Dining Out

วันนี้เช็กอิน ที่ “คาเฟ่ ปารีเซียน” ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแท้ๆ กันหรือยัง!

Pinterest LinkedIn Tumblr


>>วันนี้ชวนลิ้มรสชาติอาหารฝรั่งเศสแบบต้นตำรับ คัดสรรวัตถุดิบชั้นเลิศจากทั่วทุกภาคของฝรั่งเศสสร้างสรรค์เป็นเมนูชั้นเลิศโดย “เชฟแอร์เว่ แฟร์ราร์ด” อิ่มอร่อยท่ามกลางบรรยากาศแสนอบอุ่นได้แล้ววันนี้ ที่ “คาเฟ่ ปารีเซียน” (Café Parisien) บริเวณ Glasshouse@Sindhorn อาคารสินธร ถนนวิทยุ

หากจะหาร้านอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ ที่พิถีพิถันในการปรุงเพื่อให้ได้มาซึ่งรสชาติความอร่อยแบบต้นตำรับ ท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ เสมือนนั่งรับประทานอยู่ฝรั่งเศสแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำคาเฟ่ ปารีเซียน ร้านอาหารฝรั่งเศสสไตล์บราสเซอรี (Brasserie) ที่ตั้งอยู่บริเวณ Glasshouse@Sindhorn อาคารสินธร ถนนวิทยุ

คาเฟ่ ปารีเซียน ยังคงได้รับการกล่าวขานถึงรสชาติอาหารที่มีความเป็นฝรั่งเศสขนานแท้แบบดั้งเดิม ท่ามกลางบรรยากาศของร้านที่อบอุ่นเป็นกันเอง แต่แฝงไปด้วยความสุนทรีย์ที่เหมาะสำหรับการมารับประทานอาหารได้บ่อยๆ ในทุกโอกาส เรียกง่ายๆ ว่าเป็น All day Dinning ในราคาที่เข้าถึงได้

นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ของ Chef Table บริเวณชั้น 2 เพื่อรองรับลูกค้าที่ต้องการสัมผัสกับประสบการณ์พิเศษจากการปรุงอาหารในแบบฉบับของเชฟอย่างใกล้ชิด โดยสามารถรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ 6-18 ท่าน และเพื่อให้ทุกท่านได้ลิ้มรสชาติความอร่อยแบบเต็มอิ่ม อาหารจึงถูกสร้างสรรค์เป็นเซตเมนูในราคาเริ่มต้นที่ 3,500 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่ม) ซึ่งใน 1 เซตประกอบด้วยอาหาร 4-5 คอร์ส

โดยเชฟจะปรุงให้เหมาะกับความต้องการและงบประมาณของลูกค้า พร้อมการันตีรสชาติความอร่อยแบบต้นตำรับโดย เชฟแอร์เว่ แฟร์ราร์ด (Hervé Frerard) เชฟชั้นครูผู้มีประสบการณ์ยาวนาน และเชี่ยวชาญศิลปะในการปรุงอาหารตามแบบฉบับอาหารฝรั่งเศสแท้ๆ ทั้งยังเคยเป็นเชฟจากร้านอาหารที่ได้รับรางวัลมิชลิน สตาร์ในประเทศฝรั่งเศส รวมถึงได้มีโอกาสปรุงอาหารให้กับบุคคลสำคัญๆ ของโลก อาทิ พระบรมวงศานุวงศ์ไทย สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร อีกทั้งยังเคยเป็นเชฟส่วนตัวให้กับประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส ฟรองซัวร์ มิตแตร์รองต์ อีกด้วย สำหรับเมนูซิกเนเจอร์เชฟคัดสรรเมนูที่มีความเป็นมาและได้รับความนิยมมาตั้งแต่อดีตกาล เพื่อให้ทุกคนได้ลิ้มลองรสชาติแบบฝรั่งเศสแท้ๆ เริ่มต้นด้วยเมนูเบาๆ Baked Endive with Savoy Ham, Béchamel Sauce ทำจากผักที่เรียกว่า เอนไดฟ (Endive) ซึ่งนิยมกันมากในฝรั่งเศสและเบลเยียม มีประวัติว่าขึ้นโต๊ะอาหารของชนชั้นสูง ตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 9 มาถึงปัจจุบัน โดยเขาจะนำผักเอ็นไดฟสดๆ รสขมนิดๆ แต่วิตามินสูง ไปตุ๋นให้นุ่มก่อนจะนำไปม้วนกับแฮมรสเลิศจากแคว้นซาวอย วางเรียงใส่จานราดด้วยซอสเบชาเมล (Béchamel Sauce) โรยชีสคอมเต้ (Comté) แล้วนำเข้าอบอีกครั้ง เสิร์ฟร้อนๆ

ถัดมาเป็นเมนูจากเมืองลียง เป็นจานที่นาย Louis Legroz อ้างว่าเป็นคนคิดสูตรนี้ขึ้นมาเป็นคนแรกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1907 เรียกชื่อว่า Scallops Quenelle, Mushroom Duxelle, Nantua Sauce เป็นหอยเชลล์บดผสมกับเครื่องปรุงแล้วตักเป็นก้อนลงต้มในซุปผัก เคียงคู่กับเห็ดสับผัดกับหอมแดงปรุงรส ราดด้วย Nantua Sauce ที่ทำจาก Crayfish Butter ซอสที่ไปได้ดีกับอาหารทะเล ในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 1 จานนี้นับเป็นจานโปรดของบรรดาผู้ดีเชื้อสายฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว

สำหรับผู้นิยมเนื้อวัว สตูหรือเนื้อตุ๋นสูตรฝรั่งเศส Traditional Stew Beef Bourguignon, Pilaf Rice คงจะถูกใจเป็นแน่ จากเดิมที่เป็นเมนูในครัวชาวบ้านทั่วไป ต่อมา ได้รับความนิยมมากจนกลายเป็นอาหารชื่อดัง โดยคนแรกที่กล่าวถึงอาหารจานนี้ก็คือ Auguste Escoffier “บิดาแห่งการครัว” ของฝรั่งเศส ผู้เคยปรุงอาหารถวายพระเจ้าวิลเลียมที่ 2 จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “Emperor of the Culinary Art” หรือผู้มีความรู้ในศิลปะการทำอาหารชั้นยอดเยี่ยมนั่นเอง เคล็ดลับสำคัญของเมนูนี้ คือ ต้องตุ๋นเนื้อกับไวน์แดงด้วยไฟอ่อนๆ เป็นเวลานาน จนเนื้อเปื่อยนุ่ม แล้วกินคู่กับ Pilaf Rice ข้าวที่หุงด้วยน้ำซุปและเครื่องปรุงอีกหลายอย่าง จนได้กลิ่นรสที่หอมและมัน จะเป็นคู่ที่ลงตัวที่สุด

อีกหนึ่งเมนูสุดคลาสสิก เป็นที่นิยมมาตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรปรัสเซีย ราวๆ 300 ปีก่อน Slow-Cooked Veal Blanquette, Potato & Leek สมัยโบราณจะเป็นการนำเนื้อย่างที่เหลือจากมื้อก่อนๆ มาตุ๋นเป็นสตูอิ่มอร่อยในมื้อต่อไป แต่สำหรับ คาเฟ่ ปารีเซียน เรานำเนื้อลูกวัวมาตุ๋นจนนุ่ม ในซอสสีขาวนวลเนียน รับประทานคู่กับต้นกระเทียมและมันฝรั่ง เสริมด้วยข้าว Pilaf ในแบบที่คนไทยชอบ ยิ่งทำให้เมนูนี้สมบูรณ์

เนื้อตุ๋นอีกสูตรหนึ่ง ที่เรียกชื่อว่า Boiled Beef ” Pot au Feu”, Seasonal Vegetables ถือเป็นอาหารประจำครัวฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว เป็นการตุ๋นเนื้อกับผักด้วยไฟอ่อนอีกเช่นเคย บางทีถึงขั้นเคี่ยวข้ามวันจนกลิ่นหอมฟุ้ง เกินจะอดใจไหว สูตรการตุ๋นแบบ Pot au Feu มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์สมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 9 ของฝรั่งเศส แต่ถ้าจะนับการบันทึกคำนี้ฐานะเมนูอาหารในพจนานุกรมของฝรั่งเศส ก็เมื่อปี ค.ศ. 1829 ร่วม 2 ศตวรรษเข้าไปแล้ว เมนูนี้เป็นที่รู้จักกันในประเทศไทยมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดซุปชนิดนี้มากเป็นพิเศษ ทรงปรุงเสวยด้วยพระองค์เองและเรียกกันอย่างไทยๆ ว่า ซุปปอด โอโฟ

ทางเลือกสำหรับคนไม่รับประทานเนื้อวัวก็มีอยู่หลายจาน อย่างเช่น “Coq au Vin”, Gratin Dauphinois อาหารที่นิยมกันมาแต่โบราณ ไล่เรียงไปได้ถึงยุค Gaul และ Julius Ceasar กันเชียว และเครื่องปรุงหลักๆ คือ ไก่ฟ้า เบคอนอย่างดี เห็ดแชมปิญอง หอมใหญ่และกระเทียม หมักข้ามวันข้ามคืนกับไวน์แดงจากแคว้นเบอร์กันดีและนำไปตุ๋นจนนุ่มและน้ำเข้มข้น รับประทานคู่กับ Gratain Dauphinois มันฝรั่งอบกับชีสสไตล์ฝรั่งเศส

สมัยพระเจ้าเฮนรีที่ 4 ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เติบโตมาในเมืองชนบทที่มีชื่อว่า Bearn ท่านรับสั่งให้เจ้าเมืองนำห่านที่ตัวใหญ่ที่สุดที่สามารถหาได้ 12 ตัวมาถวาย เพื่อเป็นเกียรติต่อราชอาณาจักร ซึ่งทำให้เกิดวัฒนธรรมการขุนห่านขึ้นในฝรั่งเศส จนกระทั่งเกิดเมนูโอชะเกิดขึ้น Baked Crispy Duck Leg Confit, Salardaise Potato เป็นขาเป็ดหรือขาห่านตุ๋นในน้ำมันอุณหภูมิต่ำ ให้ความชุ่มชื้นยังคงอยู่ในเนื้อนุ่มๆ ก่อนจะนำมาอบให้กรอบนอกนุ่มใน รับประทานคู่กับ Salardaise Potato มันฝรั่งหั่นเป็นแว่นๆ แล้วอบกับไขมันเป็ด หอมๆ นุ่มๆ

ใครที่ระวังเรื่องแคลอรี น่าจะโปรด Bouillabaisse Marseillaise เป็นซุปปลานานาชนิดในน้ำซุปสีส้ม เพราะมีมะเขือเทศบดและหญ้าฝรั่น เครื่องเทศอันเลอค่า เป็นหนึ่งในส่วนผสม จานนี้นับเป็นจานขึ้นชื่อของเมืองมาร์กเซย (Marseille) เมืองท่าทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ชาวประมงหาปลาได้มากมาย และกลับมาจากทะเลด้วยความหิวโหย ซุปปลาร้อนๆ ช่วยให้อุ่นท้อง จากเมนูง่ายๆ ของชาวประมง ก็มีชื่อเสียงและแพร่หลายไปทั่วพื้นที่เมดิเตอร์เรเนียน นิยมกินกับซอส Rouille เป็นซอสครีมกระเทียม หรือเพิ่มความหอมด้วยการใส่ไข่หอยเม่นเข้าไปในซุปด้วย

นอกจากนั้นยังมี Set Lunch ตามแบบฉบับปารีเซียนในราคาสบายกระเป๋า ประกอบด้วย อาหารเรียกน้ำย่อย เป็นสลัดหรือซุป ตามด้วยเมนคอร์ส และของหวาน ทั้งหมดนี้ราคาเพียง 690++ เท่านั้น โดย Set Lunch จะปรับเปลี่ยนทุกเดือน เพื่อให้ลูกค้าได้ชิมอาหารแปลกใหม่ตลอดเวลา

พิสูจน์รสชาติอาหารชั้นเลิศแบบต้นตำรับฝรั่งเศสจาก Chef Hervé ที่จะมาปรุงเมนูสุดสร้างสรรค์พร้อมเครื่องดื่มที่หลากหลาย อาทิ ไวน์ เบียร์สด และค็อกเทลสูตรต่างๆ ท่ามกลางบรรยากาศเป็นกันเองได้แล้ววันนี้ ที่ คาเฟ่ ปารีเซียน บริเวณ Glasshouse@Sindhorn ถนนวิทยุ สำรองที่นั่งโทรศัพท์ 0-2650-9993 หรือติดตามข่าวสารได้ที่ www.facebook.com/glasshouseatsindhorn.com :: Text by FLASH



Comments are closed.

Pin It