ด้วยลุคผมยาว ตาโต สวยหวาน ของ “แหน่แน่-จันทรจิรา เทวกุล ณ อยุธยา” ลูกสาวคนเล็กของ “หม่อมหลวงบวรนวเทพ เทวกุล กับสุชาดา เทวกุล ณ อยุธยา” อาจทำให้หลายคนคิดว่าเป็นสาวหวาน แต่ถ้าได้ทำความรู้จักตัวตนของเธออาจจะพบว่า จริงๆ แล้วสาวน้อยตรงหน้ามีบุคลิกที่แตกต่างและน่าค้นหากว่าที่คิด
เพราะงานนี้แม้แต่เจ้าตัวก็ยังออกตัวว่า ไม่ได้หวานแบบที่หลายคนเห็น พิสูจน์ได้ตั้งแต่สไตล์การแต่งตัว ที่นอกจากจะเน้นแต่งตัวแบบเรียบๆ ชอบใส่เสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ เน้นคุมโทนขาว ดำ เทา กรมท่า แอกเซสซอรีคู่ใจที่ขาดไม่ได้เลยคือ หมวก เหมือนเป็นชิ้นที่ช่วย Finish Look ในแต่ละวันให้สมบูรณ์ จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ที่ใครเห็นก็จำได้
“ปกติแหน่แน่จะเลือกชุดก่อน แล้วค่อยเลือกว่าจะหยิบหมวกใบไหนมาใส่เพื่อให้เข้ากับชุด ด้วยความที่เราเป็นคนแต่งตัวคุมโทนสี ไม่ได้เน้นสีสันสดใสอะไรมากมาย ทำให้มิกซ์แอนด์แมตช์ได้ไม่ยาก ซึ่งเพื่อนๆ จะรู้กันว่า เวลาไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะไปเรียน ไปเที่ยว แหน่แน่ต้องมีหมวกติดไว้ตลอด ข้อดีคือ ไม่ต้องเสียเวลาทำผม แต่ถ้าวันไหนลืม ก็อาจไม่ถึงขั้นต้องไปซื้อใบใหม่มาทดแทน แต่ก็ทำให้รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ หรือถ้านึกได้ว่าไปหลงลืมไว้ที่ไหน ก็ต้องกลับไปตามเอาคืน เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยมัธยมปลายแล้ว” แหน่แน่เล่าไปขำไป ก่อนจะเสริมว่า
“เพราะมีหมวกเป็นไอเทมโปรด ดังนั้น ถึงเวลาไปชอปปิ้งจะไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าจะไปซื้อหมวก แต่ถ้าเจอใบที่ใช่ก็พร้อมจะทิ้งกระเป๋า และเสื้อผ้า ไว้ทีหลัง ขอพุ่งตรงไปเลือกดูหมวกที่ถูกใจก่อนแบบไม่ลังเล เพราะแหน่แน่ชอบหมวกที่ดูดี แต่ใส่แล้วไม่โหล ไม่ซ้ำใคร เวลาไปเจอใบที่ถูกใจเลยต้องซื้อมาติดตู้ จนตอนนี้ก็มีอยู่หลายสิบใบ”
ไหนๆ ก็เปิดทางด้วยสไตล์การแต่งตัวที่มีความเป็นเด็กผู้ชาย เลยพอเห็นภาพว่า ทำไมสาวหวานตรงหน้าถึงตัดสินใจเลือกเรียนต่อคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะเห็นลุคคุณหนูแบบนี้แต่ก็พร้อมลุย ที่สำคัญ มีแบบอย่างคือ ลูกพี่ลูกน้อง (จินนี่-จินดาภา เทวกุล ณ อยุธยา) ที่เรียนคณะนี้เหมือนกัน คอยให้คำแนะนำและมองว่าคณะนี้ก็น่าจะเหมาะกับแหน่แน่
“ถ้าย้อนไปสมัยเด็ก แหน่แน่ก็เหมือนทุกคน ที่มักจะเจอตั้งคำถามว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร ซึ่งตั้งแต่เล็กจนโต แหน่แน่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้เหมือนกันว่า จริงๆ แล้วเราชอบด้านไหนหรือโตขึ้นอยากเป็นอะไร เลยคิดว่าเราไม่อยากปิดโอกาสตัวเองที่จะได้ลองเรียนรู้ และลองทำหลายอย่างๆ เพื่อค้นหาว่าตัวเองชอบอะไร แต่เหตุผลที่เลือกเรียนคณะสังคมศาสตร์ เพราะมองว่าถ้าเวลาที่เราป่วย เราก็ยังสามารถไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลได้ ถ้ารู้สึกป่วยทางจิตก็สามารถไปพบจิตแพทย์ แต่ถ้าสังคมมีปัญหา หรือมีคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเข้าถึงสิทธิ์ต่างๆ จะทำอย่างไร หนึ่งในทางออกก็คือ ต้องอาศัยนักสังคมสงเคราะห์ ดังนั้น ถ้าเราสามารถมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมตรงนี้ได้ ก็อยากจะเรียนรู้และมีส่วนช่วยแก้ปัญหาสังคม ซึ่งพอได้มาลองเรียนจริงๆ ก็ตอบโจทย์และค่อนข้างเปิดโลกและมุมมองหลายอย่าง ได้เห็นและสัมผัสถึงปัญหาในสังคมที่มีความลึกซึ้งกว่าที่เราคิด”
หลังจากเรียนจบ แหน่แน่บอกว่า เดิมทีตั้งใจจะไปเรียนภาษาต่อที่ประเทศจีน เพราะมีพื้นฐานมาจากสมัย ม.ปลาย เคยเรียนศิลป์ภาษาจีน แต่เพราะเรียนจบมาในปีที่เกิดสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 พอดี แผนที่วางไว้เลยต้องชะลอออกไป ตอนนี้แหน่แน่เลยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ด้วยการเทกคอร์สเรียนภาษาจีนออนไลน์ในไทยไปก่อน เมื่อไหร่ที่สถานการณ์กลับมาปกติ ค่อยสานต่อแผนเดิมที่จะไปเรียน ซึ่งวางแผนไว้ว่า ถ้าไม่ใช่ประเทศจีนก็อาจจะไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ เพราะอยากได้ภาษาจีนมาเป็นภาษาที่สาม และเร็วๆ นี้ ยังมีแผนว่าอาจจะใช้ทักษะภาษาจีนที่มีไปช่วยญาติทำธุรกิจ ที่ต้องติดต่อประสานงานกับทางประเทศจีนอีกด้วย
นอกจากจะสุ่มฝึกปรือทักษะภาษา แหน่แน่ยังสนใจงานในวงการบันเทิง ซึ่งก่อนหน้านี้เธอได้มีโอกาสไปชิมลางแคสต์งานโฆษณา จนมีผลงานออกมาให้เห็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผลงานซีรีส์ศรีอโยธยา โฆษณาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
“ถามว่าชอบมั้ยก็ชอบนะ เคยไปเรียนแอคติ้ง คือถ้ามีโอกาสก็อยากลองทำ แต่อีกอาชีพที่วาดภาพว่าน่าจะเป็นอนาคตของตัวเองคือ การทำธุรกิจกับเพื่อน เริ่มต้นจากโปรเจกต์เล็ก ๆ อย่างการทำแบรนด์เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ ซึ่งแหน่แน่ค่อนข้างโชคดี เพราะคุณพ่อคุณแม่ให้อิสระ อยากเรียนอะไรก็ได้ ถ้าเราสนใจอะไรครอบครัวก็พร้อมจะสนับสนุน”
มาถึงกิจกรรมยามว่างของแหน่แน่ งานนี้เจ้าตัวออกตัวก่อนเลยว่า เดิมเป็นคนที่ไม่ชอบออกกำลังกายและไม่คิดว่าต้องทำ เพราะไม่ได้มีปัญหาเรื่องรูปร่าง ต่อให้จะมีความสุขกับการกิน โดยเฉพาะ ของหวาน ขนมขบเคี้ยวแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา จนปีที่แล้ว เลยรู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่น่าจะเริ่มต้นดูแลตัวเองอย่างจริงจัง เลยปฏิวัติตัวเองด้วยการควบคุมอาหารการกิน เลือกกินของที่มีประโยชน์มากขึ้น พร้อมกับสร้างวินัยในการออกกำลังกาย
“แต่ก่อนแหน่แน่สู้ตายมาก กินขนม เค้ก ไอติม คุกกี้ แทนข้าวเย็นได้เลย แต่หลังจากคิดจะดูแลตัวเอง ก็พยายามลดและออกกำลังกายให้ได้อาทิตย์ละ 2-3 วัน จ้างเทรนเนอร์มาสอนที่บ้าน ทั้งโยคะ พีราทิส เวทเทรนนิ่ง ทำต่อเนื่องมา 1 ปี ส่วนตัวไม่ได้คิดว่าสรีระเปลี่ยนแปลง ทั้งที่คนรอบข้างทักว่ารูปร่างดีขึ้น แต่แหน่แน่รู้สึกว่าแข็งแรงขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ที่สำคัญ แฮปปี้มาก และจะพยายามทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะการออกกำลังกายเหมือนเป็นการลงทุนเพื่อตัวเอง และเป็นการชาเลนจ์ตัวเองพอสมควร เพราะปกติแหน่แน่จะเป็นคนที่ไม่ค่อยทำกิจกรรมอะไรเดิมๆ ได้นาน แต่สำหรับการออกกำลังกายก็ทำมาได้เป็นปีแล้ว” แหน่แน่เล่าด้วยความภาคภูมิใจ
“นอกจากจะดูแลสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็สำคัญ ยิ่งในช่วงโรคระบาดแบบนี้ ความสุขของเราอาจจะลดลง เพราะถ้าเป็นแต่ก่อนเรายังไปเจอเพื่อน หรือเดินทาง แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจแบบนี้ เทคนิคเติมพลังใจให้ตัวเองของแหน่แน่คือ พยายามหาสิ่งที่เราจะมีความสุขให้ได้ใน 1 วัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เช่น อ่านหนังสือแล้วเจออะไรที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น ก็รู้สึกดี”
ปิดท้ายด้วยคำถามที่หลายคนอาจจะคาใจ ว่าที่มาของชื่อเล่นสุดแปลกของแหน่แน่นั้นได้มาจากไหน งานนี้เจ้าตัวเล่าไปขำไปว่า “สมาชิกทุกคนในบ้านทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่สาว ชื่อเล่นขึ้นต้นด้วย น.หนู หมดทุกคน เพราะฉะนั้น ในฐานะลูกสาวคนเล็ก ก็ต้องชื่อเล่นนำหน้าด้วยตัว น.หนู แน่นอน แต่ที่มาเป็นชื่อนี้ มาจากวันที่แหน่แน่เกิดซึ่งตรงกับวันคริสต์มาส ตอนที่จะคลอดคุณหมอยังมาไม่ถึง มีแค่พยาบาล แต่ปรากฏว่าแหน่แน่ก็ออกจากท้องคุณแม่มาเรียบร้อย จนคุณหมอบอกว่า เด็กคนนี้แน่มาก คุณพ่อเลยเอามาตั้งชื่อซะเลย แต่ที่เป็นแหน่แน่ เพราะคุณพ่อและพี่สาวเรียกแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะอาจจะอยากเรียกชื่อเป็นสองพยางค์ ซึ่งบางคนก็อาจจะออกเสียงยาก แหน่แน่ก็เลยใช้วิธีให้เรียกแค่ แน่สั้นๆ แทน”
Comments are closed.