คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ที่บ้านพักอาศัยหลังน้อย ณ จังหวัดเชียงใหม่…หลายต่อหลายชีวิต ได้มานั่งทำงานร่วมกันภายใต้ชายคานั้น ต่างคนต่างลงมือปั้นงานในแบบของตนเองอย่างขยันขันแข็ง
ผลงานรูปช้างดินปั้นอันเป็นฝีมือของพี่ผู้หญิงซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เป็นช้างที่มีรูปทรงน่ารัก และตัวกลมป้อม บางตัวงวงบิดไปทางซ้าย บางตัวงวงบิดไปทางขวา บางตัวก็ชูงวงโค้งขึ้น และต่างก็มีดวงตาและริมฝีปากที่ยิ้มแย้ม
ส่วนตุ๊กตาดินปั้นรูปหมูนั้นก็สวยงามและน่ารักไม่ด้อยไปกว่ากัน ทั้งช้างและหมู รวมถึงตุ๊กตารูปสัตว์ต่างๆ จากฝีมือของช่างปั้นแต่ละคนนั้น ล้วนเป็นที่ถูกอกถูกใจต่อผู้ที่ได้พบเห็น เป็นอย่างมาก
ผู้ที่เคยมาเยี่ยมเยือนแทบทุกคน ต่างอดใจไม่ไหวที่จะอุดหนุนตุ๊กตารูปสัตว์ต่างๆ เหล่านี้กลับไปประดับประดาสถานที่ หรือ จัดแต่งสวนอันสวยงามของตน
ในจำนวนช่างปั้นหลายต่อหลายคนที่นั่งปั้นงานอยู่ด้วยกันทั้งหมด ฉันนับเป็นผู้ที่มาใหม่ที่สุด และมีประสบการณ์ในการปั้นงานน้อยที่สุด. อีกทั้งการปั้นงานของฉันยังปั้นด้วยวิธีการอันแตกต่างจากพวกเขาอย่างที่สุด
พวกเขาล้วนปั้นงานด้วยการขึ้นรูปในแบบกลวงๆ แล้ววนสูงขึ้นมาตามกรรมวิธีการเดียวกันกับของเพื่อนใจของฉัน
ส่วนฉันนั้น กลับมีวิธีการปั้นงานแบบ ปั้นขึ้นมาอย่างตันๆ แล้วปล่อยให้งานนอนไว้ รอให้ดินเริ่มคลายความชื้นและเซ็ตตัวแข็งเสียนิดหน่อยก่อน แล้วจึงค่อยมาจับดินนั้นขึ้นตั้งเป็นรูปทรงที่ต้องการต่อไป
ช่างปั้นหลายต่อหลายคนในนั้น ที่ถนัดในการปั้นรูปสัตว์ที่น่ารักต่างๆ ก็สามารถที่จะปั้นรูปคนได้ด้วย และพวกเขามักจะปั้นรูปเด็กๆ และเณร สลับกันไป ตามกรรมวิธีเดียวกันกับเพื่อนใจของฉัน แต่ไม่มีใครในที่นั้นที่จะหันมาปั้นงานเป็นรูปผู้หญิง แบบที่ฉันปั้นเลย
ฉันเคยลองถามเพื่อนใจ ของฉันว่า ทำไมไม่เห็นมีใครมาปั้นตามฉันบ้างล่ะ เพื่อนใจของฉันได้ตอบว่า งานปั้นในแบบของฉันเป็นงานที่ใช้อารมณ์ ความรู้สึก ทำตามลำบาก…ฉันรับฟังคำตอบนั้นไว้ด้วยใจที่จดจำ
ยิ่งใกล้วันที่จะแสดงงานเข้ามาเท่าไร งานต่างๆ ที่พวกเราตั้งใจทำกันขึ้นมาก็ถูกทยอยนำเข้าเตาเผาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนฉันก็มีหน้าที่ช่วยส่งการ์ดเชิญทำมือที่ช่วยกันทำ ด้วยการออกแบบง่ายๆ และราคาประหยัด ไปยังที่อยู่ต่างๆ ของผู้ที่เคยมาซื้องานและได้ให้นามบัตรไว้ เจ้าของนามบัตรทุกๆ ใบที่เคยได้รับมา จึงถูกส่งการ์ดเชิญไปถึงที่บ้านอย่างถ้วนทั่ว
แล้วก็ถึงวันที่เราต้องเริ่มออกเดินทาง…รถรับจ้างขนของขนาดใหญ่ ถูกว่าจ้างมาเพื่อการขนผลงานทั้งหมดลงไปยังกรุงเทพ ฯ ส่วนพวกเราเหล่าช่างปั้นทุกคนนั้น ก็เริ่มเดินทางไปตามแต่ความสะดวกของแต่ละคน ทว่าฉันกับเพื่อนใจนั้นได้เดินทางไปล่วงหน้าก่อน เพื่อจัดแต่งสถานที่
เมื่อวันเปิดงานมาถึง ฉันใส่ผ้าซิ่นป้ายๆ ที่ทำจากผ้าเนื้อนิ่ม เสื้อสีเนื้อลายผ้าลูกไม้ที่ซื้อหามาจากร้านที่ขายเสื้อในแบบทางเหนือ
ฉันก็ยังติดที่จะใส่และยืนอยู่บนรองเท้าส้นสูงปรี๊ด แต่เสื้อนั้นมีแต่รอยพับยับย่น…เนื่องจากไม่มีแม้แต่เวลาจะรีดเสื้อ
เพราะเราช่วยกันตระเตรียมบรรยากาศในการแสดงผลงานให้สวยงามจนนาทีสุดท้าย
เมื่อท่านประธานผู้ให้เกียรติมาเปิดงานมาถึง และการกล่าวเปิดงานเสร็จสิ้นลง พวกเราก็เดินตามประธานไปเรื่อยๆ เพื่อคอยตอบคำถามในสิ่งที่อยากรู้
ในครั้งนั้นประธานที่มาเปิดงาน คือ อาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร เวลานั้นฉันเองยังไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน แต่รับรู้ในความใจดีและมีน้ำใจที่แผ่รังสีออกมาให้รู้สึกได้อย่างชัดเจน ครานั้นท่านได้กล่าวกับฉันว่า “งานดีนะ” ซึ่งทำฉันรู้สึกดีใจและได้แต่ยิ้ม…
นอกจากกลุ่มของพี่ๆ ที่เป็นผู้สนับสนุนซื้องานรูปเด็กและเณรของเพื่อนใจของฉันมาก่อน ที่ได้มาร่วมในพิธีเปิดงานและได้พาเพื่อนๆ ของเขามากมายหลายคนให้มาช่วยกันอุดหนุนจับจองผลงานกันอย่างคับคั่งแล้ว
ฉันก็ยังได้รู้จักผู้คนใหม่ๆ อีกหลายต่อหลายคนจากการเปิดงานในครั้งนั้น บางคนก็นิยมชมชอบในรูปสัตว์ที่น่ารักต่างๆ ของช่างปั้นคนอื่นๆ บางคนก็ชอบงานรูปเด็กและเณร ของเพื่อนใจของฉัน และบางคนก็มาชมชอบในงานปั้นรูปหญิงสาวของฉัน
พิธีการเปิดงานได้ผ่านไปอย่างอบอุ่น เพราะบรรดาแขกเหรื่อผู้มาร่วมงานและอบอุ่นด้วยความเมตตาอารีจากผุ้เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าเกษรพลาซ่าในขณะนั้น
ช่างปั้นทุกคนที่ได้มาเปิดตัวในงานต่างรู้สึกเป็นสุขและภูมิใจในผลงานของตัวเองที่เดินทางไกลมาสู่สาธารณะชน อีกทั้งยังหมายถึงการได้มาเก็บเกี่ยวรายได้อันเป็นกอบเป็นกำจากผลงานอันมาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองอีกด้วย
หลังจากวันเปิดงานช่างปั้นต่างก็ต้องแยกย้ายกันกลับไปก่อน ส่วนฉันและเพื่อนใจมีหน้าที่ที่จะต้องอยู่ต่อในการเฝ้าผลงานที่ยังเปิดแสดงไปอีกหลายวัน
เพื่อนใจของฉันมีหน้าที่ในการนั่งปั้นงานสาธิตแก่ผู้ที่ผ่านไปมา อยู่ในบริเวณงานนั้นเอง…ในระหว่างนั้นฉันจะมีความสุขอยู่กับการได้จัดดอกไม้ เติมน้ำเพื่อทดแทนน้ำเดิมที่ระเหยออกไปและนำดอกไม้สด มาจัดแต่งประดับประดาตามชิ้นงานต่างๆ และได้พูดคุยกับผู้ชมงานที่มีโอกาสแวะผ่านมา เมื่อเห็นรูปปั้นดินเผาที่วางเรียงรายอยู่ ก็เดินไถลเข้ามาชมอย่างไม่ตั้งใจ กลายเป็นค่อยๆ มองงานแต่ละชิ้นๆ ด้วยความสนใจ ซึ่งฉันแอบมองพวกเขาอย่างมีความสุข
จากข่าวสารการแสดงงานในครั้งนั้นที่ทางห้างสรรพสินค้าได้ประชาสัมพันธ์ข่าวออกไป ทำให้มีผู้สนใจและสื่อต่างๆ ได้สนใจเข้ามาเยี่ยมชมในงาน และในครั้งแรกนั้น มีสื่อมวลชนซึ่งได้เห็นงานปั้นรูปหญิงสาวของฉันและให้ความสนใจ เมื่อได้ทราบว่าฉันไม่ได้ผ่านการเรียนศิลปะมาก่อน เป็นเพียงชาวกรุงเทพฯและเคยทำงานในบริษัท ที่ได้ลาออกมาทำงานเช่นนี้
ฉันเองก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะช่างปั้นชาวบ้านหลายคนที่มาร่วมแสดงผลงานด้วยกันและพวกเขาเองก็ไม่ได้ผ่านการเรียนในโรงเรียนศิลปะมาเช่นเดียวกันกับฉัน แต่พวกเขาทำไมจึงไม่ได้รับความสนใจ
หรืออาจจะเป็นด้วยชีวิตที่พลิกผันของฉันนั่นเอง ที่ทำให้ฉัน กลายเป็นที่น่าสนใจ..ฉันคิด
งานของฉันหลายต่อหลายชิ้นได้ถูกพี่ๆ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนซื้อผลงานของเพื่อนใจของฉันมาเก่าก่อน ได้พาเพื่อนๆ ของเขามาช่วยกันจับจองและอุดหนุนงานของฉัน ซึ่งมีจำนวนชิ้นงานไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ไปจนหมดสิ้น
ฉันแสนจะขอบคุณและซึ้งในน้ำใจไมตรีของพี่ๆ ชาวกรุงผู้มากไปด้วยน้ำใจอันงดงามเปี่ยมล้น
และงานชิ้นใหญ่ที่สุดที่ฉันได้ทดลองพากเพียรทำขึ้นเป็นชิ้นแรกในชีวิตนั้น ก็ได้ถูกซื้อหาจับจองไปโดยพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งเพิ่งมารู้จัก และเธอท่านนั้นเป็นทายาทของเจ้าของเครื่องดื่มชูกำลังอันมีชื่อก้องของบ้านเราในขณะนั้น
ฉันเองอธิบายงานไป แต่ก็ได้ตำหนิฝีมือในการปั้นอันไม่สมสัดส่วนของตนเองต่อหน้าเธอ และรู้สึกขอบคุณเธออย่างล้นเหลือ..
เวลาทำงานนั้นฉันมักจะมีความมั่นใจในตนเอง แต่เมื่อเวลาที่มีผู้มาชื่นชมและซื้อผลงาน ฉันมักจะตำหนิในฝีมือที่ยังเต็มไปด้วยความบกพร่องของตนเองอยู่เสมอๆ…
การแสดงผลงานในครั้งแรก ที่ฉันได้เข้าร่วมนั้น ได้จบลงอย่างอบอุ่นยิ่งนัก
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.