Travel

หนีร้อนไปเริงร่าอำลาฤดูหนาวในย่านชนบทที่ “เอสโตเนีย” ติดใจจนอยากกลับไปอีก!?

Pinterest LinkedIn Tumblr


หลายคนอาจจะยังนึกไม่ออกว่าทำไมถึงต้องไปเที่ยว “ประเทศเอสโตเนีย” อยู่ที่ไหน? และมีอะไรดี? แต่เมื่อคุณได้มาแล้ว คำถามเหล่านั้นจะหมดไปอย่างสิ้นเชิง เพราะเอสโตเนียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางยุโรปตะวันออก เมืองหลวงติดกับทะเลบอลติก ค่าครองชีพถูกกว่ายุโรปตะวันตกกว่าครึ่ง ที่สำคัญผู้คนน่ารัก อัธยาศัยดี วิวทิวทัศน์สวยงามดุจภาพวาด และต่อไปนี้คือเรื่องราวที่ผู้เขียนได้หนีร้อนไปเริงร่าเที่ยวอำลาฤดูหนาวที่ประเทศเอสโตเนีย


ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่แรกก่อนเลยว่า จากประเทศไทยไปยังประเทศเอสโตเนียยังไม่มีสายการบินใดบินตรงไปลง แต่สามารถเลือกบินไปกับสายการบินฟินแอร์ได้ โดยบนตรงจากมหานครกรุงเทพไปลงที่กรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ จากนั้นนั่งเครื่องบินต่อข้ามไปยัง “กรุงทาลลินน์” (Tallinn) เมืองหลวงของเอสโตเนีย หรือจะเลือกนั่งเรือเฟอร์รี่จากท่าเรือข้ามฟากจาก เฮลซิงกิ เวสต์ ฮาร์เบอร์ เทอร์มินอล 2 (Helsinki West Harbour Terminal 2) ประเทศฟินแลนด์ ข้ามไปยังทาลลินน์ก็สะดวกและชิลไปอีกแบบ โดยมีเรือออกเกือบทุกชั่วโมง ใช้เวลาในการเดินทางประมาณสองชั่วโมงกว่า สามารถเช็กได้ที่ Tallinkโดยครั้งนี้ผู้เขียนเลือกใช้เรือเฟอร์รี่ข้ามฟากทะเลบอลติกเพราะต้องการความชิล และความตื่นเต้น


เครื่องบินของสายการบินฟินแอร์จากกรุงเทพฯ มาลงที่ท่าอากาศยานเฮลซิงกิ-วานตา (Helsinki-Vantaa Airport : HEL) ประเทศฟินแลนด์ในช่วงเช้า ประมาณ 7 โมงกว่า จากนั้นก็นั่งแท็กซีไปยังท่าเรือข้ามฟากของเฮลซิงกิเพื่อข้ามฟากไปยังท่าเรือทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนียในช่วงสาย ที่ห่างกันราว 80 กิโลเมตร โดยบนเรือมีที่นั่งสบายหลายมุมให้เลือก พร้อมบาร์ เครื่องเล่นต่างๆ และมุมผ่อนคลายมากมาย หรือหากจะนั่งกินลมชมวิวช่วงท้ายเรือเพื่อบิวท์อารมณ์ให้โลดแล่นบนเกลียวคลื่นมุ่งหน้าไปยังกรุงทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย


เมื่อข้ามฟากมาถึงกรุงทาลลินน์ก็เช็กอินเข้าพักที่โรงแรมเรดิสสัน คอลเลกชั่น ทาลลินน์ (Radisson Collection Hotel, Tallinn) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงทาลลินน์ ประเทศเอสโตเนีย เป็นโรงแรมแบบฮิปๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้แก่ การบริการที่พักที่มีมากถึง 287 ห้อง พร้อมห้องอาหารเช้าและอาหารค่ำ ที่จอดรถส่วนตัว ห้องออกกำลังกาย และบาร์ ตกแต่งแบบร่วมสมัย สามารถเดินชมเมืองอันโรแมนติกได้อย่างสะดวกสบาย (คลิก Radisson Collection Hotel, Tallinn )


ตกค่ำเราจองห้องอาหารเก๋ๆ ริมทะเลบอลติกไว้ ชื่อ โนอา เชฟส์ ฮอลล์ (NOA Chef’s Hall : NCH) ซึ่งที่ร้านอาหารแห่งนี้เป็นร้านที่มีเชฟได้รางวัลระดับมิชลินสตาร์มากมาย และเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ได้รับดาวมิชลินแห่งแรกในเอสโตเนีย รวมถึงการได้รับการโหวตจาก The Diners Club World’s 50 Best Restaurants Academyภายในเน้นตกแต่งแบบกระจกโดยรอบ ส่วนภายในให้ความรู้สึกเคร่งขรึม มีอาหารเลิศรส และเครื่องดื่มรสชาติถูกปากให้เลือก (Note : ร้านตั้งอยู่ที่ Ranna tee 3 12112 Tallinn Tel (+372) 58535881 คลิก NOA Chef’s Hall)


หลังจากกินอาหารค่ำเสร็จแล้วก็ออกเดินสำรวจเมืองทาลลินน์ยามค่ำคืนเล็กน้อย เพราะจริงๆ โปรแกรมหลักของทริปนี้คือต้องการไปสัมผัสกับชีวิตในชนบทของยุโรปตะวันออกมากกว่า ในช่วงกลางคืนหลัง 3 ทุ่มอาจจะเงียบหน่อย เพราะอากาศยังหนาวสิบกว่าองศาอยู่ เมื่อดึกหน่อยหลายคนจึงเลือกใช้ชีวิตในบ้านหรือห้องพักของตัวเองมากกว่า แต่บรรยากาศยามค่ำคืนก็มีเสน่ห์ไม่น้อย สลับกับมีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อยบ้างในบางช่วง


รุ่งสายของวันถัดมา เรามุ่งหน้าไปยังนอกเมืองของเอสโตเนีย โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ฟาร์มชีส ที่ “อังเดร ชีส ฟาร์ม” (Andre Cheese Farm) ตั้งอยู่ใน “ตาร์ทูมา” (Tartumaa) ซึ่งที่นี่เป็นผู้ผลิตรายย่อย แต่ขนาดของพื้นที่และขั้นตอนการผลิตนั้นเทียบเท่ากับผู้ผลิตขนาดใหญ่เลยทีเดียว โดยจุดเริ่มต้นเมื่อ 24 ปีก่อน “อังเดร” และภรรยา “เอริกา ปาบัส” (Erika Pabus) ได้ไปเรียนรู้การผลิตชีสที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อนที่จะกลับมาเตรียมความพร้อมและสรรพกำลังในการที่จะมุ่งมั่นทำฟาร์มชีส โดยเริ่มจากวัว 20 ตัว จนปัจจุบันมีมากกว่า 360 ตัว พร้อมประสบการณ์อันเต็มเปี่ยมที่จะตอบได้ว่า นมกลายมาเป็นชีสได้อย่างไร?, ชีสเอสโตเนียที่ดีที่สุดในโลกทำอย่างไร? ทั้งหมดนี้คำตอบอยู่ในฟาร์มของอังเดรหมดแล้ว!


จากนั้นจึงโฉบหลังห้องผลิตและห้องเก็บชีสไปทักทายกับเจ้าลูกวัว พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ชั้นดี พร้อมด้วยอาหารอันโอชะที่พวกมันโหยหา ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแวะไปชิมผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของอังเดร ชีส ฟาร์ม ไม่ว่าจะเป็นชีสหลากหลายรสชาติ ผลิตภัณฑ์แปรรูปเป็นของใช้ และบริโภคมากมาย (Note : ฟาร์มตั้งอยู่ที่ Valvikese Village, Kambja Parish 62026 Tartu, Estonia อีเมล Erika@andrefram.ee หรือคลิก Andre Cheese Farm )


เดินทางต่อมาอีกก็มีเรื่องให้ทำสนุกๆ ที่พิพิธภัณฑ์นมเอสโตเนีย (Estonian Dairy Museum) ซึ่งเป็นเวิร์กช็อปทำขนมจากนมเคลือบช็อกโกแลต เมื่อย่างก้าวเข้ามาภายในมิวเซียมก็จะพบกับมัคคุเทศก์สาวที่แต่งองค์ด้วยชุดพื้นเมืองสไตล์เอสโตเนียน ก่อนที่จะพาเดินชมห้องหับต่างๆ ที่จัดแสดงที่มาที่ไปและประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการรีดนมและการเก็บนมของชาวเอสโตเนียนในอดีตเพื่อเตรียมไว้บริโภคทั้งในช่วงฤดูร้อนและฤดูหนาวที่ต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการทำขนมจากนมแล้วนำไปเคลือบช็อกโลแต ที่เริงร่าสุดก็ตอนที่มัคคุเทศก์เอสโตเนียนเธอบรรเลงเพลงดั้งเดิมด้วยหีบเพลงบายันสไตล์รัสเซียนแต่ชวนเต้นรำไม่หยุดหย่อน (Note : มิวเซียม ตั้งอยู่ที่ H. Rebase Str. 1, Imavere Jarvamaa, Estonia, 72401 โทรศัพท์ +372 389 7533, +372 503 3886 อีเมล info@piimandusmuuseum.ee หรือคลิก Estonian Dairy Museum )


จากนั้นในช่วงกลางคืนได้เช็กอินเข้าพักที่ “โอบิคุโอรุ วิลล่า” (Ööbikuoru Villa) ที่พักสุดโรแมนติกตั้งอยู่ติดทะเลสาบท่ามกลางหมู่มวลหิมะอันขาวพิสุทธิ์ทางตอนใต้ของเอสโตเนีย ซึ่งที่นี่นอกจากจะมีอาหารท้องถิ่นเลิศรสและซาวน่าเพื่อเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกายแล้ว ถ้ามาในช่วงฤดูร้อนที่นี่จะเหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น กีฬากลางแจ้งทั้งบนบกและในทะเลสาบ งานแต่งงานอันโรแมนติก และคอนเสิร์ตสุดเพริศพริ้ง (Note : ที่พักตั้งอยู่ที่ Villa Nightingale, Tiidu Village, Rouge vald, Varumaa County, 66296 Estonia โทรศัพท์ +372 509 9666 อีเมล villa@oruvilla.ee หรือคลิก Ööbikuoru Villa )


วันถัดมาเปลี่ยนบรรยากาศจากภายในมิวเซียมที่เต็มไปด้วยเรื่องราว มายังซาฟารีสุดหฤหรรษ์ที่ “ตูซิกันนู ไวลด์ไลฟ์ ปาร์ก (Toosikannu Wildlife Park) ซึ่งการจะมาท่องซาฟารีที่นี่จะต้องมาเริ่มต้นที่จุดสตาร์ทเพื่อวอร์มอัพร่างกายด้วยชาและกาแฟ ก่อนจะมีชายหนุ่มเอสโตเนียมรูปงามขับรถมินิมัสสีเหลืองสุดวินเทจราวกับรถโรงเรียนมารับ เพื่อขับมุ่งหน้าไปยังเขตป่าสงวนส่วนตัวของเอกชนรายหนึ่งซึ่งมีพื้นที่หลายพันเอเคอร์ ซึ่งระหว่างที่ท่องซาฟารีก็จะได้พบสัตว์ป่าที่มีลักษณะเฉพาะของเอสโตเนีย อาทิ กวางแดง กวางมูส กวางโร หมาจิ้งจอก และกระต่าย เป็นต้น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ส่วนใหญ่ตัดสลับกันระหว่างแมกไม้กับมวลหิมะอันขาวพิสุทธิ์ ( Note : ติดต่อเกี่ยวกับการเข้าชมซาฟารี คลิก Toosikannu Wildlife Park)


ส่วนในช่วงค่ำ แวะมาสัมผัสประเพณีซาวน่าที่มีประวัติอันยาวนาน เป็นซาวน่าควัน ที่ “โวโรมา วิลล่า” (Võrumaa) ซึ่งถือปฏิบัติมานานในเอสโตเนียตอนใต้ จนได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกทางวัฒนธรรม จากยูเนสโก ที่ “มูสกา ฟาร์ม” (Mooska Farm) ผู้มาเยือนสามารถสัมผัสมรดกทางวัฒนธรรมของเอสโตเนียเหล่านี้ได้ ด้วยทำเลที่ตั้งอันทรงพลัง ณ เชิงเขาวัลลาแม (Vällamäe) ที่อยู่ท่ามกลางชนบททางตอนใต้ของเอสโตเนียอันสวยสดงดงาม และเชื่อมต่อกันอย่างกลมกลืนกับวิถีชีวิตในไร่นากับสัตว์ป่าและมรดกของบรรพบุรุษ โดยครอบครัวของ “วีโรจา” (Veeroja) ได้แบ่งปันประสบการณ์และค่านิยมในการดำเนินชีวิต รวมถึงแนะนำมรดกท้องถิ่นแก่ผู้มาเยือนอันภาคภูมิ รวมถึงอาหารท้องถิ่นดั้งเดิมอีกด้วย (Note : มูสกา ฟาร์ม ตั้งอยู่ที่ Haanja village, Haanja parish Võrumaa 65601 Estonia โทรศัพท์ +372 503 2341 หรือคลิก Mooska Farm )

:: สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในกลุ่มบอลติก ติดต่อ Baltic Country Holidays ตั้งอยู่ที่ LAUKU CELOTAJS Kalnciema Street 40, Riga, LV-1046 โทรศัพท์ +371 292 857 56 อีเมล asnate@celotajs.lv หรือคลิก celotajs.lv

Comments are closed.

Pin It