>>เหลือเวลาอีกไม่กี่วันแล้วที่หัวใจคนไทยทั้งประเทศต้องดับสลาย เมื่อสำนักพระราชวังประกาศแจ้งปิดให้ประชาชนเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพในวันที่ 30 กันยายน เป็นวันสุดท้าย เพื่อเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พลันที่พสกนิกรชาวไทยทั้งประเทศทราบข่าวนี้ ต่างพาหัวใจแห่งความภักดีเดินทางมาสักการะพระบรมศพจากทั่วทุกสารทิศ กันอย่างเนืองแน่นวันละไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นคน จนทำให้จุดท้ายแถวยาวเป็นระยะทางถึง 3 กิโลเมตร ถึงแม้สายฝนจะโปรยปรายสร้างความเปียกชื้นหนาวเย็น และแสงแดดที่ร้อนแรง หากแต่ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อหัวใจอันมุ่งมั่น ที่ต้องการมาถวายบังคมลาพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
ด้วยระยะทางอันแสนยาวนานกว่าจะได้ขึ้นกราบสักการะพระบรมศพ อาจทำให้ใครหลายคนเหนื่อยล้า วันนี้ Celeb Online อาสาพาทุกคนไปผ่อนคลายหลังจากถวายบังคมพระบรมศพ กับ 7 สถานที่เช็คอินที่ต้องห้ามพลาด!
ไหว้พระแก้ว ชมพระศรีรัตนเจดีย์
เริ่มจากสถานที่ที่อยู่ใกล้กับพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทมากที่สุดคือ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว ซึ่งตั้งอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2325 โดยมีพระราชประสงค์ให้เป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ภายในวัดแห่งนี้ นอกจากทุกคนจะได้ชื่นชมความงดงามของวัด และได้สักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างพระแก้วมรกตพระคู่บ้านคู่เมืองอายุหลายร้อยปีแล้ว ยังจะได้ชื่นชมความงดงามของ “พระศรีรัตนเจดีย์” ซึ่งตั้งอยู่บนฐานไพทีทางทิศตะวันตกของวัด สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) องค์เจดีย์มีความสูงประมาณ 40 เมตร ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เจดีย์ ซึ่งความพิเศษของเจดีย์แห่งนี้ที่แนะนำให้ไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกนั้น เพราะวันที่ 27 ตุลาคม ศกนี้ หลังจากที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ทรงเก็บพระบรมอัฐิ และพระบรมราชสรีรางคารของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่พระเมรุมาศเสร็จแล้ว จะมีริ้วขบวนอัญเชิญพระผอบพระบรมราชสรีรางคารขึ้นประดิษฐานในพระที่นั่งราเชนทรยานน้อย เพื่อเชิญไปพักไว้ที่พระศรีรัตนเจดีย์แห่งนี้เป็นเวลา 2 คืน ก่อนที่ริ้วขบวนกองทหารม้าจะเชิญพระบรมราชสรีรางคารไปบรรจุยังวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศวิหาร
“อัครศิลปิน” จิตกรรมบนกำแพงหวนรำลึกถึงพ่อ
อีกหนึ่งสถานที่เช็คอินยอดฮิตที่ใครมาถึงขอบรั้วกำแพงแก้วแล้ว ต้องมีภาพถ่ายกลับไปเป็นที่ระลึกเสมอนั้นก็คือ บริเวณกำแพงหน้ามหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูวิมานเทเวศร์ ถนนหน้าพระลาน อันเป็นประตูทางออกของพสกนิกรหลังกราบสักการะพระบรมศพ ซึ่งนักศึกษาคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ผนึกกำลังร้อยดวงใจกันวาดพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช จำนวน 9 พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ ในแนวคิด “อัครศิลปิน” ผลงานที่ออกมาแต่ละภาพนั้นสะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านศิลปะ ตัวอย่างเช่น ภาพพระองค์ท่านปั่นจักรยานในช่วงวัยเด็ก แม้จะไม่ได้เกี่ยวกับศิลปะโดยตรงแต่ก็เปรียบเสมือนเป็นการเริ่มต้นของชีวิต หรือภาพที่พระองค์ทรงแซกโซโฟน ก็สะท้อนให้เห็นว่าทรงมีพระอัจฉริยภาพทางด้านศิลปะการขับร้องและบรรเลง ทรงเป็นองค์อัครศิลปินอย่างแท้จริง
ศิระกรานพระภูบาลนวมินทร์
ถัดมาอีกนิดเดินมานั่งเรือข้ามฟากจากท่าช้าง หรือท่าพระจันทร์ เพื่อข้ามไปที่ท่าวังหลัง แล้วเดินข้ามถนนเข้าไปยังโรงพยาบาลศิริราช จากนั้นก็เดินลัดเลาะถนนภายในโรงพยาบาลศิริราช โดยมีจุดปักหมุดอยู่ที่ท่ารถไฟภายในโรงพยาบาล เพื่อไปชมนิทรรศการ “ศิระกรานพระภูบาลนวมินทร์” ซึ่งตั้งอยู่บริเวณ พิพิธภัณฑ์ศิริราชพิมุขสถาน ที่จัดโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อร่วมกันสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่มีต่อปวงชนชาวไทย โดยตัวนิทรรศการเมื่อเดินเข้าไปจะเจอซุ้มสัญลักษณ์ขนาดใหญ่ภายนอกเป็นภาพพิรามิดกลับหัวอันสอดคล้องกับบทพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าวนิตยสารเนชั่นแนลจิโอกราฟฟิก เมื่อ พ.ศ.2525 ว่า “…เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า ราชอาณาจักรนั้นเปรียบเสมือนพิรามิด มีพระมหากษัตริย์อยู่บนยอด และมีราษฎรอยู่เบื้องล่าง แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะตรงกันข้าม นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องปวดคอและบริเวณไหล่อยู่เสมอ…” เมื่อผู้เข้าชมเดินเข้าสู่ซุ้มสัญลักษณ์จะพบกับภาพพระราชกรณียกิจทั้งสี่ภาคที่หาชมได้ยาก ซึ่งให้ความรู้สึกเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของการตามเสด็จฯ เมื่อครั้งพระองค์ไปทรงงานช่วยเหลือประชาชนทุกภูมิภาค ไม่ว่าพื้นที่นั้นจะห่างไกลหรือทุรกันดารสักเพียงใด นับเป็นความโชคดีของคนไทยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ไม่เคยละทิ้งประชาชน
สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2560 เวลา 10.00-17.00 น. ปิดทำการทุกวันอังคาร วันหยุดนักขัตฤกษ์ และวันที่ 25-27 ตุลาคม 2560 (เนื่องในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช)
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เสน่ห์ของผู้หลงใหลอดีต
ถ้าเดินออกจากประตูวิมานเทเวศร์แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนมหาราช ลัดเลาะริมกำแพงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์มาเรื่อยๆ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระธาตุมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เดินตรงไปอีกราว 200 เมตร ผู้หลงใหลกลิ่นอายของวันวาน จะได้ชมความงามในอดีต ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งนับว่าเป็นพิพิธภัณฑสถานสำหรับประชาชนแห่งแรกของประเทศไทย ที่บอกเล่าเรื่องราวของชนชาติไทยต่างๆ เอาไว้มากมาย รวมถึงมีการจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุต่างๆ อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยและชาติเพื่อนบ้านอีกด้วย โดยจัดแสดงเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประวัติศาสตร์ชาติไทย, ประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี, ประณีตศิลป์ และไฮไลต์สำคัญที่ต้องเข้าไปชมคือ การแสดงราชรถและเครื่องประกอบการพระราชพิธีพระบรมศพ เป็นต้น โดยจัดแสดงที่อาคารหมู่พระวิมานและโรงราชรถ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะเปิดให้เข้าชมทุกวันพุธ-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ (ยกเว้นเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์) เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. คนไทยเสียค่าเข้าชม 30 บาท ยกเว้นนักเรียน นักศึกษา ผู้สูงอายุ พระสงฆ์ เข้าชมฟรี
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ บอกเล่าความภูมิใจของคนไทย
เมื่อเดินเช็คอินถ่ายรูปบริเวณโดยรอบกำแพงพระบรมมหาราชวังเสร็จแล้ว ถ้ามีเวลาว่างนั่งรถบริการรับส่งฟรีจาก ถนนมหาราช หรือหน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไปลงยังถนนราชดำเนินฝั่งศึกษาภัณฑ์เดิมแล้วข้ามถนนไปยังอาคารสูง 4 ชั้นริมฝั่งวัดราชนัดดา ที่ได้รับการเรียกขานว่า “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์” ซึ่งเป็นการจัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ ได้นำเสนอเรื่องราวด้านต่างๆ แห่งยุครัตนโกสินทร์ ผ่านห้องจัดแสดง ซึ่งตั้งชื่อไว้อย่างคล้องจองกัน ที่จะทำให้ทุกคนที่เดินกลับออกไปแล้วต่างมีความรักและภูมิใจในแผ่นดินเกิดของตัวเอง
โดยเฉพาะ นิทรรศการชุด ดวงใจปวงประชา (The Heart and Soul of the Nation) ที่ได้รวบรวมและนำเสนอเรื่องราวพระอัจฉริยภาพ และพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ทั้ง 9 รัชกาล ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบันมาให้ชมกันอย่างเพลิดเพลิน นอกจากนิทรรศการหลักภายในอาคารยังมีจุดที่น่าสนใจ และบริการเสริม อาทิ ห้องสมุดนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เป็นห้องสมุดเฉพาะด้าน ที่รวบรวมหนังสือ สื่อมัลติมีเดีย เกี่ยวกับกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หรือจะขึ้นไปที่ชั้น 4 จุดชมวิวที่สามารถถ่ายภาพทัศนียภาพของถนนราชดำเนินได้เกือบครบ 360 องศา และสถาปัตยกรรมในมุมมองกว้าง พร้อมมีบริการจำหน่ายอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าของที่ระลึกมากมาย อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-19.00 น.
ดวงใจราษฎร์ ปราชญ์แห่งป่าและดิน
ถัดมาจากถนนราชดำเนินนั่งรถอีกนิดไปยังลานพระราชวังดุสิต ตรงจุดนี้นับเป็นแลนด์มาร์คอีก 1 จุดสำหรับการเช็คอินถ่ายรูปสวยๆ เพราะนอกจากจะได้สักการะขอพรพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 แล้ว ต้องไม่พลาดที่จะไปชมนิทรรศการ “ดวงใจราษฎร์ ปราชญ์แห่งป่าและดิน” ซึ่งตั้งอยู่ในเต็นท์สีขาวขนาดใหญ่หน้าประตูสวนอัมพร ภายในนิทรรศการได้แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของในหลวง ร.9 และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้านการพัฒนาพื้นที่ป่าและด้านการปรับปรุงคุณภาพดิน เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ เข้าใจ จนสามารถน้อมนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม อีกทั้งยังประโยชน์แก่ราษฎรของพระองค์ให้มีความเป็นอยู่ร่มเย็นเป็นสุข โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงน้อมนำพระราชกรณียกิจไปดำเนินตามรอยพระยุคลบาทของล้นเกล้าฯ ทั้งสองพระองค์ เพื่อเป็นการสืบสาน รักษา และขยายผลต่อไป
นอกจากจะได้ชื่นชมพระอัจฉริยภาพพระมหากรุณาธิคุณของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 9 แล้วทุกคนยังได้เลือกชมและชอปสินค้าราคาถูกจากมูลนิธิศิลปาชีพฯ มีทั้งผ้าไหม และสินค้าจากฟาร์มตัวอย่างมากมาย ที่นำมาให้ทุกคนเลือกชอปกับไปเป็นที่ระลึกหรือของฝากคนทางบ้าน ประชาชนทั่วไปได้เข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 กันยายน 2560 เวลา 10.00-20.00 น. ณ บริเวณลานพระราชวังดุสิต
พระที่นั่งอนันตสมาคม สถาปัตยกรรมล้ำค่าคู่แผ่นดิน
สถานที่เช็คอินสุดท้ายถ้าไม่มาชมภายในเดือนนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ชมอีกเมื่อไหร่นั้นก็คือ พระที่นั่งอนันตสมาคม ถือได้ว่าเป็นพระที่นั่ง 6 แผ่นดินเลยก็ว่าได้ เริ่มสร้างในรัชกาลที่ 5 แล้วเสร็จในรัชกาลที่ 6 และอยู่มาจนถึงรัชกาลที่ 10 ตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบอิตาเลียนเรอเนซองส์ ผสมกับ นีโอคลาสสิก มีซุ้มเสาคานรับชัดเจนเฉกเช่นศิลปะยุคกรีกโรมัน ด้านนอกประดับด้วยหินอ่อนทั้งหมด นำเข้าจากเมืองคารารา ประเทศอิตาลี แหล่งผลิตหินอ่อนมีชื่อที่ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ภายในอาคารนอกจากบนเพดานโดมของพระที่นั่งฯ มีภาพเขียนสีปูนเปียกขนาดใหญ่ จำนวน 6 ภาพ แสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของพระบรมราชจักรีวงศ์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 6 ใช้เทคนิคการลงสีแสงเงาตามแบบจิตรกรรมตะวันตกที่ดูมีมิติ แตกต่างกับจิตรกรรมไทยดั้งเดิมที่เน้นการเขียนลายเส้นสีแบบแบนๆ แล้วยังมีการจัดแสดงผลงานอันวิจิตรประณีต ของลูกหลานชาวไทยในชื่อ “พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดิน” ที่รวบผลงานหัตถศิลป์อันล้ำค่าที่กำลังเลือนหายไปจากสังคมไทย มาไว้ให้ชมกันอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น วานเรศบวรอาสน์ พระราชอาสน์ขนาดเล็ก และห้องปีกแมลงทับ เป็นต้น
อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่ควรพลาดไปถ่ายรูปเช็คอินสวยๆ คือ เรือนยอด “บรมมังคลานุสรณีย์” ตั้งอยู่ด้านนอกพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยเรือนยอดทรงปราสาท 9 ยอดนี้ นับเป็นหลังแรกในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สร้างขึ้นด้วยถาวรวัตถุอันประกอบด้วยโลหะผสมและหินอ่อน มีการปิดทองประดับกระจกตกแต่งด้วยจิตรกรรมในส่วนต่าง แพรวพราวอร่ามเรืองไปทั้งเรือน มองเห็นโดดเด่นแต่ไกล เหมาะที่จะไปยืนบริเวณด้านหน้า และถ่ายรูป “เช็คอิน” ยิ่งนัก
พิพิธภัณฑ์ศิลป์แผ่นดินและพระที่นั่งอนันตสมาคม จะเปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 กันยายน ศกนี้เท่านั้น หลังจากนั้นจะมีการปิดปรับปรุงพระที่นั่งอย่างไม่มีกำหนดเปิด จะเปิดให้ชมทุกวันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00น. ปิดทำการวันจันทร์ นักท่องเที่ยวไทย-ต่างชาติคนละ150 บาท อายุ 60 ปีขึ้นไป นักเรียนนักศึกษา(แสดงบัตรประจำตัว) 75 บาท เด็กสูงไม่เกิน 120 ซม.เข้าชมฟรี เรือนยอดบรมมังคลานุสรณีย์ เข้าชมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
นับเป็น 7 สถานที่เช็คอินที่ไม่ควรพลาด นอกจากจะได้ถวายบังคมลาพระผู้เสด็จสู่สวรรคาลัยเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ยังได้ชื่นชมความงดงามของสถานที่ต่างๆ อันเป็นสิ่งที่จะได้รับการบันทึกไว้ในความทรงจำเพื่อเล่าสู่ลูกหลานต่อไป
Comments are closed.