By Lady Manager
เหลียวไปทางไหน ไม่เว้นแม้แต่บนทางเดิน ข้างบันไดเลื่อน ตามตลาดนัดแถวตึกออฟฟิศ เห็นขายเครื่องสำอางกันตรึม สาวๆ พอเห็นแพกเกจนางแบบหน้าเกาหลี ตัวอักษรกลมๆ เหลี่ยมๆ อ่านไม่ออก แต่ ‘อิน’ ซะแระ ยิ่งแบรนด์ฝรั่งดังๆ คุ้นๆ ไม่ทันพิจารณาให้รอบคอบ ก็คว้าสอยมาแล้ว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ราคาถูกกว่าเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า
โถ อย่าลืมว่าเรามีใบหน้าเดียวนะคะ กรุณาอย่า ‘งก’ กับเครื่องสำอางเด็ดขาด! มิฉะนั้นหน้าเห่อ เกิดอาการแพ้ สิวบุก จะกู้หน้าเดิมกลับมาใหม่ อาจต้องใช้เวลานานแรมปี
เราจึงขอเสนอวิธีเลือกเครื่องสำอางให้ปลอดภัยอย่างคนสวยและฉลาดเค้าทำกัน
วิธีแรก -> แหล่งขายน่าเชื่อถือเพียงใด?
เคาน์เตอร์แบรนด์ของเครื่องสำอาง เช่น ตามห้างสรรสินค้าชั้นนำ หรือบูธของเครื่องสำอางนั้นๆ มีความน่าเชื่อถือในการซื้อเครื่องสำอางมากกว่าตลาดนัด เพราะนอกจากเป็นสถานที่จำหน่ายสินค้าโดยตรงของแบรนด์นั้นเอง ยังมี tester ให้ลองก่อน
ทว่าในปัจจุบันมีช่องทางการขายเครื่องสำอางออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ โผล่ราวดอกเห็ด สาวๆ จำนวนไม่น้อยไม่ว่างออกไปช้อป สะดวกคลิกสั่งซื้อทางออนไลน์มากกว่า ก็ขอให้ใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อตามแหล่งซื้อขายที่มีความน่าเชื่อถือ มีสถานที่ตั้งและช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน มีบริการที่ดีทั้งในระหว่างการขายและหลังการขาย มีตัวแทนจำหน่าย สามารถคืนได้หากแพ้
วิธีสอง -> ผ่านการรับรองจาก อย. ล่ะยัง?
เห็นกันเกลื่อน! ตามร้านเปิดท้ายของห้างฯ หรือตามตลาดนัด แป้งพัฟ 50 บาท อายแชโดว์ 50 บาท ลิปสติก 5 แท่ง 100 บาท ทาวันเดียวติดทนไปสามวัน!!
กฎเหล็กเลยนะคะว่า เครื่องสำอางที่จะซื้อต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้ อาทิเช่น องค์การอาหารและยา (อย.) ดังนั้นก่อนจะควักเงินออกจากกระเป๋า รบกวนส่องหาเครื่องหมาย อย. บนฉลากเสียก่อน อย่าบุ่มบ่ามซื้อ ถ้าไม่มี อย.อย่าซื้อเด็ดขาด เพราะเครื่องสำอางที่ไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรอง อาจจะมีการผสมสารต้องห้ามที่เป็นพิษต่อร่างกาย ผสมสารปรอท คุณก็ทราบดีว่าพิษสงมันร้ายแรงขนาดไหน
อย่างกเงิน หรือคิดเพียงว่าราคาแค่นี้ ซื้อมาลองไม่เสียหาย แค่เงินไม่ถึงร้อยอาจทำคุณหน้าเน่า ยับเยิน ต้องเสียเงินเพื่อกู้หน้าเก่ากลับมาอีกเป็นปี จะไปฟ้องร้องใครก็ลำบาก เพราะไม่ไตร่ตรองก่อนซื้อเสียก่อน
วิธีสาม -> ต้องลองใช้ เกิดอาการแพ้ไหม?
ก่อนตัดสินใจซื้อไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์แบรนด์ คนดังใช้ หรือได้รับการรับรองจากหลายสถาบันชั้นนำ ก็อาจจะไม่ถูกกับผิวของเราได้ แล้วอาการแพ้ของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณๆ จึงควรทดสอบก่อน
สามารถทดสอบได้ง่ายๆ คือ การทาหรือฉีดลงบริเวณท้องแขน หลังหู หรือผิวเนื้ออ่อน ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น คัน เกิดรอยแดง ผื่นขึ้น บวม ระคายเคือง หรือแสบร้อน ควรหลีกเลี่ยงทันที
ทว่า หากจะทดสอบควรทดสอบเครื่องสำอางประเภทเดียว ไม่ควรลองหลายอย่าง หากแพ้เราจะได้ทราบว่าแพ้ตัวใด ยี่ห้อไหน
วิธีสี่ -> อ่านฉลาก หมดอายุเมื่อไร?
เครื่องสำอางมีอายุหลังการผลิตประมาณ 3-5 ปี ก่อนซื้อจงตรองดูก่อน
วิธีสังเกตเครื่องสำอางหมดอายุ ดูได้จากสี กลิ่น เนื้อของเครื่องสำอางไม่เหมือนเดิม ส่วนผสมแยกชั้น ตัดใจทิ้งเถอะ
หรือหากคุณเป็นคนขี้ลืม อาจเขียนวันที่เราเปิดใช้ครั้งแรกเอาไว้ เพื่อจะได้รู้อายุเครื่องสำอางและเตือนความจำได้ง่ายขึ้น อ่านข้อมูลและส่วนผสม ซึ่งจะบอกได้ว่าเครื่องสำอางนั้นมีส่วนผสมที่เราแพ้หรือเปล่า เช่น บางคนที่อาจแพ้เครื่องสำอางที่มีน้ำหอม หรือแอลกอฮอล์ เป็นต้น
นอกจากนี้ อีกส่วนที่เราควรให้ความใส่ใจก็คือบริษัทผู้ผลิต หรือบริษัทนำเข้า ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ เพื่อสอบถาม ร้องเรียนได้
วิธีใช้ของเครื่องสำอางในแต่ละประเภทไม่เหมือนกัน เราควรรู้ว่าต้องใช้ในปริมาณเท่าใด กี่ครั้งต่อวัน ต้องใช้ที่จุดไหนของร่างกาย เพื่อให้ใช้ได้อย่างถูกต้อง เช่น ครีมบางตัวทาร่วมกับครีมอย่างอื่นไม่ได้ก็มีนะ และอย่าอุตริเอาลิปสติกมาทาเปลือกตา เพราะเครื่องสำอางบางประเภทเอาไว้ใช้เฉพาะที่เท่านั้น
>> อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.