยน ศรีอรทัยกุล”

Pinterest LinkedIn Tumblr


นอกจากจะยืนหนึ่งในวงการเพชร เรื่องแต่งองค์ทรงเครื่อง “หนึ่ง-สุริยน ศรีอรทัยกุล” หัวเรือใหญ่แห่งอาณาจักร “บิวตี้เจมส์” (Beauty Gems) ก็ไม่เป็นสองรองใคร สังเกตได้จากยามเมื่อเขาปรากฏตัวคราใด ก็มักได้เห็นสไตล์เสื้อผ้าหน้าผมอันโดดเด่นเด้งออกมาเสมอ

ยิ่งช่วงพักหลัง “เจ้าพ่อเครื่องเพชร” อัปเลเวลการดูแลภาพลักษณ์ส่วนตัว จนขึ้นแท่นแฟชั่นนิสต้าตัวพ่อของเมืองไทยไปแล้ว โดยเจ้าตัวแย้มว่า ด้วยบทบาทหน้าที่การงานในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท บิวตี้เจมส์ ที่นอกจากจะต้องทำงานในออฟฟิศ ออกไปพบลูกค้า และจัดงานส่งเสริมการขายบ่อยๆ แล้ว


ทุกครั้งที่มีงานโชว์เครื่องเพชรคอลเลกชันใหม่ ก็ต้องใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองเป็นพิเศษ เสื้อผ้าต้องมีสไตล์ ทรงผมต้องเข้ากับบุคลิก แอคเซสซอรีก็ต้องมาเต็ม เวลาใครพบเห็นจะรู้สึกถึงความใส่ใจ น่าเชื่อถือ ขณะเดียวกัน ก็ดูไม่น่าเบื่อ ทุกวันนี้สไตล์การแต่งตัวจึงค่อนข้างมีสีสัน อาจเพราะส่วนตัว “หนึ่ง-สุริยน” ชื่นชอบศิลปะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้เขามีไอเดียบรรเจิด ที่จะมิกซ์แอนด์แมตช์ชุดเก่งให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์ และนั่นก็นำมาซึ่งความมั่นใจ!

“โลกเปลี่ยน ลุคการแต่งตัวก็ต้องเปลี่ยน แต่พยายามไม่ทิ้งความเป็นตัวตนของเรา ทุกวันนี้ผมมองว่าสังคมเปิดกว้างมาก ผู้คนมีอิสระทางความคิดมากขึ้น เราก็เลยสามารถแต่งตัวได้เยอะขึ้น หลากหลายสไตล์มากขึ้น เพราะศิลปะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถ้าเป็นชิ้นงานที่พิเศษคนก็มักจับจ้อง ก็เหมือนการแต่งตัวถ้าโดดเด่นคนก็จับตามอง แล้วก็มีผลทางจิตวิทยา แต่สำคัญต้องมิกซ์แอนด์แมตช์ให้เป็น ส่วนตัวรู้สึกตื่นเต้นเวลาได้แต่งตัวเยอะๆ ทำให้ไม่น่าเบื่อ” ผู้บริหารในลุคแฟชั่นนิสต้าเผย


ทุกวันนี้เขาดูแลลุคการแต่งตัวในแต่ละวันด้วยตัวเอง แบบไม่ต้องเสียเวลาพึ่งสไตลิสต์ โดยเฉพาะ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ถ้ายังจำกันได้ก่อนหน้านั้น เขามักปรากฏตัวตามงานสังคมหรือหน้าข่าวด้วยลุค “นายแบงก์” สวมแว่นสายตา ผมเรียบแป้ ภายใต้ยูนิฟอร์มที่เป็นแพตเทิร์นของนักธุรกิจ อย่าง “สูท” แต่พอมาเจอเรื่องเครียดทั้งโรคระบาดและเรื่องธุรกิจ จึงมีความคิดอยากปรับลุคให้รู้สึกผ่อนคลายและสนุกขึ้น แล้วก็พบว่ามีความสุขขึ้นจริงๆ

ที่แน่ๆ การแต่งกายมีผลกับธุรกิจและการทำงานไม่น้อย ซึ่งเจ้าตัวพูดติดตลกว่า พอลูกค้าเห็นเจ้าของร้านเพชรในลุคที่มีสีสัน ไม่เครียด จากที่วางแผนว่าจะมาซื้อเพชรชิ้นเดียว คุยไปคุยมาเปลี่ยนใจซื้อเพิ่มก็มี ถือว่าเป็นพลังอานุภาพแห่งการแต่งตัวเลยก็ว่าได้


สำหรับแหล่งขุมทรัพย์ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า เข็มขัด กระเป๋า รวมถึงแอคเซสซอรีต่างๆ นานา ที่แฟชั่นนิสต้าตัวจี๊ด มักพาตัวเองเข้าไปค้นหาแรงบันดาลใจเป็นประจำนั้น หลักๆ ก็มี เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, สยามพารากอน, ดิ เอ็มควอเทียร์ และไอคอนสยาม มีทั้งได้รับเชิญไปร่วมสัมผัสคอลเลกชันใหม่ก่อนใคร และที่เดินไปชอปปิ้งเองตามความสนใจ ซึ่งบ่อยครั้งที่มักได้รับผลพลอยได้เป็นไอเดียใหม่ๆ ในเชิงธุรกิจ เพราะได้รู้ว่าสินค้าแต่ละตัวมีวิธีการทำตลาดอย่างไร จึงสามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าและสามารถขายได้ดี

“ส่วนใหญ่ผมจะหมดเงินไปกับเสื้อผ้า เป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าบ่อย แต่ก็นำมามิกซ์แอนด์แมตช์ตลอด จะเป็นแบรนด์เนมหรือไม่ก็ได้ ทั้งของไทยและของนอก อย่าง แบรนด์ของเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ก็ชอบมากเพราะคัตติ้งเนี้ยบ สวย หรือแบรนด์นอกที่ซื้อประจำก็ อย่าง คริสเตียน ดิออร์, หลุยส์ วิตตอง, ปราด้า, เบอร์เบอรี่ เป็นต้น และมีไม่น้อยที่สั่งตัด โดยเฉพาะ สูทร้านดังย่านโอเรียนเต็ล หรือร้านสูทของเพื่อนๆ” เอ็มดีสายแฟชั่นกล่าว


สุริยนยอมรับว่าตัวเองเป็นคนซื้อง่าย ถ้าเจอคอลเลกชันถูกใจก็พร้อมควักบัตรรูดปรื๊ดๆ ได้ทันที หลายคนอาจจะมองว่าใช้เงินเก่ง แต่นั่นมาจากที่ตัวเองต้องทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะ ช่วงโควิด เวลาอยากรีแลกซ์ก็อยากเต็มที่ ถ้าชอบราคาเท่าไหร่ก็ไม่เกี่ยง เพราะนั่นเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานอย่างหนึ่ง เวลามีความสุขก็จะนำมาซึ่งความคิดสร้างสรรค์ในการดูแลบริษัท ดูแลลูกค้า และพนักงาน

ส่วนเคล็ดลับในการเลือกซื้อเครื่องแต่งกาย เสี่ยใหญ่แห่งบิวตี้เจมส์บอกว่า ไม่มีอะไรมาก แค่ดูว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเอง และสามารถนำมาใช้ในงานต่างๆ ได้ง่ายและคุ้ม ก็เลือกสิ่งนั้น สำคัญเป็นคนดูไว ลองไว และซื้อไว ทำงาน 7 วัน จะมี 1 วันที่เป็นวันชอปปิ้ง ยิ่งวันไหนขายเพชรได้มาก วันนั้นก็จะชอปปิ้งมากเป็นพิเศษ เคยควักจ่ายซื้อเสื้อผ้าหลักล้านในวันเดียวก็มี! ถ้าเป็นยุคก่อนคนจะมองว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่งตัวเวอร์วังเกินไป แต่ตอนนี้เหมือนเป็นการกระตุ้นให้สังคมตื่นตัว เพราะของแต่ละอย่างสะท้อนถึงที่มา และเป็นการหมุนเวียนเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง


ขณะที่ ไอเดียการจัดการกับบรรดาชิ้นโปรดที่ชอปเข้าบ้านอยู่เรื่อยๆ ให้อยู่ในปริมาณที่พอดี ไม่ล้นตู้เสื้อผ้าเกินไปนั้น เขาเลือกที่จะแบ่งปันให้คนรอบข้างทั้งเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง แม้กระทั่ง พนักงานในบริษัท เป็นการแบ่งปันความดูดีที่มีความสุขทั้งคนให้และคนรับ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการแบ่งปันอาหาร และของใช้จำเป็นเพื่อผู้เดือดร้อนจากโควิด ที่เขาทำอย่างต่อเนื่องถึงทุกวันนี้

“บางครั้งเพื่อนชอบก็ยกให้เลย อย่าง กระเป๋าตอนนี้มีไม่ถึง 20 ใบ ทั้งที่เป็นคนชอบซื้อกระเป๋า เทคนิคคือเอาเข้ามา 30 ก็ต้องเอาออก 30 เท่ากัน เป็นการเคลียร์ตู้เสื้อผ้าอย่างสร้างสรรค์”


ท้ายที่สุดแล้วทายาทรุ่น 3 แห่งอาณาจักรบิวตี้เจมส์ ได้ฝากแง่คิดดีๆ สำหรับเหล่าคนรักการแต่งตัวว่า การแต่งตัวอย่างมีสไตล์เป็นสิ่งที่ดี เสื้อผ้าเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่ทุกคนต้องมี ตราบใดที่มนุษย์ยังมีศิลปะ ก็ยังคงต้องมีความอ่อนโยนของจิตใจ

“ความสุขอยู่ที่เรา อยากทำก็ทำ ไม่เดือดร้อนใคร สำคัญเรื่องแต่งตัวต้องดูรายได้ในกระเป๋าสตางค์ด้วย เลือกซื้อในสิ่งที่เป็นเรา อย่างเห็นผมชอปปิ้ง เลือกซื้อเสื้อผ้าได้บ่อยๆ นั่นเพราะผมทำงานหนัก มีรายได้ มีกำลังจ่าย มีมากก็สามารถจ่ายได้ สำหรับใครที่มีน้อยก็จ่ายเท่าที่มี ให้เหมาะกับตัวเองดีที่สุด และถ้ามีมากพอแล้วก็ต้องรู้จักแบ่งปัน ถือเป็นการสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับตัวเองและคนรอบข้าง” สุริยนสรุปทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงสดใส

Comments are closed.

Pin It