>>จากความเดิมตอนที่แล้ว “มาดามมอนทัวร์” (MadameMonTour) ได้บินเดี่ยวเช็กอินเมืองหลวงกรุงอัมมาน ที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางตอนบนของประเทศจอร์แดน แล้วเลยไปเยือนเมืองพันเสาที่อยู่ทางตอนเหนือติดกับประเทศซีเรีย ทำให้หลายๆ ภาพของสถาปัตยกรรม ผู้คน และไลฟ์สไตล์ต่างๆ ยังคงตราตรึงอยู่ไม่เสื่อมคลาย… จุดมุ่งหมายต่อไปจึงเปลี่ยนโหมดไปขี่ดองกี้ ดื่มชานมแพะ ปีนป่ายชมหุบเขาลี้ลับสีชมพูที่เปตรา
9 โมงเช้าหลังเบรกฟาสต์ที่โรงแรมราฟี อัมมาน ในเขตย่านเมืองเก่าของกรุงอัมมาน มาดามมอนทัวร์ได้ถ่ายเทกระเป๋าจากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้กลายเป็นกระเป๋าถือใบย่อม แล้วฝากไว้ที่โรงแรมเพราะก่อนกลับเมืองไทยจะต้องมาตั้งหลักที่กรุงอัมมานและพักค้างอ้างแรมโรงแรมนี้ต่ออีกหนึ่งคืน และเพื่อความคล่องตัวในการเดินทาง เพราะการเดินทางจากกรุงอัมมานไปยังเปตราต้องเดินทางด้วยรถบัส และมีเส้นทางที่คดเคี้ยวเสียวสันหลัง ที่สำคัญไม่เป็นการเปิดโอกาสให้กระเป๋ารถบัสหัวใสมาขอเบิลค่าตั๋วอิชั้นเป็นสองเท่าอีก
มาดามมอนทัวร์โบกแท็กซี่เพื่อให้ไปส่งที่ท่ารถขนส่งสายใต้ของกรุงอัมมาน เพื่อเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองเปตรา ซึ่งทางตอนใต้ของประเทศจอร์แดนไปราว 200 กิโลเมตร รถบัสคันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย ค่าโดยสารประมาณ 700 บาท โดยใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าจะถึง
พอรถบัสเคลื่อนตัวออกจากเมืองหลวงกรุงอัมมานได้สักระยะ (ซึ่งใช้ถนนเส้นเดียวกับทางไปสนามบินนานาชาติควีน อัลเลีย นั่นแหละ) สภาพแวดล้อมสองข้างทางก็เริ่มมีกรวดหินดินทรายให้เห็นแล้ว บางแห่งมีเนินเขาหัวโล้น บางแห่งเป็นที่ราบเรียบดูไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต สลับกับบางช่วงที่ผ่านชุมชนก็จะมีสภาพของล่องน้ำ ต้นไม้ และบ้านเรือนของผู้คนให้เห็นอยู่ประปราย ซึ่งต้องนับถือสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์เราจริงๆ ที่หยั่งรู้ถึงแหล่งใดที่อุดมสมบูรณ์ และสามารถนำมาเจือจุนชีวิตให้ดำรงอยู่ได้ ก็จะเลือกตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นั่น
นั่งจินตนาการไปถึงวัฏจักรของวิถีชีวิตมนุษย์ในภูมิภาคต่างๆ ของโลก สลับกับนั่งหนังตาหย่อนแบบหลับๆ ตื่นๆ มาพักใหญ่ ก็เริ่มเข้าเขตเมืองเปตรา เพราะภูมิประเทศเมืองส่วนใหญ่จะเป็นหินเขาสูงเนินลดหลั่นกันไป มีบ้านเรือนหนาตาที่ตั้งอยู่บนเนินเขา และมีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่นกว่าบริเวณอื่น แต่แทบไม่น่าเชื่อว่าช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ เช่นนี้ ที่นี่อากาศเย็นสบาย ราว 20 องศาเซลเซียสเห็นจะได้
รถบัสมุ่งหน้าไปจอดที่สถานีขนส่งของเปตรา ซึ่งยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิทก็มีคนขับแท็กซี่ส่งสายตามาเรียกร้องให้ใช้บริการ เมื่อเจอแท็กซี่หนุ่มหล่อถูกใจแล้วก็เรียกให้ไปส่งที่โรงแรม ซึ่งห่างออกไปไม่ไกล เพียงแค่ข้ามเขาขนาดย่อมไปเท่านั้นเอง แต่ที่ไม่เลือกเดินด้วยเท้า เพราะมาเปตราครั้งแรกไม่ทราบว่าโรงแรมตั้งอยู่ตรงไหน จึงหวังพึ่งพลขับแท็กซี่สุดหล่อเอานี่แหละ ค่าแท็กซี่ 1 ดีนาร์ หรือราว 50 บาท
เห็นป้ายชื่อของโรงแรมคลีโอเปตราอยู่เบื้องหน้า พลางเหลียวหลังไปมองก็แอบเจ็บใจตัวเองไม่น้อยว่า เอ…จากสถานีขนส่งมาโรงแรมนี่มันก็ไม่ไกลมากนักนะ เดินอ้อยอิ่งมาก็ได้นี่นา แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าเอาเถอะน่ะ มาครั้งแรก ถ้ารู้ว่าโรงแรมอยู่แค่ตรงนี้ก็คงเลือกเดินมาโรงแรมเองแล้ว เมื่อหิ้วกระเป๋าลงจากรถ คุณลุงเจ้าของโรงแรมก็กล่าวต้อนรับด้วยน้ำเสียงดีใจ พร้อมกับเอ่ยว่าคุณมาจากเมืองไทยใช่ไหม แต่ตอนนี้ห้องแบบที่คุณจองไว้เต็มนะ คุณทราบหรือยัง? เราได้แจ้งกลับไปทางเมลของคุณแล้ว เท่านั้นแหละอิชั้นอยากจะกรี๊ด แล้วถามกลับไปว่าแล้วจะให้ทำยังไง เพราะว่าเดี๊ยนมาถึงที่นี่แล้ว อินเทอร์เน็ตก็ไม่มีให้ใช้ ถ้าจะเช็กหาโรงแรมใหม่สำหรับพักค้างคืนนี้ ตอนนี้ก็เย็นเกือบค่ำแล้ว คุณลุงจึงตอบแบบใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า เรามีห้องอีกแบบหนึ่งแต่คุณต้องจ่ายเพิ่มนะ ซึ่งแพงกว่าห้องที่จองไว้ตอนแรกประมาณ 300 บาท อิชั้นก็เริ่มอารมณ์เสีย เพราะไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากต้องจำใจพักที่นี่
เมื่อเช็กอินแล้วเอากระเป๋าไปเก็บในห้อง อิชั้นก็เดินออกมาดูความสวยงามของโรงแรมนอกห้อง แต่เอ…เมื่อกี้คุณลุงบอกว่าโรงแรมเต็ม แต่ไหงอิชั้นเดินขึ้นลงมาสามสี่ชั้นแล้วทำไมไม่มีผู้คนเลยสักคน ผ่านห้องนั้นห้องนี้กลับเงียบเชียบ ราวกับมีเดี๊ยนพักอยู่คนเดียวทั้งตึก ที่ไหนได้ห้องว่างเพียบเลยค่ะ! สังเกตได้จากการเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเช็กอิน โอ้ย….เท่านั้นแหละ! อกอีมาดามมอนทัวร์แทบอยากจะระเบิดใส่อีเจ้าของโรงแรมจริงๆ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าทุกหนทุกแห่งและทุกที่ทุกเวลาจะมีมนุษย์ประเภทนี้อยู่ นี่ขนาดเราจองห้องพักผ่านเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง agoda.com และคอนเฟิร์มชำระเงินเรียบร้อยแล้วนะ อีเจ้าของโรงแรมยังหาช่องทางหัวหมอกับเราได้ กะอีแค่หวังจะได้เงินเพิ่มอีก 300 บาท จากราคาโรงแรมที่จองไว้คือ คืนละ 900 บาท สรุปว่ามาดามมอนทัวร์ต้องจ่ายรวมแล้ว 1,200 บาท เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปไหนก็อาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเราก็จะต้องเรียนรู้ ตั้งสติและตัดสินใจหาทางออกให้จงได้
สำหรับกำหนดการมาเยือนเมืองเปตราของมาดามมอนทัวร์ครั้งนี้ คือ 3 วัน 2 คืน โดยคืนแรกจะพักที่โรงแรมคลีโอเปตรา ส่วนพรุ่งนี้มีโปรแกรมจะต้องไปเยือนหุบเขาลี้ลับสีชมพูอย่าง “เปตรา” (Petra) นั่นเอง ก่อนที่วันที่ 3 จะต้องนั่งรถบัสเดินทางกลับเมืองหลวงกรุงอัมมาน ที่สำคัญคืนพรุ่งนี้จะต้องหาที่พักใหม่เพราะว่าเริ่มไม่แฮปปี้และรู้สึกไม่ไว้ใจกับโรงแรมนี้แล้ว
ตกค่ำอิชั้นส่งข้อความผ่านเฟซบุ๊กหาหนุ่มจอร์แดน ที่อาศัยอยู่เมืองเปตรา ซึ่งเคยคุยและผูกมิตรมาเป็นปี เพื่อสอบถามข้อมูลและแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเปตรา แต่เสียดาย “โอมาร์” ไม่อยู่เพราะติดสอบอยู่ที่มหาวิทยาลัยในเมืองเครัก (Kerak) จึงส่งเพื่อนเขาที่อยู่เปตรามาดูแลอิชั้นวันพรุ่งนี้แทน
รุ่งสาย “โมฮัมเมด” เพื่อนของ “โอมาร์” ขับรถปิกอัพมารับที่โรงแรมเพื่อพาไปยังหมู่บ้านของเขา ชื่อ “อูม เซย์ฮาวน์” (Uum Sayhoun) ซึ่งอยู่บนภูเขาอีกลูกหนึ่งของเปตรา เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชาวบ้านในชุมชนส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยว “โมฮัมเมด” พาไปพบกับ “ฟาราช” เจ้าของดองกี้ผู้ทำหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวไปยังเปตรา โดยตกลงราคาค่าดองกี้และค่าไกด์นำเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 3,500 บาท ตลอดทริปทั้งวันนี้ เพื่อย่นระยะเวลาในเดินทางท่องเที่ยวภายในอุทยานแห่งชาติเปตรา เพราะถ้าเดินด้วยเท้าเปล่าอาจจะต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ร่างอิชั้นอาจจะแหลกได้เนื่องจากยังจะต้องมีโปรแกรมไปเยือนอีกหลายแห่งในประเทศจอร์แดน
เมื่อพร้อมแล้วฟาราช จึงพา “ชากีล่า” ดองกี้เพศเมียมาทำความรู้จักก่อนที่จะให้ขี่ออกจากหมู่บ้านเล็กๆ เพื่อมุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติเปตรา ซึ่งปกติแล้วถ้าเรามาเที่ยวเองจะต้องเข้าทางด้านหน้า ตรง “Visitor’s Center” แต่ด้วยความที่อีิชั้นมากับไกด์ท้องถิ่นฟาราชจึงพาเดินทางลัดเลาะไปตามทางลัดเพื่อย่นระยะเวลาให้สั้นกระชับขึ้น จนมาโผล่ตรงบริเวณสุสานหลวงที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นหลุมฝังศพ โดยเจาะทะลุเข้าไปยังภูเขาหินสีชมพูทำเป็นห้องๆ ก่อนที่จะมาพบกับถนนฟาซาเดส (Street of Facades) ซึ่งเส้นทางลัดนี้นับว่าทรหดไม่น้อย เพราะจะต้องเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา บ้างมีเนิน บ้างมีหุบเขา บ้างก็มีกองหินที่ทับถมมานานนับพันปี ซึ่งสร้างความตื่นเต้นไม่น้อย
“เปตรา” มีความหมายว่า “หิน” ในภาษากรีกโบราณ สำหรับผู้คนสมัยใหม่อาจจะยังนึกภาพไม่ออกว่าเปตรามีหน้าตาเป็นอย่างไร แนะนำว่าให้ลองกลับไปดูภาพยนตร์เรื่อง Indiana Jones and the Last Crusade ที่มี “แฮริสัน ฟอร์ด” เป็นนักแสดงนำแล้วจะเข้าใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความงดงามอลังการของฉากหนึ่ง ที่มี “Royal Treasury” มาสมมติให้เป็น “Holy Temple” ที่ซ่อนจอกศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง จากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวได้เรียกและเชื้อเชิญให้บรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วโลกหลั่งไหลมาเยือนดินแดนลี้ลับแห่งนี้ จนมีหลายคนต่างออกมาบอกว่าเปตราคือสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ควรมาเยือนครั้งหนึ่งในชีวิต หนึ่งในนั้นก็คือเดี๊ยนนั่นเอง
เปตราเป็นเมืองที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยไบซานไทน์ก่อนคริสตกาลถึง 400 ปี โดยพวกนาบาเทียนส์ซึ่งเป็นชนเผ่าเบดูอินที่ร่อนเร่อยู่ตามทะเลทรายอาหรับ วิธีการสร้างส่วนใหญ่จะขุดเจาะหน้าผาหินเข้าไปให้เป็นถ้ำหรืออาคารต่างๆ ซึ่งหินที่เจาะออกมาแล้วก็จะนำมาสร้างเสริมเป็นอาคารภายนอกได้อีกเพื่อไม่ให้สูญเปล่า การก่อสร้างมีความสวยงามละเอียดอ่อน ทั้งสง่างามและอ่อนช้อยจากหน้าผาหินอันแข็งแกร่งใหญ่โตรโหฐานนี้ น่าทึ่งจนแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์จะเป็นผู้สร้างขึ้นมา และหน้าผานี้ยังถือเป็นปราการธรรมชาติอย่างวิเศษสุด ที่คอยปกป้องเมืองจากศัตรูได้เป็นอย่างดี
เปตรา อยู่ในหุบเขาทางตอนใต้ของทะเลสาบน้ำเค็ม “เดด ซี” (Dead Sea) เคยเป็นเมืองที่มีความมั่งคั่งและเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจในอดีต เพราะอยู่บนเส้นทางค้าขายหลัก ด้วยประชากรที่มีอยู่ราว 10,000-20,000 คน แต่ภายหลังสงครามครูเสดสิ้นสุดลง ราวปี ค.ศ. 1200 เส้นทางค้าขายนี้ก็เปลี่ยนไป เมืองเปตราจึงถูกลดความสำคัญลง และทิ้งร้างจนโลกลืมไปกว่า 700 ปี จนมีนักสำรวจชาวสวิสมาค้นพบ และระบุในแผนที่อีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1812 พร้อมกับได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2528 โดยกล่าวอธิบายไว้ว่า “เป็นหนึ่งในสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดของมรดกทางวัฒนธรรมแห่งมวลมนุษยชาติ” และได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเมื่อ 8 ปีที่แล้ว
จากบริเวณถนนฟาซาเดส ฟาราชไกด์หนุ่มและชากีล่าพาอิชั้นเดินย้อนกลับมาตรงทางเข้าหลักด้านหน้าที่เรียกกว่า “ซิก” (Siq) เพื่อตรงไปชม “มหาวิหารศักดิ์สิทธิ์อัล-คากซ์เนห์ (Al Khazneh) หรือ Treasury ระหว่างทางได้พบกับช่องกำแพงในหุบเขาที่มีแสงสลัว ซึ่งมีความสูงประมาณ 91-182 เมตร ซึ่งบางแห่งนั้นมีความกว้างไม่เกิน 3 เมตรอีกด้วย และไม่นานนักชากีล่าดองกี้เพศเมียก็พาอิชั้นผ่านพ้นกำแพงหินเข้ามาพบกับมหานครโบราณที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และงดงามเหนือคำบรรยายของมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์อัล-คากซ์เนห์ ซึ่งฟาราชไกด์หนุ่มเล่าว่าสร้างในราวศตวรรษที่ 1-2 โดยผู้ปกครองเมืองในเวลานั้น เป็นวิหารที่แกะสลักโดยเจาะเข้าไปในภูเขาสีชมพูทั้งลูกมีความสูง 40 เมตร และมีความกว้าง 28 เมตร วิหารแห่งนี้ถูกออกแบบโดยได้รับอิทธิพลศิลปะของหลายชาติเข้าด้วยกัน อาทิ อิยิปต์ กรีก และนาบาเทียน
ภายในมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วย 3 ห้อง คือ ห้องโถงใหญ่ตรงกลาง และห้องเล็กทางด้านซ้ายและขวา เดิมทีเชื่อว่าเป็นที่เก็บขุมทรัพย์สมบัติของฟาโรห์อิยิปต์ แต่ภายหลังมีการขุดพบทางเข้าหลุมฝังศพที่หน้าวิหารแห่งนี้ โดยฟาราชไกด์หนุ่มบอกว่า เป็นการสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับผู้ปกครองเมือง โดยใช้เป็นสถานที่ทำพิธีกรรมทางศาสนา และเป็นสุสานฝังศพของผู้ปกครองเมืองและเครือญาติ
ปัจจุบันยังคงความขลังและงดงามเหนือความบรรยาย เป็นจุดสำคัญที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาสัมผัสให้ได้ ด้านหน้าต่างมีร้านรวงจำหน่ายของที่ระลึก เครื่องดื่ม และมีหนุ่มๆ ที่ต่างจูงดองกี้ และอูฐ มาให้บริการแก่นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะขี่ขึ้นไปชมจุดอื่นๆ หลังจากถ่ายรูปเสร็จฟาราชพาไปรู้จักกับเพื่อนๆ แล้วบอกว่าอิชั้นเป็นเพื่อนกับโอมาร์ ทุกคนต่างดีใจกันยกใหญ่ บางคนถึงกับเอ่ยปากเลยว่าเคยเห็นอิชั้นผ่านเฟซบุ๊กเพราะโอมาร์เคยเอามาให้ชม แหม่…คนสวยรวยเสน่ห์อย่างเดี๊ยนนี่ขายดีจริงๆ ที่นี่
เมื่อทักทายกันได้ที่และถ่ายรูปร่วมกันเพื่อเอาไปอวดโอมาร์ แล้วฟาราซได้พาอิชั้นเดินย้อนกลับมาตรงทางบรรจบทางเข้าที่ลัดมาอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขา “แอด เดียร์” หรือ “โมนาสเทอรี” (The Monastery) โดยใช้เส้นทางบนถนนคอโลนนาเดด (Colonnaded Street) ผ่านจุดสำคัญๆ อาทิ นาบาเทียน เธียเตอร์ (Nabatean Theatre), วิหารเกรต เทมเปิล (The Great Temple), วิหารดูสแชเรส (Temple of Dushares) ก่อนจะมาหยุดพักที่พิพิธภัณฑ์เปตรา (Petra Museum) ซึ่งตรงบริเวณนี้ถ้าใครหิวก็สามารถแวะหาซื้ออะไรกินได้ที่ร้านอาหารบาซิน (Basin Restaurant) อันเป็นจุดสิ้นสุดทางราบก่อนจะต้องเดินผจญภัยขึ้นไปบนยอดเขา ด้วยเส้นทางที่คดเคี้ยวและลาดชันอีกหลายกิโลเมตร
อากาศยามบ่ายๆ ช่วงเดือนมีนาคมบริเวณนี้ค่อนข้างเย็นจนเสื้อตัวเดียวไม่สามารถเอาอยู่ ถึงแม้ว่าจะเดินทางไกลและมีเหงื่อออกบ้างเล็กน้อยก็ตาม เส้นทางค่อยๆ คดเคี้ยวและลาดชัน ลัดเลาะไปตามช่องทางเดินแคบๆ ทำให้อิชั้นรู้สึกสงสารชากีล่าดองกี้คู่ใจ เพราะต้องเดินเมื่อเทียบกับบันไดก็ประมาณ 800 กว่าขั้น บางครั้งมันถอนหายใจ จนอิชั้นต้องลงไปเดินจูงมันแทน ระหว่างทางเรียบมีเพิงขายของที่ระลึกและน้ำดื่มอยู่เป็นระยะ อิชั้นหยุดนั่งชั่วครู่โดยปล่อยให้ฟาราซไกด์หนุ่มเดินไปทักทายกับเพื่อนบ้านซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพื่อนบ้านของเขาจากหมู่บ้านเล็กๆ นั่นเอง
ยิ่งขึ้นมาสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งเห็นนักท่องเที่ยวน้อยลง เพราะว่าหลายคนยอมถอดใจ เนื่องจากเส้นทางไปยังวิหารที่อยู่บนยอดเขาเปตราไม่ง่ายอย่างที่คิด แต่สำหรับอิชั้นอีกไม่กี่อึดใจก็ขึ้นมาถึงบริเวณยอดเขาเปตรา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารโมนาสเทอรีตั้งตระหง่านเบิกหน้ารับแสงอาทิตย์ยามบ่าย สว่างไสวและเปล่งประกายจากตัวมหาวิหารสีชมพูอย่างเรืองรอง ทำให้อิชั้นรู้สึกหายเหนื่อยและรู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
มหาวิหารโมนาสเทอรีแห่งนี้สร้างขึ้นโดยการเจาะเข้าไปยังหน้าผาหินของภูเขาสีชมพู แล้วแกะสลักลวดลายต่างๆ งดงามสมคำร่ำลือ ในอดีตใช้เป็นสถานที่สำหรับพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งยังคงดูมีความสมบูรณ์ถึงแม้ว่าจะผ่านเวลามานานนับพันปีแล้วก็ตาม ถัดจากตัวมหาวิหารเป็นลานกว้าง บนเนินเบื้องหน้ามีร้านอาหารเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ละเลียดไปกับการนั่งชมความงดงามโดยรอบ
จากจุดนี้อิชั้นเดินต่อขึ้นไปยังบริเวณยอดเขาสูง ซึ่งเป็นหน้าผาจุดชมวิวที่สวยจนแทบหัวใจหยุดเต้น เพราะเบื้องหน้ามันคือทะเลภูเขาที่ซ้อนติดกันสุดลูกหูลูกตาราวกับแกรนด์แคนยอน เสียงสายลมที่พัดมากระทบผิวกายสลับกับเสียงร้องของนกที่บินโฉบเฉี่ยวผจญไปมาตามร่องลม ทำให้จิตใจของอิชั้นแทบจะล่องลอยตามไปด้วย พลางหยุดคิดเพียงเสี้ยววินาทีว่าชั้นมาทำอะไรที่นี่ อะไรที่นำอิชั้นมาที่นี่ และอิชั้นเป็นส่วนไหนของมนุษย์บนโลกใบนี้กันแน่!
นั่งจินตนาการอยู่พักใหญ่ ก็ได้ยินเสียงฟาราซไกด์หนุ่มร้องเรียกหาอิชั้น เมื่อเดินกลับลงมาก็พบกับหนุ่มเลี้ยงแกะกำลังก่อไฟเพื่อต้มน้ำร้อนสำหรับชงชาอยู่บนเพิงหน้าผาเล็กๆ ข้างๆ กันมีฟาราซนั่งเหยียดขาอยู่บนเสื่อผืนยาว พร้อมด้วยหญิงสูงวัยคนหนึ่งที่นั่งเอามือชันเข่า พร้อมกับเอ่ยปากชวนให้อิชั้นมาดื่มชาผสมนมแพะด้วยกัน ซึ่งอากาศเย็นๆ ในช่วงบ่ายแก่ๆ เช่นนี้ การได้ดื่มชาร้อนๆ จึงช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น ท่ามกลางเสียงหนุ่มเลี้ยงแพะและฟาราซกำลังเกี้ยวพาราสีคุณป้าเภสัชกรชาวเยอรมันกันอย่างสนุกสนาน แต่งานนี้ต้องนับถือคุณป้าจริงๆ นะคะ ที่หอบร่างขึ้นมาถึงบนยอดเขานี้ได้ ขนาดอิชั้นวัยขนาดนี้ยังขอยอมแพ้ต้องเลือกขี่แม่ชากีล่าดองกี้เพื่อนสาวขึ้นมาเลย
เมื่อถึงเวลาใกล้พระอาทิตย์อัสดงพวกเราจึงต่างแยกย้าย และพากันเดินลงลัดเลาะมาตามไหล่เขาสูงชัน เพื่อเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านของฟาราซ ก่อนที่อิชั้นจะกลับโรงแรม โมฮัมเมดเพื่อนของโอมาร์พาไปสวัสดีพ่อกับแม่ของเขา พร้อมกับชวนกินอาหารพื้นเมืองมื้อค่ำ ท่ามกลางกองไฟที่ก่อขึ้นเพื่อสร้างความอบอุ่นยามค่ำคืน การเดินทางมาเยือนเปตราครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาระยะสั้นก็ถือว่าเป็นความประทับใจที่คิดว่าชาตินี้อิชั้นใช้ชีวิตคุ้มแล้ว ก่อนหลับตาลงในค่ำคืนสุดท้าย ณ โรงแรมแห่งใหม่ ท่ามกลางการโอบล้อมของขุนเขาลี้ลับสีชมพูที่มีชื่อว่า “เปตรา” ที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
Comments are closed.