Hot Topic

เหล่านักธุรกิจไฮโซคิดอย่างไร เมื่อ "โจ ไบเดน" จะก้าวขึ้นมาคุมสหรัฐฯ

Pinterest LinkedIn Tumblr


แม้ผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจของโลก ยังไม่สิ้นสุดลง ทว่า โจเซฟ โรบิเนตต์ ไบเดน จูเนียร์ หรือ โจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ก็มีคะแนนนำประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อย่างขาดลอย ทำให้ไบเดนมีโอกาสได้เป็นผู้นำคนใหม่ของประเทศมหาอำนาจนี้ จริงๆ ต้องยอมรับว่า ทั่วโลกให้ความสนใจกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ (2020) ทั้งนี้ ก็เพราะว่าสหรัฐฯ มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก รัฐบาลสหรัฐฯ ถือว่ามีอิทธิพลอันดับต้นๆ ของโลกและการค้าโลก

แน่นอนว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ย่อมมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย ซึ่งก็มีหลากหลายมุมมองของบรรดาเซเลบนักธุรกิจเมืองไทยในสาขาต่างๆ ที่มีต่อผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีในครั้งนี้ว่า จะส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจด้านต่างๆ อย่ารอช้ารีบไปอ่านกันเลยค่ะ


เริ่มที่ “ริน-ศรินญา มหาดำรงค์กุล” ทายาทธุรกิจโรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด และโรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา บอกว่า โดยส่วนตัวเธอเองเป็นผู้ที่ชื่นชอบนโยบายของพรรคเดโมแครตเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และเทใจให้กับ โจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ยิ่งเมื่อทราบผลการเลือกตั้งว่า โจ ไบเดน เป็นผู้ชนะ แล้เตรียมก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็เหมือนมีสัญญาณทางด้านเศรษฐกิจ ที่ตอบรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ไปในทางบวก และคิดว่าในอนาคตเศรษฐกิจต่างๆ ทั่วโลกน่าจะดีขึ้น มีการร่วมมือกันมากขึ้นระหว่างภูมิภาค และส่งผลให้ธุรกิจของประเทศไทยดีขึ้นตามลำดับ

“รินชอบนโยบายของ โจ ไบเดน ที่มีความประนีประนอมไม่ให้แตกหัก จะมีการสานสัมพันธ์อันดีขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นสองประเทศมหาอำนาจของโลก และเมื่อสองประเทศมหาอำนาจประสานความร่วมมือกันก็จะทำให้เศรษฐกิจการค้าระหว่างภูมิภาคดีมากขึ้นกว่าเดิม สังเกตได้จากวันแรกที่ทราบผลการเลือกตั้ง ก็ทำให้ตลาดหุ้นดีดตัวสูงขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย”

ในส่วนของธุรกิจโรงแรมในประเทศไทยนั้น จะได้รับอานิสงส์จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่หรือไม่ ทายาทคนสวยของโรงแรมดังบอกว่า ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีอาจมีผลเพียงเศษเสี้ยว แต่ถ้าจะให้กิจการโรงแรมทั่วโลกฟื้นตัวขึ้น ต้องรอให้ผ่านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปเสียก่อน ซึ่งคาดว่าไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า ธุรกิจโรงแรมจะกลับมาสดใสอีกครั้ง ขณะเดียวกัน ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสเสมอ ตอนนี้ยอดจองโรงแรมเกือบทุกแห่งเต็มเกือบหมด เพราะคนไทยด้วยกันหันมาเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น

“รินมองว่าในส่วนของธุรกิจของโรงแรมปีนี้ ก็จะยังไม่มีการเติบโตมากในส่วนของลูกค้าต่างประเทศ เพราะมีการปิดประเทศจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งตอนนี้ก็มีข่าวดีว่า บริษัทยาชื่อดังได้คิดค้นวัคซีนสำเร็จแล้วคาดว่าช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีหน้า ทุกอย่างคงดีขึ้น แต่เป็นที่น่ายินดีว่า ช่วงนี้ลูกค้าที่โรงแรมทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา มียอดจองเต็มเกือบทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะ ยอดจองห้องจัดเลี้ยง ที่มีลูกค้ากลับมาใช้บริการประชุมสัมมนาภายใต้การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนห้องพักเนื่องด้วยมีนโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ จึงทำให้มียอดจองเข้ามาเต็มตลอด ก็นับเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับโรงแรมทั่วประเทศไทย ทำให้พอฟื้นตัวและประคับประคองดำเนินกิจการต่อไปได้เพราะคนไทยด้วยกัน”

อีกหนึ่งสิ่งที่คนทั่วโลกได้เห็นจากการเลือกตั้งในครั้งนี้ ที่สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้แก่นักธุรกิจสาวสวยคือ การแต่งตั้งผู้หญิงขึ้นมาเป็นรองประธานาธิบดี ซึ่งเป็นครั้งแรกของสหรัฐอเมริกา ที่ให้ผู้หญิงขึ้นมาดำรงตำแหน่งสูงขนาดนี้แถมยังเป็นผู้หญิงผิวสีอีกด้วย

“ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้คือ ว่าที่รองประธานาธิบดี “กมลา แฮร์ริส” ที่เป็นผู้หญิงผิวสีคนแรก และเป็นคนผิวสีชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์ของอเมริกาดูสุภาพเคร่งครึมและมีความประนีประนอมมากขึ้นในสายตาของชาวโลก” รินเล่าด้วยน้ำเสียงยินดี


ส่วน “เอ็ม-มณีสุดา ศิลาอ่อน” บอสสาวแห่ง เอส แอนด์ พี ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งทั่วโลก บอกว่า โดยส่วนตัวเธอเองก็เชียร์ โจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตอยู่แล้ว เพราะมั่นใจว่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นคนอเมริกันหรือคนทั่วโลก ก็อยากเห็นอเมริกาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ นโยบายด้านการค้า

“ที่ผ่านมาคนทั่วโลกและชาวอเมริกัน ต่างต้องเผชิญกับความกดดันในเรื่องของความยิ่งใหญ่ แล้วไปกดดันประเทศต่างๆ ที่ด้อยพัฒนากว่าในหลายด้าน แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่า โจ ไบเดน เป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างขานรับการว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งจากนี้ไปทั้งสหรัฐอเมริกาและคนทั่วโลก จะเห็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ในทางที่ดีขึ้นของสหรัฐอเมริกา”

ในภาคส่วนธุรกิจอาหารในเมืองไทยนั้น เอ็มบอกว่า “เราผลิตอาหารไทยแช่แข็งส่งออกที่สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ หากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ ไม่มีนโยบายกีดกันทางการค้า หรือตัด GSP ของเรา ก็จะทำให้เราส่งออกสินค้าได้มากขึ้น และจะทำให้มีเงินหมุนเวียนกลับคืนมาในประเทศมากขึ้น ส่งผลให้คนไทยมีรายได้มีแรงจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ เมื่อภาคเศรษฐกิจดี สังคมก็จะดีตามไปด้วย เพราะคนมีรายได้มีเงินใช้จ่าย ก็จะไม่ก่อปัญหาอาชญากรรม ทุกสิ่งอย่างมันจะคู่กัน ถ้าเศรษฐกิจดี สังคมก็จะดี”


ขณะที่ นัท-อภิชาติ ลีนุตพงษ์' นักธุรกิจหนุ่มไฟแรงจากค่ายรถยนต์หรู “บริษัท เรนาสโซ มอเตอร์ จำกัด” ที่นำเข้าและจำหน่ายรถแบรนด์หรูจากยุโรป ก็มองว่า “ส่วนตัวผมคงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากผลการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะเรานำเข้ารถจากยุโรปมาจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งลูกค้าของเราก็จะมีเฉพาะกลุ่มอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าเศรษฐกิจทั่วโลกดีขึ้น ก็ย่อมส่งผลให้ประเทศของเราได้รับอานิสงส์ในครั้งนี้ไม่มากก็น้อย คนมีแรงจับจ่ายใช้สอยมีเงินหมุนเวียนภายในประเทศ เศรษฐกิจต่างๆ ก็จะดีขึ้นตามไปด้วย วงการรถยนต์ก็พลอยได้รับอานิสงส์ที่ดีตามไปด้วย เพราะคนมีกำลังในการซื้อรถมากขึ้น”


ด้าน “ปลาวาฬ-วรสิทธิ์ อิสสระ” ผู้บริหารโครงการศรีพันวากล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะออกมาเป็นอย่างไร ในภาคอสังหาฯ เมืองไทยแทบไม่มีผลกระทบเลย เพราะสุดท้ายแล้วต้องขึ้นอยู่กับดีมานต์ซัพพลายในประเทศเป็นหลัก

“สำหรับผมมองว่าการที่เราจะขายโครงการ ขายบ้าน หรือคอนโดฯ ได้หรือไม่นั้น ปัจจัยภายนอกประเทศมีผลน้อยมาก แม้เศรษฐกิจทั่วโลกจะแย่แต่คนในประเทศมีกำลังซื้อมากพอ ก็สามารถขายได้ ผมกลับมองว่าวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 กลับมีผลกับเศรษฐกิจทั่วโลกมากกว่า เพราะหลายประเทศเศรษฐกิจพังกับเชื้อร้ายนี้ แต่ประเทศไทยเรายังโชคดีกว่ามาก ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสนี้ค่อนข้างน้อยถ้าเทียบกับทั่วโลก ผมคิดว่าปีหน้าเศรษฐกิจทั่วโลกรวมทั้งภาคอสังหาฯ ในเมืองไทย น่าจะดีขึ้นกว่านี้ ถ้ามีวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19” หนุ่มวาฬเผยความในใจ


ปิดท้ายที่ “เหมี่ยว-พราวพรรณ เลาหพงศ์ชนะ” ผู้บริหารหญิงแกร่งแห่ง “ควอตโตร ดีไซน์” (Quattro Design) ผู้นำเข้าเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งบ้านระดับพรีเมียมของไทย เล่าว่า เธอเองก็ติดตามข่าวสารผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มาตลอด แต่ธุรกิจนี้สุดท้ายแล้วต้องพ่วงไปกับธุรกิจอสังหาฯ ภายในประเทศมากกว่า

“เราเป็นนักธุรกิจก็ต้องติดตามข่าวสารอยู่แล้ว ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดี และนโยบายของเขาจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างไร แต่ในวงการเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในเมืองไทย ค่อนข้างได้รับผลกระทบน้อยมาก ส่วนใหญ่ธุรกิจของเราจะอิงกับเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก ถ้าธุรกิจอสังหาฯ ยังคงเติบโตอยู่ เราก็สามารถดำเนินธุรกิจของตกแต่งบ้านไปต่อได้ เพราะธุรกิจของเราจะเป็นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม” ผู้บริหารหญิงแกร่งอธิบายปิดท้าย

ภาพจาก IG:rinsarinya,kwan_sharich,wan.issara, maneesuda Sila-On

Comments are closed.

Pin It