Lifestyle

3 กูรูแนะทักษะ 3 ด้านก้าวสู่การเป็นนักฟุตซอลรุ่นจิ๋ว

Pinterest LinkedIn Tumblr


ปัจจุบันนี้ “คุณแม่” ส่วนใหญ่สนับสนุนให้ลูกเล่นกีฬาโดยเฉพาะกีฬาฟุตซอล เพราะนอกจากจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ยังปลูกฝังให้เด็กรู้จักแพ้ รู้จักชนะ และรู้จักอภัย และได้เรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งถือเป็นครูชีวิตที่เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กๆ เติบโตสู่ความสำเร็จได้


กิจกรรม “ไมโล แคมป์” ที่จัดขึ้นโดยผลิตภัณฑ์ไมโล ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้นำ 50 นักฟุตซอลเยาวชนอายุระหว่าง 7-15 ปีที่แสดงสปิริตน้ำใจนักกีฬาจากการแข่งขัน “ไมโล ฟุตซอล 2019 Road to Barcelona” เข้าแคมป์เพื่อฝึกเข้มโปรแกรมฝึกอบรมแบบครบวงจร ได้เชิญ 3 ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ โค้ชระดับโลกจากสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่ามาให้ความรู้เรื่องการอบรมทักษะฟุตบอล โค้ชเป้ง สาธิก ธนะทักษ์ มาให้ความรู้เรื่องโภชนาการสำหรับนักกีฬา และผศ.ดร.นฤพนธ์ วงศ์จตุรภัทร มาให้ความรู้เรื่องของทักษะจิตวิทยาการกีฬา เพื่อช่วยส่งเสริมทักษะ 3 ด้านให้กับลูกน้อยเพื่อก้าวสู่การเป็นนักฟุตซอลรุ่นจิ๋ว ซึ่งเป็นการแสดงถึงความมุ่งมั่นของผลิตภัณฑ์ในการส่งเสริมเยาวชนไทยเติบโตสู่ความสำเร็จด้วยกีฬาเพราะกีฬาคือครูชีวิต เริ่มจาก

โค้ชเป้ง สาธิก ธนะทักษ์ นักวิทยาศาสตร์การกีฬา กล่าวว่า “โภชนาการสำหรับนักกีฬาสำคัญเทียบเท่ากับการฝึกซ้อมเลย เพราะการที่ฝึกซ้อมอย่างหนัก แต่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ กลายเป็นว่าแทนที่จะเก่งขึ้น ฟิตขึ้น แต่กลับทำให้โทรม โดยเฉพาะในวัยเด็ก อาจจะทำให้เกิดการแคระแกร็นได้ ผมเลยแนะนำคุณแม่ที่มีลูกเป็นนักกีฬาว่าไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารจนเกินไป เพียงรับประทานให้ถูกสุขลักษณะและครบทุกหมู่ ลูกก็จะได้รับสารอาหารที่เพียงพอและมีสุขภาพที่ดีได้ ได้แก่

1. กลุ่มข้าว-แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) ซึ่งเป็นอาหารที่ควรรับประทานในปริมาณมากที่สุดเพราะเป็นแหล่งให้พลังงาน โดยควรทานวันละ 8 ทัพพี หรือ มื้อละ 2 ทัพพีครึ่ง ซึ่งสามารถรับประทานบะหมี่หรือขนมปังแทนข้าวได้ โดยขนมปัง 1 แผ่น เท่ากับข้าวสวย 1 ทัพพี ส่วนข้าวเหนียวครึ่งทัพพี เท่ากับ ข้าวสวย 1 ทัพพี หรือสามารถรับประทานข้าวโพด หรือมันเทศแทนข้าวได้

2. กลุ่มเนื้อสัตว์ (โปรตีน) ได้แก่ เนื้อสัตว์ ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมวันละ 6 ช้อนหรือเฉลี่ยมื้อละ 2 ช้อนซึ่งจะช่วยซ่อมแซมและสร้างเสริมร่างกายจากการเล่นกีฬา และเพราะนักกีฬาต้องการพลังงานเยอะกว่าคนทั่วไป จึงควรรับประทานไข่และนม 1 แก้วเสริมไปด้วยทุกมื้อ

3. กลุ่มผัก-ผลไม้ เราควรรับประทานผักวันละ 4 ทัพพี ถ้าเทียบง่ายๆ คือ แตงกวา 2 ลูก มะเขือเทศ 2-3 ลูก ดังนั้นในหนึ่งมื้อคุณแม่ควรเตรียมผักให้น้องรับประทานเยอะมากๆ เพราะในผักมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยในการฟื้นตัว หากรับประทานน้อยจะทำให้การฟื้นตัวต่ำ ส่วนผลไม้ควรรับประทานวันละ 3 ส่วน โดย 1 ส่วนคิดเป็น 70 แคลอรี เช่น ฝรั่ง ครึ่งผล กล้วย 1 ผล หรือทุเรียน 1 เม็ด

4. กลุ่มน้ำมัน น้ำตาล เกลือ ควรรับประทานในปริมาณน้อยที่สุด โดยควรรับประทานก่อนหรือหลังซ้อมเท่านั้น เพื่อลดอาการบาดเจ็บ และที่สำคัญคือคุณแม่ควรให้ลูกดื่มน้ำ ระหว่างการเล่นกีฬา โดยพักทุกๆ 20-30 นาทีและควรดื่มน้ำอย่างน้อยครั้งละ 1 แก้ว หากทำเป็นประจำทุกวัน ก็จะมีร่างกายที่ดีและแข็งแรง เพื่อก้าวไปสู่การเป็นนักฟุตซอลแถวหน้าต่อไป

นอกจากนี้ คุณแม่ควรเตรียมอาหารให้ลูกรับประทานดังนี้ ก่อนเล่นกีฬา คุณแม่ควรเตรียมอาหารมื้อหลัก 1 มื้อก่อนกิจกรรม 1-4 ชั่วโมง หรือรับประทานอาหารว่างประเภทแป้งย่อยง่าย เช่น แซนด์วิช ขนมปัง 30-60 นาที หรือดื่มเครื่องดื่มให้พลังงานก่อนเล่นกีฬา 10-15 นาทีก็พอช่วยได้ แต่ควรระวังอาหารประเภทไขมันและใยอาหารเพราะอาจจะทำให้อาหารไม่ย่อยและท้องอืด ระหว่างการเล่นกีฬา ถ้าเล่นกีฬาเกิน 1 ชั่วโมง แนะนำให้คุณแม่เตรียมอาหารประเภทคาร์บให้ลูกรับประทาน โดยเติมคาร์บ 0.7 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และดื่มเครื่องดื่มไม่ควรเข้มข้นเกิน 6-8% หลังออกกำลังกาย ควรรับประทานแป้งและโปรตีนภายใน 30 นาที และควรรับประทานมื้ออาหารภายใน 2 ชั่วโมง หรือดื่มเครื่องดื่มนมช็อกโกแลตหลังการเล่นกีฬา จะช่วยให้ร่างกายจะฟื้นตัวเร็วหลังการเล่นกีฬา”

ด้าน ผศ.ดร.นฤพนธ์ วงศ์จตุรภัทร ประธานกรรมการ คณะกรรมการประจำคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยบูรพา เปิดเผยว่า “จิตวิทยาการกีฬาเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะจะทำให้ลูกมีทัศนคติที่ดีในการเป็นนักกีฬา รวมถึงเป็นนักกีฬาที่ดี ซึ่งคุณแม่สามารถสังเกตพฤติกรรมของลูกเวลาลงเล่นในสนาม โดยจะมีเด็กอยู่ 2 ประเภท คือ 1. อยากชนะจนลืมกติกา 2. ทุ่มสุดตัวเพื่อจะชนะ แต่ก็ยังตั้งใจและเคารพ กฎ กติกา และเพื่อการเป็นนักกีฬาที่ดี นอกจากโค้ชแล้ว คุณแม่ควรสอนให้น้องๆ

1. เชื่อฟังโค้ช เพราะนอกจากเราต้องตั้งใจซ้อมหรือเล่นทำให้เราชนะ ก็ต้องเชื่อฟังโค้ช

2. รู้จักรู้แพ้รู้ชนะ หากแพ้ก็ถือว่าเราทำเต็มที่แล้วเพราะถ้ามีทีมหนึ่งชนะ ก็ต้องมีอีกทีมหนึ่งที่แพ้อยู่แล้ว เราไม่ควรหยุดพัฒนาตนเอง

3. เล่นกันเป็นทีม ให้โอกาสคนอื่นโดยเฉพาะน้องที่อายุน้อยกว่าในทีมได้เล่นบ้าง ให้มีความเห็นอกเห็นใจ และการวางแผน ถึงแม้จะอยากชนะ แต่ก็ต้องไม่ลืมนึกถึงคนในทีม”

มร. อัลแบร์โต อดามุส ปอร์ราส โค้ชสโมสรฟุตบอลบาร์เซโลน่า กล่าวว่า “สำหรับเด็กที่จะสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นนักฟุตซอลได้นั้น ต้องได้รับแรงสนับสนุนจากคุณพ่อคุณแม่เหมือนกับน้องๆ ที่เข้าฝึกทักษะฟุตซอลที่ไมโล แคมป์ ปีนี้ผมเน้นให้น้องๆ ได้ทำแบบฝึกหัดและทำกิจกรรมเพื่อให้มีประสบการณ์ใหม่ๆ และนำความรู้ไปต่อยอดใช้กับตัวเองและทีม ทั้งเรื่อง

1) การทำความเข้าใจขาที่ใช้และด้านที่ถนัดของร่างกาย วิธีการมองภาพรวมในสนาม วิธีการมองรอบข้างในตำแหน่งที่ยืน การทำความเข้าใจตำแหน่งยืนในสนาม

2) การแก้เกมรุก ฝึกวิธีคิดและการตัดสินใจในสนาม การครองพื้นที่ในสนาม การฝึกเกมรุก 3) การป้องกันเกมรุกโดยการบัง การป้องกันบอลเพื่อคลี่คลายสถานการณ์เกมรุก การใช้พื้นที่ในสนาม การส่งต่อบอลให้มีประสิทธิภาพ การสนับสนุนเพื่อนร่วมทีม การชิ่งบอลระบบ 1-2

4) การครองพื้นที่ในสนาม การกระจายบอลให้กับเพื่อนร่วมทีม การเคลื่อนไหวในสนามในขณะที่ไม่ได้ครองบอล การต่อบอลกับเพื่อนร่วมทีม การเป็นผู้เล่นคนที่ 3 ระหว่างการชิ่งบอลระบบ 1-2

5) การใช้ประโยชน์จากเคลื่อนไหวรอบตัว การฝึกทักษะจากการเคลื่อนไหวรอบตัวอย่างหลากหลาย การเล่นเป็นระบบ 3-1 และ

6) การฝึกทักษะการเล่นเกมในสถานการณ์ที่หลากหลาย การฝึกดูโครงสร้าง การพัฒนา การรักษาสมดุลของทีม และ การเปลี่ยนตัว ผมก็ขอให้น้องๆ มีความตั้งใจ และความพยายาม แค่นี้ก็ทำให้มีโอกาสเป็นนักฟุตซอลรุ่นจิ๋วกันได้แล้วครับ”

คุณพ่อคุณแม่สามารถนำความรู้ต่างๆ ไปปรับใช้กับลูกน้อยเพื่อส่งเสริมให้เข้าได้เป็นนักฟุตซอลรุ่นจิ๋วต่อไป

Comments are closed.

Pin It