ART EYE VIEW—ในร้านเล็กๆที่นับตั้งแต่ป้ายชื่อร้าน ผนังร้าน เสื้อยืด ฯลฯ เสมือนบอกย้ำให้ผู้ไปเยือนทิ้งวันวานไว้ข้างหลัง และอย่าไปกังวลกับวันพรุ่งนี้
แต่แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ผ่านมาหลายปีของเจ้าของร้านได้ถูกเล่าใหม่ เมื่อถูกลูกค้า ถามถึงที่มาก่อนจะมาเป็นร้าน
ร้านขายของที่ระลึก….รูปแบบและดีไซน์ธรรมดา
ร้านขายเครื่องดื่ม….วิธีชงง่ายๆรสชาติธรรมาดา
จากใจเจ้าของร้าน ผู้หญิงธรรมดาที่มีแต่ความตั้งใจ
เป็นความจริงที่เมื่อกวาดตามมองพอคร่าวๆ ทุกอย่างในร้าน TODAY café ของ แช – วรวรรณ ยงเกียรติไพบูลย์ ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากร้านขายกาแฟเล็กๆที่มีมุมขายของที่ระลึก ดังเช่นหลายๆร้าน
แต่เมื่อทราบว่าทุกรายละเอียดก่อนจะก่อรูปเป็นร้านหนึ่งร้าน รวมถึงของที่นำมาขาย ส่วนใหญ่เธอเป็นคนทำมันขึ้นมากับมือ อีกทั้งไม่ได้เร่งขาย ทว่ารอให้มันได้เจอเนื้อคู่ของมัน ฉันก็ชักจะรู้สึกพิเศษกับของธรรมดาเหล่านี้
“เป็นคนชอบร้านกาแฟ ชอบงานประดิษฐ์ ชอบศิลปะอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่
วันนึงจึงไปลองเปิดร้านที่ถนนข้าวสาร ตรงวัดชนะสงคราม เปิดข้างทาง ตั้งโต๊ะขายให้ฝรั่ง อยากเปิดร้านกาแฟ แต่ไม่มีเวลา จนปี 43 ก็ได้เจอแฟน ดูใจกันมาเรื่อยๆ พอปี 45 สีลมเปิดถนนคนเดินทุกวันอาทิตย์ เราก็เลยทำสร้อยถักจากไยกัญชาไปขาย แล้วปิดร้านที่ข้าวสาร เพราะที่ผ่านมาขายตั้งแต่สี่ทุ่มถึงตีห้า สุขภาพไม่ไหว”
กระทั่ง ปี 46 เธอและคนรักได้ย้ายไปปักหลักอยู่ที่ อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน นานหลายปี
“ตอนนั้นขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ เพื่อนก็เลยแนะนำว่าขึ้นไปปายสิ เดินทางแค่ 4 ชั่วโมง ก็เลยขึ้นไปปาย พอไปเห็นบ้านให้เช่า 2,000 บาท แฟนก็ไม่คิดอะไรเลย จ่ายตังส์แล้วลงมาเก็บของที่กรุงเทพฯ แล้วขึ้นไปอยู่ที่ปาย และทำของขาย ตั้งแต่ปี 46 ตอนแรกไปเพื่อทำร้านกาแฟ
ตอนแรกไปอยู่ตรงจุดที่เลยวัดแม่เย็นไป เปิดร้านอยู่ได้ 3 ปี เค้าอยากจะขึ้นค่าเช่า เราก็เลยขยับมาอยู่ในเมืองในตลาดเทศบาล อยู่ได้ประมาณ 3 เดือน เลยย้ายมาอยู่ที่สุดท้าย ใกล้ร้านส้มตำหน้าอำเภออีกประมาณ 4 ปี”
รวมเป็นระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 8 ปี ที่แชและคนรักไปอยู่ที่ปาย โดยเปิดร้านขายของที่ระลึกซึ่งมีชื่อว่า Together ก่อนจะหันหลังให้ที่นั่น แล้วเดินทางกลับมากรุงเทพฯ
ไม่ใช่เพราะเป็นช่วงเวลาที่ใครๆต่างก็บอกว่า “ปายเปลี่ยนไป” แต่หลายอย่างหลายเหตุการณ์ รวมถึงระยะเวลา ทำให้ชีวิตมาถึงจุดที่ต้องคิดทบทวน
“ตั้งแต่ปี 52 เริ่มคุยกับแฟนแล้วว่า เราเป็นใคร เป็นคนกรุงเทพฯซึ่งทดลองไปใช้ชีวิต ทำให้เริ่มตั้งคำถาม กระทั่ตัดสินใจกลับมาอยู่ที่กรุงเทพฯ
ปายเปลี่ยนไป ใครก็พูดกันอย่างนี้เนอะ แต่เราก็แค่รู้สึกว่า มันก็เปลี่ยนไปตามเวลาของมัน และเราสองคนก็เปลี่ยนเหมือนกัน
(เปลี่ยนไปทางไหน?) เครียดทุกอย่าง ทำทุกอย่าง เพื่อให้มันได้สตางค์ เราสองคนจึงเริ่มรู้สึกว่ามันไม่แฮปปี้เลย มันเครียดแบบไม่รู้ตัวอะไรอย่างนี้ค่ะ
แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุ แฟนขี่มอเตอร์ไซค์ล้ม ไฟปลาร้าหัก เข้าโรงพยาบาลที่นู่น แล้วลงมารักษาที่กรุงเทพฯ พอดีขึ้น มีคนแนะนำให้ไปบวชล้างซวยประมาณนั้น บวชอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ พอเขากลับขึ้นมาปาย เราก็เลยตัดสินใจ คุยกันว่า เราจะอยู่ที่ปายปีสุดท้ายแล้วเนอะ กลับบ้าน ไปอยู่กรุงเทพฯดีกว่า อยู่ที่นู่น พอแล้วสำหรับเรา
กลับมาอยู่บ้านพ่อที่ฝั่งธน ตั้งใจว่าเดี๋ยวจะรับงานทำสมุด ทำอะไรส่งก็ได้ เพราะเราชอบทำสมุด ขณะที่แฟนก็อยากไปทางธรรมะแล้ว”
ดังนั้นการทิ้งปายกลับมากรุงเทพฯ จึงเป็นการกลับมาเริ่มต้นใหม่เพื่อทำสิ่งที่แชและคนรักอยากทำอย่างแท้จริง
“กลับมาเพื่อทำสิ่งที่เค้าอยากทำ และเราอยากทำ เหมือนว่าที่ผ่านมาที่เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน มันเป็นแค่การเรียนรู้ว่าเราเป็นยังไง เค้าเป็นยังไง เราสองคนชอบอะไรเหมือนกันจริงหรือเปล่า
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เราอยู่ด้วยกันตลอด ในที่สุดเราก็ได้คำตอบว่า เราสองคนชอบอิสระ
พอเราได้แยกกันไปตามทางที่ตัวเองชอบ มันเหมือนเริ่มคิดได้ว่าที่ผ่านมามันอึดอัด เราใช้ชีวิตแบบดึงกันไปมาตลอด แต่เมื่อเราปล่อยให้เราทั้งคู่ต่างมีอิสระ ไปตามทางที่แต่ละคนเลือก ถามกันว่าเธออยู่ได้ใช่ไหม โอเคนะ ไม่ต้องห่วง”
ทว่าทุกวันนี้ทั้งเธอและอดีตคนรัก ก็ยังไปมาหาสู่กันเช่นเคย รวมถึงการทำร้าน ซึ่งก่อนนี้พยายามหาพื้นที่สำหรับเช่าเพื่อทำร้านอยู่นาน จนมาได้ที่ตึก บริเวณถนนผ่านฟ้า อดีตคนรักของเธอก็ยังมีส่วนช่วยแปลงห้องโทรมๆ ให้กลายเป็นร้านน่านั่ง
“ลงมาอยู่กรุงเทพฯได้ปีนึง ก็พยายามหาในเน็ตว่าจะมีตึกตรงไหนพอจะให้เช่าทำหน้าร้าน ก็เลยมาเจอตรงนี้ ปี 54 ให้ช่างมาทำให้อยู่ 1 เดือน แค่ 10 % ที่เหลือเราทำเองอยู่ 1 ปี เพราะตอนแรกสภาพมันไม่ใช่แบบนี้เลย”
ทว่าชื่อร้าน Together จากในอดีตที่เคยเป็นเจ้าของร่วมกัน มาวันนี้ได้ถูกเปลี่ยนเป็น TODAY café
“สองปีแรกก็ยังใช้ชื่อเดิมอยู่ แฟนก็ยังช่วยทำ แต่เราเป็นคนไปบอกเขาเองว่าขอเปลี่ยนเป็น TODAY นะ เพราะมันไม่ใช่ Together แล้วไง ฉันขออยู่กับวันนี้ เหมือนเธอเองก็ต้องอยู่กับวันนี้ของตัวเองเช่นกัน
แฟนไปเป็นเหมือนโยมอุปฐากให้กับพระ ไปสร้างพระพุทธรูป เป็นอีกทางที่เราไม่คิดว่าเขาจะเป็นอย่างนั้นได้ ขณะที่เราก็ทำร้านของเราไป”
ร้านที่มีกาแฟ งานประดิษฐ์ และงานศิลปะ สิ่งที่เจ้าของร้านชอบและบอกไปก่อนหน้านี้
“ เราชอบประดิษฐ์ มีทักษะในการตัดกระดาษ เย็บผ้า แรกๆก็อาจจะทำไม่สวย แต่หลังๆก็เริ่มเป็นชิ้นงาน
ส่วนงานเพ้นท์ เริ่มมาจากตอนทำร้าน เศษไม้เหลือ ก็เลยคิดว่า เดี๋ยวลองมาตีเป็นเฟรม ถามตัวเองว่า แล้วเราจะวาดอะไร ก็เลยลองวาดจากสิ่งที่เราเคยเห็น เคยรู้สึก หยดสี วาด ป้าย ไม่ได้คิดเลยว่ามันจะสวยหรือไม่สวย แต่เราก็พยายามลอง เพื่อที่คราวหน้าเราจะได้มีวิธีการใหม่ๆ เหมือนว่าถ้าสิ่งไหนถ้าเราไม่เคยลองทำ เราก็ลองทำดู ไม่ได้หวังผลเรื่องการขายหรือคำชม แค่รู้สึกว่า ทำเสร็จแล้วเอามาติด ผนังร้านจะได้ไม่โล่ง มีสีสัน เหมือนชีวิตเรายังขาดอะไรอยู่บ้างก็หามาเติม และจะว่าไปงานของเรามันจะเหมาะกับร้านของเราอย่างเดียว”
เมื่อได้ทดลองทำหลายอย่างในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเป็นแค่สิ่งที่หมุนเวียนทำไปในร้านเล็กๆ แห่งนี้ เธอก็ยิ่งพบคำตอบว่า ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลยจริงๆ
“เราไม่ได้ตั้งคำถาม แต่เราเข้าใจมากกว่า ตอนอยู่ที่ปายร้านของเราก็เป็นอารมณ์นี้มาตลอด ถึงแม้ว่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึก เรากับแฟนเหมือนกันตรงที่ พอเปิดร้านมาลูกค้าจะเข้ามานั่งคุยกันไปได้ทุกวัน จนเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง แต่ละวันที่คนเข้า เราได้เรียนรู้ทุกวันว่า คนเราไม่เหมือนกัน
พอเราเรียนรู้ไปเรื่อยๆ จากที่เคยแบบว่า ทำไมคนนี้เป็นแบบนี้ ทำไมคนนั้นเป็นแบบนั้น สุดท้าย..คนเราไม่เหมือนกัน แล้วเรารับได้ไหม
เราแค่รู้สึกว่า เราต้องรู้จักตัวเองก่อน เข้าใจตัวเองก่อน ว่าเราเป็นใคร มาจากไหน ทำอะไร ชอบอะไร เราจะได้เดินไป คนที่เค้าเห็น เค้าสัมผัส เค้าจะรู้สึกเอง ว่าเราไม่ได้หลอกตัวเอง คิดแบบนี้ ถึงไม่รวยสักที(หัวเราะ)
ดังนั้นเวลามีสื่อหลายเล่มมาขอสัมภาษณ์ แม้จะเป็นแค่การแนะนำร้านเล็กๆร้านหนึ่งพอคร่าว เธอจึงไม่สะดวกใจจะให้สัมภาษณ์เท่าไหร่ เพราะเธอบอกว่า มันเป็นแค่ร้านเล็กๆร้านหนึ่ง ที่โอบอุ้มชีวิตของเจ้าของร้านเอาไว้เท่านั้น อาจไม่สวยงามอย่างที่ใครหลายคนคิดว่าควรจะเป็น
“จริงๆก็อยากให้คนช่วยประชาสัมพันธ์ เพื่อให้มีคนหลายกลุ่มเข้ามา ทุกวันนี้ลูกค้าส่วนใหญ่ยังเป็นชาวต่างชาติ แค่เราทำคนเดียว ทำได้แค่นี้”
อย่างที่บอกไป หลายสิ่งในร้านเสมือนบอกย้ำให้ผู้ไปเยือนทิ้งวันวานไว้ข้างหลัง และอย่าไปกังวลกับวันพรุ่งนี้ จึงได้ถามเธอว่า เจ้าของร้านพอใจกับชีวิตใน “วันนี้” ของตัวเองแค่ไหน
“ถ้ามองว่าอยู่คนเดียวแล้วเหงา แต่ในความจริง ตอนที่อยู่สองคน หรืออยู่หลายคน เราก็ยังเหงา เราเลือกชีวิตแบบนี้ มันก็มีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง เหงาบ้าง เหมือนชีวิตของทุกคนในสังคม เวลาเหงาก็แค่ไปเดินเล่น ไปหาพ่อกับแม่
เรารู้ว่าทางออกของเราคืออะไร เวลาแม่ป่วยเราก็เป็นคนที่คอยรับอาสาพาไปโรงพยาบาล บางทีแม่ก็เป็นฝ่ายมาหา เวลาไม่มา เราก็อยู่ขอเรา ทำงานของเรา ไม่ให้เค้าต้องเป็นห่วง
ว่าไปแล้ว พ่อแม่เราก็ค่อนข้างอินดี้ ทุกอย่างที่เป็นเรา มันมาจากพ่อแม่ เค้าใช้ชีวิตแฮนด์เมดแบบนี้มาเหมือนกัน พ่อเป็นคนชอบซ่อมนู่น ซ่อมนี่ ทำของใช้เอง ต้องใช้น็อตเล็ก น็อตใหญ่ หรือเจาะสว่าน เราก็เคยเป็นลูกมือ และแม่ก็เป็นแม่บ้าน ชอบเย็บผ้า เรื่องงานฝีมือ เราก็ได้มาจากแม่”
อาจไม่รู้ตัวว่าชอบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เธอพอจะนึกออกแล้วว่าชอบเพราะใคร หลายสิ่งในชีวิตทุกวันนี้ของตนเอง
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
Comments are closed.