>>หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าวันที่ 20 มีนาคมของทุกปีเป็นวันทันตสาธารณสุขโลก หรือ World Oral Health Day หลายประเทศจะมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปาก ทั้งนี้เพราะปัญหาช่องปากนับเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดของโลก เกินครึ่งของประชากรโลก หรือกว่า 3,900 ล้านคนมีปัญหาสุขภาพช่องปาก จากรายงานขององค์การอนามัยโลกพบว่าโรคฟันผุและโรคเหงือกนับเป็นโรคที่พบมากเป็นอันดับที่ 1 และอันดับที่ 6 ของโลก และยังพบอีกว่าประชากรโลกกว่า 90% เป็นโรคเหงือกทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
โรคเหงือก อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คงไม่อันตรายอะไร แต่รู้หรือไม่ว่าหากปล่อยให้เป็นโรคเหงือกที่เรื้อรังและรุนแรง อาจส่งผลถึงตายได้ และอาจมีผลกับทารกในครรภ์ของคุณแม่ด้วย
โรคเหงือกแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ เหงือกอักเสบ กับปริทันต์อักเสบ
เหงือกอักเสบ เป็นอาการเริ่มต้นของโรคเหงือกซึ่งสังเกตได้ง่ายๆ คือ สีของเหงือกจะเปลี่ยนไปจากสีชมพูสดใสกลายเป็นสีแดงหรือแดงเข้มจนอาจดูม่วงคล้ำได้เลยทีเดียว จากเหงือกที่ดูบางแบนกดแล้วแน่นๆและเด้งกลับได้จะกลายเป็นเหงือกที่หนา เต่ง กดแล้วนิ่มยวบ ที่สำคัญคือจะพบอาการเลือดออกได้ง่ายเพียงแค่แปรงสีฟันไปสัมผัสโดนก็มีเลือดออกแล้ว เหงือกอักเสบสามารถหายได้เพียงแค่เราดูแลรักษาความสะอาดของเหงือกและฟันอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และสม่ำเสมอ
ปริทันต์อักเสบ คืออาการที่ลุกลามต่อจากเหงือกอักเสบจนเกิดการละลายตัวของกระดูกที่หุ้มรากฟัน ฟันของเราจึงคล้ายกับท่อนไม้ที่ปักอยู่บนดินเลน เกิดการโยกคลอนได้ง่าย หากไม่ได้รับการรักษาอาจส่งผลให้ต้องถอนฟันในที่สุด หากปล่อยให้เกิดปริทันต์อักเสบแล้วจะไม่สามารถรักษาให้เหงือกและฟันกลับมาดีดังเดิมได้ ลักษณะที่เห็นได้ง่ายของปริทันต์อักเสบคือเหงือกร่น ฟันโยกคลอน มีกลิ่นปากที่รุนแรง เหงือกมีเลือดออกได้ง่ายมาก ยิ่งไปกว่านั้นปริทันต์อักเสบที่รุนแรงยังมีความสัมพันธ์กับโรคร้ายแรงอีกหลายโรค เพราะแบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดผ่านทางแผลบริเวณเหงือกนั่นเอง โรคร้ายแรงดังกล่าว ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูห์มาตอย โรคปอดอักเสบ และยังอาจส่งผลแทรกซ้อนต่อการตั้งครรภ์ของคุณแม่ เช่น คลอดก่อนกำหนด ทารกแรกคลอดน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ได้อีกด้วย
เราจึงควรดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยให้เป็นโรคเหงือก เพราะนอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงข้างต้นแล้วยังส่งผลต่อบุคลิกภาพของคุณอีกด้วย เช่น เมื่อเหงือกร่นจะทำให้เราดูแก่ลงมากและเหงือกที่ร่นแล้วไม่สามารถกลับมาดีดังเดิมได้
การดูแลอนามัยช่องปากควรเริ่มต้นตั้งแต่การแปรงฟันที่ถูกวิธีให้ฟันสะอาดอย่างทั่วถึง และควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความสะอาดระหว่างซอกฟันทุกซี่อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดคราบแบคทีเรียหรือไบโอฟิล์มออก เพราะคราบไบโอฟิล์มนี้เองเป็นต้นเหตุของโรคฟันและโรคเหงือกจากสารพิษที่แบคทีเรียปล่อยออกมา
นอกจากการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันแล้ว น้ำยาบ้วนปากนับเป็นตัวช่วยหนึ่งที่สำคัญในการดูแลสุขอนามัยช่องปาก จากที่กล่าวมาข้างต้น คนส่วนใหญ่มักคิดว่าตนเองแปรงฟันได้ดีแล้วทั้งที่ในความเป็นจริงยังแปรงได้ไม่สะอาดพอและยังขี้เกียจใช้ไหมขัดฟันอีกด้วย น้ำยาบ้วนปากจะเข้ามามีบทบาทสำคัญทันที เนื่องจากน้ำเป็นของเหลวจึงสามารถซอกซอนไปได้ตามพื้นผิวทั่วไปในช่องปาก ในน้ำยาบ้วนปากมักผสมสารระงับเชื้อหรือสารแอนตี้แบคทีเรียซึ่งช่วยลดเหงือกอักเสบได้ สารเหล่านี้จะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคเหงือกที่หลงเหลืออยู่หลังการแปรงฟัน และยังกำจัดแบคทีเรียในบริเวณอื่นๆ เช่น เหงือก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดานปาก และซอกระหว่างฟันได้อีกด้วย เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ถูกกำจัด สารพิษที่จะส่งผลให้เกิดโรคเหงือกก็ลดลงตามไปด้วย
การเลือกน้ำยาบ้วนปากควรพิจารณาจากชนิดของสารแอนตี้แบคทีเรียเป็นหลัก เพราะสารแอนตี้แบคทีเรียที่มีประสิทธิภาพดีจะช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ลดการสะสมของไบโอฟิล์ม และช่วยลดเหงือกอักเสบได้ดี แต่หากพิจารณาจากสี กลิ่น หรือรสชาติที่ชอบแต่เพียงอย่างเดียวก็อาจไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ต้องการ
จากงานวิจัยพบว่าอาสาสมัครกลุ่มที่ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของน้ำมันสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ 4 ชนิด (4 essential oils) หลังการแปรงฟันต่อเนื่องเป็นประจำ พบว่ามีปริมาณเหงือกอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้ถึง 5 เท่า และมากกว่ากลุ่มที่ใช้น้ำยาบ้วนปากประเภท CPC ถึง 4 เท่า
Comments are closed.