คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในแต่ละวัน แต่ละวัน ชีวิตประจำวันของฉัน ที่บ้านหลังน้อยนี้นั้น ฉันมักจะปัดกวาดบ้านเรือนให้สะอาดและสวยงามอยู่เสมอ ดอกไม้จากรอบๆ บ้านจะถูกเด็ดมาไว้ปักในแจกัน ให้เกิดความรื่นรมย์แก่สายตาเมื่อมองไปพบเห็น และมักซื้อหาพวกมาลัยพวงเล็กๆ มาถวายพระ โดยแขวนที่หิ้งพระของบ้านเสมอๆ
เสียงดนตรีก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แทบไม่เคยขาดหายไปจากบ้าน ท่ามกลางแมกไม้ที่บดบังบ้านเมื่อมองจากรั้วภายนอก
ฉันมักจะได้ยินเสียงแว่วมาของดนตรีอยู่เสมอ หากเสียงดนตรีนั้นแทรกซึมลงไปในเนื้อไม้อันเป็นตัวบ้านได้แล้วไซร้ บ้านของฉันคงซึมซับไว้แต่ความไพเราะของเสียงเหล่านั้นจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
มีหลายต่อหลายครั้งที่ฉันฟังเพลงแล้วเกิดแรงบันดาลใจนำมาทำเป็นงาน นอกจากเสียงเพลงจะช่วยขับกล่อมอารมณ์ให้มีความสุขแล้ว มันยังมีคุณประโยชน์อเนกอนันต์ต่อฉันเป็นอย่างมากในเรื่องของการงานด้วยเช่นกัน ดังนั้นในขณะเวลาที่กำลังทำงานนั้นจะขาดซึ่งเสียงดนตรีไปไม่ได้เลย
แต่นอกจากจะชอบฟังดนตรีอย่างขาดเสียไม่ได้แล้ว สิ่งหนึ่งซึ่งอยู่กันคนละฟากกับความรื่นรมย์ คือการฟังธรรมะ โดยการเปิดวิทยุฟังเสียงพระเทศน์ก็นับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน
ฉันมักจะฟังธรรมะในขณะที่เดินออกกำลังกายตอนเช้าตรู่ และในขณะเวลาที่ทำกับข้าวหรือทำงานบ้านนั่นเอง…
ฉันทำหน้าที่ทุกๆ อย่างในบ้านด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า ล้างจาน และทำกับข้าว ความมีระบบระเบียบในแบบของตนเองได้ค่อยๆถูกก่อตัวขึ้น
ความรื่นรมย์บันเทิงใจ และความสงบเย็นนั้น ดูช่างเป็นสองสิ่งที่อยู่กันคนละฟากฝั่งกันหากถูกนำมาเปรียบเทียบโดยใช้ความรู้ทางศาสนามาเป็นตัวกำหนด และฉันก็มีความรักและปรารถนาในสิ่งทั้งสองที่กล่าวมานี้ เหมือนดังตาชั่งที่บรรจุสิ่งของทั้งสองฟากฝั่งนี้ไว้ด้วยกันอย่างเท่าเทียม
ในทุกๆ ปี ฉันจึงแบ่งเวลาสำหรับตัวเองเพื่อไปปฏิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ ปีละหนึ่งครั้ง และในโอกาสพิเศษที่ฉันอยากไป..
เพียง7วันของการจากบ้านเพื่อไปปฏิบัติธรรมของฉันนั้นไม่มีเสียงของดนตรีใดๆ แทรกเข้าไปในการรับฟัง คงมีแต่การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมและฟังเทศน์เท่านั้น
ระยะเวลาแห่งการปลีกตัวออกจากบ้านเรือนและความเคยชินส่วนตัว เพื่อไปหยุดนิ่งดูกายกับใจ ของตนเองอย่างไร้สิ้นการปรุงแต่งในแต่ละคราวนั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อจิตใจของฉันเป็นอย่างมาก
เพราะมันเป็นช่วงที่ทำให้ได้หยุดคิด หยุดฝัน หยุดที่จะรักษาความเป็นตัวตนของตัวเองไว้ได้ในชั่วขณะหนึ่ง
ฉันได้เห็นตนเองและคนอื่นๆ ว่าแท้จริงแล้วเราต่างเป็นเพื่อนร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
การเรียนรู้ธรรมะทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการมีชีวิตที่สันโดษเรียบง่าย รู้จักที่จะหาความสุขได้จากสิ่งง่ายๆ รอบๆ ตัว ไม่ว่าฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน ว่าธรรมชาติของสิ่งต่างๆ เป็นเช่นไร และทำใจยอมรับกับธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ความรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตนและเข้าใจในสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น ช่วยให้ฉันมีชีวิตที่เป็นทุกข์น้อยลง แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ฉันมักทุกข์เพราะความคิดของตนเอง ฉันก็ใช้ธรรมะนั่นเองเป็นสิ่งเยียวยาแก้ไขจิตใจของฉันให้รู้สึกดีขึ้นได้ในที่สุด
เมื่อกลับออกมาจากการปฏิบัติธรรมในทุกๆ ครั้งฉันจึงรู้สึกอบอุ่นใจในการที่จะดำเนินชีวิต..ที่ไม่รู้ว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า
ฉันมักออกจากบ้านแทบทุกๆ วัน การออกไปนั้นมักไปในที่ซ้ำๆ กัน เช่น ท้องทุ่งนา และตลาด เพียงสองสิ่งนี้ก็ถือเป็นการพักผ่อนง่ายๆ และไม่สิ้นเปลืองยุ่งยาก
แต่ฉันไม่ค่อยได้ออกไปงานสังคมบ่อยนัก จนกระทั่งมีคำพูดของผู้ที่เอ่ยผ่านมาให้ได้ยินถึงหูของฉันว่า “ไม่เคยเห็นตัวขององุ่นเลย เคยเห็นก็แต่งาน”
ในชีวิตประจำวันนั้นฉันมักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆและรองเท้าแตะ หน้าตาปราศจากการฉาบทา จะมีก็แต่เพียงรอยยิ้มเท่านั้นที่เป็นราวเครื่องประดับหรืออาภรณ์ที่สวยงาม อันส่งผ่านออกมาจากใจของฉัน
บางขณะฉันพยายามไตร่ตรองมองลึกๆ เข้าไปในตนเองแล้วพบว่า ฉันเป็นคนที่ยังมากมีและชื่นชอบไปด้วยความบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ อยู่เป็นอันมาก ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี ความรักในสิ่งสวยงาม ความรู้สึกแห่งการหลงรักที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของฉันได้นานวันเลย และฉันก็ปล่อยจิตใจให้เพลิดเพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น จนขับกลั่นออกมาเป็นการงาน
งานปั้นรูปหญิงสาวหลายต่อหลายชิ้นของฉัน ถูกปั้นออกมาด้วยห้วงภวังค์แห่งความรู้สึกอันสุนทรีเหล่านี้นี่เอง
พวกหล่อนเปลือยกาย บ้างอวดรูปโฉมโนมพรรณด้วยความภาคภูมิใจในความงามของตน บ้างเจือไปด้วยจริตกิริยาแห่งหญิงสาว ที่ล้วนเกิดมาจากแรงผลักจากส่วนลึกในจิตใจของฉันนั่นเอง
แต่แม้จะเต็มไปด้วยจริตกิริยาเย้ายวนแห่งหญิงสาวมากเท่าไร ทว่าหญิงสาวในงานปั้นของฉันก็ถูกครอบคลุมไว้ด้วย ลีลาอารมณ์แห่งความสงบผสมไว้ควบคู่กันเสมอ
ฉันหวนคิดถึงคำพูดของหญิงสาวผู้หนึ่งที่ได้บอกกับฉันในระหว่างที่เราได้พบเจอและสนทนากันว่า
เมื่อเธอเห็นงานปั้นรูปหญิงสาวของฉัน เธอรู้สึกถึงความเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์เย้ายวนชวนให้ลุ่มหลงอยู่ในงานของอย่างแจ่มชัด แต่เหตุไฉนเธอก็เห็นความใสซื่อและดูเป็นเด็กปะปนอยู่ในงานด้วย
ทั้งสองสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง แต่มันกลับมาอยู่ในงานของฉันได้อย่างผสมกลมกลืน นั่นคือสิ่งที่เธอตั้งคำถามต่อฉัน
เมื่อฉันมานึกตรึกตรองเพื่อค้นหาคำตอบ คำตอบที่น่าจะให้กับตัวฉันเองและผู้ถามได้เป็นอย่างดีก็คือ..
การเรียนรู้ธรรมะ ช่วยให้ฉันเรียนรู้วิธีที่จะเข้าถึงและถอยออกมาจากสิ่งที่ฉันรู้สึกและทำออกมาเป็นงาน ไปจนถึงรักษาสมดุลย์ให้กับชีวิตตัวเอง
เพราะการเรียนรู้ธรรมะช่วยให้ฉันชุ่มเย็นและมีความทะเยอทะยานอยากในสิ่งต่างๆ ลดลง สามารถอยู่กับชีวิตในปัจจุบันขณะได้อย่างเคารพในความเป็นไปของมัน
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน และ องุ่น
รู้จัก… องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.