Lifestyle

“ไมค์ ฮอร์น” แชร์ข้อคิดที่ได้จากการผจญภัยตลอด 25 ปี

Pinterest LinkedIn Tumblr


มนุษย์ทุกคนล้วนมีความฝัน และไม่ว่าจะเป็นความฝันเล็กๆ หรือความฝันที่ยิ่งใหญ่ ทุกความฝันล้วนเป็นสิ่งมีค่าสำหรับแต่ละคนเสมอ ซึ่งทุกความฝันย่อมมาพร้อมกับอุปสรรค ที่เราต้องใช้ทั้งความสามารถและความพยายามเพื่อทำให้ความฝันเหล่านั้นเป็นจริงได้ และยิ่งความฝันนั้นใหญ่มากเท่าไร สิ่งกีดขวางก็จะใหญ่ขึ้นเท่านั้น สำหรับ “มร.ไมค์ ฮอร์น” แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์มากว่า 17 ปี อีกทั้งยังเป็นทั้งนักผจญภัย และนักสำรวจชื่อดังระดับโลกนั้น สิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้เขาก้าวขึ้นมายืนตรงจุดนี้ได้ คือ “ทัศนคติในการใช้ชีวิต” ที่เป็นเสมือนน้ำมันที่ช่วยหล่อเลี้ยงและขับเคลื่อน “ร่างกาย” ที่เปรียบได้กับรถยนต์ให้เคลื่อนที่ไปตามที่ใจต้องการ และถึงแม้ว่าการเคลื่อนที่จะมีได้ทั้งเดินหน้าและถอยหลัง แต่กลุ่มคนที่มีทัศนคติดี และคิดบวกอยู่เสมอ ก็มักเป็นกลุ่มที่สามารถพารถยนต์ของตัวเองเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างมีความสุขกว่า และมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าเช่นกัน

การผจญภัยที่ผาดโผนและอันตรายที่สุดของไมค์ ฮอร์น

ประสบการณ์การปีนเขา K2

มีคำกล่าวที่รู้กันในหมู่นักเดินทางว่า “ภูเขา K2 เป็นภูเขาที่ถ้าขึ้นไป 3 คนจะต้องมีคนเสียชีวิต 1 ราย” ซึ่งจากการยืนยันของ มร. ฮอร์นทำให้ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วภูเขาเอเวอเรสต์ที่เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลก กลับปีนได้ไม่ยากเท่าภูเขา K2 ที่สูงเป็นอันดับที่สอง ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่ไม่เอื้อต่อการเดินทาง และพายุหิมะที่โหมกระหน่ำในหน้าหนาว ทำให้ K2 ได้รับฉายาจากนักเดินทางมืออาชีพทั่วโลกว่า “Savage Mountain” หรือ “ภูเขาแห่งความโหดร้าย” ซึ่งจากมุมมองของนักปีนเขาทั่วไปอาจคิดว่ายอดเขาคือเส้นชัย แต่ มร. ฮอร์นกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะถ้าหากขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้วกลับลงมาไม่ได้ หรือต้องสละชีวิตกลางทาง การปีนเขาในครั้งนั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่สามารถกลับไปชื่นชมผลงานหรือเผยแพร่ประสบการณ์ให้คนอื่นรับรู้ได้เลย เพราะฉะนั้นสำหรับ มร. ฮอร์นแล้ว ยอดเขาถือเป็นครึ่งทางของความสำเร็จเท่านั้น เส้นชัยที่แท้จริงอยู่ที่ตีนเขาด้านล่างต่างหาก เพราะฉะนั้นถ้ารักที่จะผจญภัย ก็ต้องรักชีวิตของตัวเองให้มากเช่นกัน และด้วยทัศนคติและความเอาใจใส่ดูแลตัวเองของ มร.ฮอร์นนี้เองทำให้เขาพิชิตยอดเขา K2 ได้สำเร็จ

ประสบการณ์การเดินทางในแม่น้ำแอมะซอน

ในปี พ.ศ. 2540 มร. ฮอร์นตัดสินใจเลือกทวีปอเมริกาใต้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่มีผู้ช่วยเป็นครั้งแรกของเขา และเป็นการเดินทางที่ทำให้เขามีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ เขาเลือกที่จะใช้เวลาทั้งหมด 6 เดือนไปกับการเดินทางในครั้งนี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้กับชีวิต โดยเริ่มจากการเดินเท้าเลียบมหาสมุทรแปซิฟิก ปีนเทือกเขาแอนดีสขึ้นไปจนถึงต้นสายของแม่น้ำแอมะซอน ซึ่งเป็นแม่น้ำที่มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ และว่ายน้ำจากที่นั่นลงมาตามแนวแม่น้ำด้วยการใช้ไฮโดรสปีด (hydrospeed) เป็นแท่นช่วยพยุงตัว โดยระหว่างทาง มร.ฮอร์นต้องใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ ล่าสัตว์และตกปลาเองเพื่อนำมารับประทาน จนไปสิ้นสุดที่มหาสมุทรแอตแลนติก รวมระยะทางทั้งหมดกว่า 7,000 กิโลเมตร

นอกจากนี้ยังมีการเดินทางจากขั้วโลกเหนือจดขั้วโลกใต้ที่ใช้ชื่อว่า “Pole2Pole” และการเดินทางรอบแนวเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลในช่วงฤดูหนาวของแถบอาร์กติกที่ใช้ชื่อว่า “Arktos” ซึ่งทุกครั้งเป็นการเดินทางด้วยตัวคนเดียวทั้งสิ้น แต่ถึงจะดูเหมือนไปมาแล้วรอบโลก ก็ยังมีสถานที่อันน่าค้นหาซุกซ่อนอยู่ในธรรมชาติที่สวยงามเหล่านั้นอีกมากมาย ซึ่งรวมไปถึงศิลปะ วัฒนธรรม และมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณนั้นๆ ด้วย ดังนั้น มร.ฮอร์นจึงได้เกิดแนวคิด Driven to Explore Asia ขึ้น และออกเดินทางไปยังพื้นที่อันห่างไกลของแต่ละประเทศทั้ง 9 ประเทศ ตั้งแต่มาเลเซีย ไทย กัมพูชา เวียดนาม ลาว พม่า อินเดีย เนปาล และปากีสถาน เพื่อถ่ายทอดมุมมองความสวยงามที่แท้จริงของธรรมชาติในแง่มุมที่ยังไม่มีใครเคยเห็น พร้อมแบ่งปันและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับผู้คนในแต่ละท้องที่ และเสาะหาสถานที่ที่ยังไม่ถูกค้นพบเหล่านั้น เขายังตั้งใจที่จะบันทึกทุกก้าวของการเดินทางเอาไว้ เพื่อนำไปเผยแพร่ให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความมีอยู่ของแต่ละสถานที่ด้วย

ข้อคิดที่ได้จากการผจญภัยตลอด 25 ปีที่ผ่านมา

“การเดินทางทำให้ได้สัมผัสกับชีวิตอย่างแท้จริง”

การออกเดินทางเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับความรู้นอกเหนือจากที่เคยได้เรียนในห้องเรียน การได้เข้าไปในสถานที่ที่ไม่เคยมีใครเข้าถึงมาก่อนนั้นทำให้ มร.ฮอร์นได้สัมผัสกับวิถีชีวิต และความเป็นอยู่ของผู้คนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งการเรียนรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการสื่อสาร เพราะการสื่อสารเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังสามารถส่งพลังใจให้กับอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัวได้อีกด้วย

“เวลาก็คือระยะทางที่ใช้ในการเดินทาง”

เพราะการเดินทางแต่ละครั้งต้องใช้เวลาในชีวิตของเราไม่มากก็น้อย แต่หลายคนเลือกที่จะใช้ชีวิตไปกับการทำงาน จนหลงลืมที่จะให้เวลากับตนเองในการเปิดโลก เปิดมุมมองใหม่ๆ และพลาดโอกาสใน ‘การเดินทาง’ ไปหลายครั้ง ดังนั้นเราควรสละเวลาในชีวิตออกมาทำตามที่ใจต้องการบ้าง แม้เพียงเล็กน้อย แต่ช่วงเวลานั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เราได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และมีความสุขที่สุด

“อย่าคิดมาก และพยายามทำทุกอย่างให้ง่ายสำหรับตัวเองที่สุด แล้วคุณจะพบคำตอบของทุกอย่างในความง่ายดายนั้นเอง”

เป็นข้อคิดที่ มร.ฮอร์นได้รับจากการขับรถในประเทศอัฟกานิสถาน ตลอดเส้นทางที่เขาและลูกสาวทั้งสองคนเดินทางอยู่ในประเทศนี้ เขาต้องเสียทั้งเวลาและเงินไปกับด่านตรวจมากมายที่คอยต้อนรับอยู่ระหว่างทาง ท้ายที่สุดแล้วเขาจึงตัดสินใจขับรถออกนอกเมือง ออกไปในทุ่งหญ้า และสถานที่ที่วิบากแทน ซึ่งถึงแม้ว่าการเดินทางจะลำบากกว่าเพราะทางไม่ราบเรียบเหมือนถนน แต่สิ่งที่ทั้งสามคนได้รับคือความสบายใจ ความเงียบสงบที่ไม่สามารถหาได้จากที่ไหนในเมือง และสิ่งที่ดีที่สุดคือ พวกเขาไม่ต้องเจอกับด่านตรวจมากมายอีกเลย

“จงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี เพราะไม่แน่ว่าสิ่งนั้นอาจนำพาเราไปหาสิ่งที่ดีกว่าก็ได้”

การเดินทางในประเทศอัฟกานิสถานนั้นไม่ได้ปูด้วยถนนราบเรียบเสมอไป ในบางครั้งพวกเขาก็ต้องขับรถฝ่าอาณาเขตที่แห้งแล้งและแร้นแค้น มีแต่ทะเลทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา วันหนึ่ง รถของพวกเขาน้ำมันหมดกลางทางในเขตแล้ง พวกเขาจึงออกเดินหา และได้รับน้ำมันมา 2 ลิตร ที่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความต้องการของพวกเขาที่ต้องการมากถึง 600 ลิตรเพื่อเดินทางข้ามประเทศ ซึ่งถ้าเป็นคนปกติทั่วไปคงผิดหวังกับสิ่งที่ได้อยู่ไม่มากก็น้อย แต่สำหรับพวกเขา น้ำมัน 2 ลิตรที่ได้รับมาเปรียบเสมือนสิ่งมีค่าสูงสุด ที่สุดท้ายแล้วก็สามารถพารถไปได้ไกลถึงสถานที่ที่สามารถหาน้ำมันได้ 600 ลิตรพอดี

ในเมื่อกล้าที่จะฝัน ก็ต้องกล้าที่จะทำตามฝัน และเมื่อมีความกล้าที่จะทำตามความฝันแล้ว เราก็จะสามารถไขว่คว้าฝันนั้นมาไว้ในมือได้ไม่ยาก มร.ฮอร์นถือเป็นหนึ่งในคนกล้าที่ไล่ตามความฝันในการเป็นนักผจญภัยของตัวเอง และเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง ด้วยทัศนคติที่ดีและจิตใจที่กว้างใหญ่พร้อมรับความแตกต่างที่จะต้องเผชิญตลอดเส้นทาง ทำให้ชีวิตของเขาสามารถดำเนินไปอย่างมีความสุข แม้มีอุปสรรคมาขวางกั้นก็สามารถคิดมุมต่างเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ที่เลวร้ายให้กลายเป็นดีได้เสมอ แบบผู้ชายที่ชื่อ “ไมค์ ฮอร์น” นี่เอง



Comments are closed.

Pin It