ART EYE VIEW–หลังจากที่เจอโรคเลื่อนมาหลายครั้งหลายหน ในที่สุดธรรมะก็จัดสรรให้ นิทรรศการแสดงเดี่ยวผลงานศิลปะครั้งแรกในชีวิตของศิลปินรุ่นใหญ่ วัย 66 ปี ชูศักดิ์ วิษณุคํารณ ถึงคราวลงหลักปักฐาน เป็นส่วนหนึ่งของงาน วันเกษตรแม่โจ้ ประจำปี 2554 ที่ปีนี้ชูแนวคิด กษัตริย์นักเกษตร
ดังนั้นนอกจากบรรยากาศของ โครงการหลวงต่างๆที่ถูกรวบรวมมาไว้ในงานเดียว ผู้ไปร่วมงานยังจะได้ชมผลงานศิลปะสร้างสรรค์ขึ้นในหลากหลายเทคนิค จำนวน 85 ชิ้น ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของศิลปินผู้นี้ ผู้เคยมีผลงานชิ้นมาสเตอร์พีช ฝากเอาไว้ในหลายสถานที่
ซึ่งหากยกตัวอย่าง เฉพาะผลงานที่ศิลปินมีความภาคภูมิใจเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ได้แก่ ภาพเขียน สังเวชนียสถาน 4 บนผนังทั้ง 4 ทิศ ภายใน เจดีย์หลวงปู่มั่น วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี ,ภาพเขียนที่มีเนื้อหาเดียวกัน บนผนังตึกทั้ง 4 ชั้น ของ อาคารบุญยง ว่องวานิช ย่านบางแค ที่ถูกใช้เป็นฐานประจำการของ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ตลอดจนภาพเขียนบนผนัง อาคารแสดงธรรมหลังใหม่ของท่านเจ้าคุณ วัดพระราม 9 และผลงานประติมากรรมนูนต่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่วัดแห่งเดียวกัน รวมถึง ภาพเขียนในโบสถ์ของวัดไทย ณ เมืองเคลเลอร์ รัฐเทกซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
>>คนดีมีอยู่จริง<<
กับผลงานชิ้นแรกที่เขียนขึ้น เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ติดตามมาด้วยผลงานอีกหลายชิ้นนั้น ชูศักดิ์ต้องลงพื้นที่ไปเก็บข้อมูลที่ประเทศอินเดียถึง 5 ครั้ง เพื่อนำมาสร้างสรรค์ผลงานที่ต้องการยืนยันถึงการมีอยู่จริงของพระพุทธเจ้ากับพระสาวกทั้งหลาย และยืนยันว่าบุคคลเหล่านี้เป็น “บุคคลในประวัติศาสตร์โลก ไม่ใช่ในตำนาน”
ขณะที่นิทรรศการศิลปะครั้งสำคัญ ที่ จ. เชียงใหม่ ซึ่งต้องการร่วมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 โดยได้รับการช่วยเหลือเป็นอย่างดีจาก นิรุตต์ ศิริจรรยา สหายคนสำคัญของเขา ผู้มีความสนิมสนมกับผู้บริหารระดับสูงของ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นหนึ่งหลักฐานที่จะช่วยยืนยันถึงการมีอยู่จริงของ “คนดี”
“ตัวอย่างภาพที่ผมเขียนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อยู่ในเมล็ดข้าว เพราะผมต้องการที่จะสื่อว่า พระองค์เปรียบเหมือนข้าวที่เรากินเข้าไป มีคุณค่าต่อทั้งร่างกายและจิตใจของพวกเราตลอดเวลา”
ชูศักดิ์กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชมทั่วไป หรือ ศิลปินรุ่นใหม่ที่ต้องการเรียนรู้สไตล์การสร้างสรรค์ผลงานของศิลปินคนหนึ่ง ก็ล้วนแต่ได้รับประโยชน์จากการชมงานศิลปะในนิทรรศการครั้งนี้ทั้งสิ้น
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พวกเราเคยเห็นผ่านภาพถ่ายและสื่อต่างๆ เราเห็นกันจนเจนตาอยู่แล้ว แต่ในนิทรรศการครั้งนี้ ผมนำเอาพระอิริยาบถทั้งหลายของพระองค์ท่าน ที่ผมมีความประทับใจเป็นการส่วนตัว มาถ่ายทอดผ่านงานศิลปะในสไตล์ของตัวเอง เพื่อให้ผู้ชมได้สัมผัสถึงความแตกต่าง
ถ้าเป็นคนทำงานศิลปะก็จะดูออก ว่าผมมีวิธีการในการนำเสนออย่างไร สิ่งหนึ่งที่ผลงานศิลปะในครั้งนี้ของผมมีความแตกต่างจากศิลปินคนอื่นๆ คือในส่วนแบรคกราวน์ของภาพ ที่ผมใช้สัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อเปรียบพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าเปรียบเหมือนท้องฟ้า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ที่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์กับมนุษย์ และประเทศของเรา
หลายคนตั้งคำถามว่า ทำไมภาพของผมถึงมีเทวดาอยู่ทุกภาพ ซึ่งนอกจากจะเป็นรูปแบบหนึ่งที่ผมได้รับอิทธิพลมาจากงานจิตรกรรมไทย แล้วเอามาผสมผสานกับงานศิลปะร่วมสมัย ผมยังมีความเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ไม่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่แห่งใด ทุกที่ล้วนมีเทวดาคุ้มครอง เพราะพระองค์ไม่ใช่คนธรรมดา
ผมถือว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้เป็นพระโพธิสัตว์ ที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรบารมีมาเรียบร้อยแล้ว และมาภพนี้เพื่อสั่งสมบุญบารมีเท่านั้น เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากไป”
>>ทำได้ทุกสิ่ง ขอเพียงมีความเพียรอันบริสุทธิ์<<
จากจุดเริ่มต้นจนถึงปลายทาง ชูศักดิ์กล่าวว่า สิ่งที่ตนเองได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะชุดนี้ ในตลอดระยะเวลา 4 ปี ก็คือ
“สิ่งแรก ผมได้เรียนรู้เป็นอย่างมากเรื่องความเพียร เหมือนในพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จนทำให้ผมเชื่อว่า คนเราถ้ามีความเพียรที่บริสุทธิ์แล้วเนี่ย ทำได้ทุกอย่าง และถึงแม้จะตายไปก็ไม่เป็นหนี้ต่อเทวดา ต่อญาติพี่น้อง และไม่เป็นหนี้ต่อแผ่นดิน เหมือนเช่นที่พระมหาชนกล่าวเอาไว้
ดังนั้นผลงานทั้งหมดทุกชิ้นที่ผมทำขึ้นมา จึงสำเร็จได้ด้วยความเพียร และสิ่งที่สองคือ ผมได้รับศรัทธาที่แน่วแน่ รวมถึงความเชื่อมั่น ในสิ่งที่เราทำ ว่ามันคือสิ่งที่ถูกต้อง
การทำงานศิลปะมันอยู่ในสายเลือดของเราอยู่แล้ว จะทำเมื่อไหร่ก็ทำได้ แต่ที่ทำแล้วทำได้ต่อเนื่องและยาวนาน ไม่เบื่อหน่ายและทำอย่างมุ่งมั่น ผมคิดว่าผมได้จากการทำงานศิลปะชุดนี้”
ผลงานศิลปะจำนวน 85 ชิ้น ที่เกินจำนวนปี 84 พรรษา มา 1 ชิ้น นัยที่ชูศักดิ์ต้องการสื่อคือ เป็นสัญลักษณ์แทนการถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ทรงพระเจริญ”
ไม่แตกต่างจากความเชื่อของใครหลายๆคน ที่ต้องการอวยพรให้ตัวเองอายุยืนด้วยการปักเทียนบนเค้กวันเกิด ในจำนวนที่เกินไปจากอายุจริง จำนวน 1 เล่ม
>>พระเจ้าแผ่นดิน<< ชูศักดิ์ให้ชื่อนิทรรศการชุดนี้ว่า “พระเจ้าแผ่นดิน” เพื่อเป็นการย้ำเตือนให้ประชาชนชาวไทยทุกคน ไม่หลงลืม “พ่อของแผ่นดิน”
“เมื่อได้ฟังคำนี้ ในความรู้สึกของคนอื่นอาจจะแตกต่าง แต่ในความรู้สึกของผม พระเจ้าแผ่นดิน คือ ท่านเป็นเจ้าของแผ่นดิน เป็นผู้รักษาแผ่นดิน เป็นผู้ให้แผ่นดิน ผมต้องการจะตอกย้ำว่า ถ้าคนไทยรู้ประวัติศาสตร์ของตน ย่อมสำนึกในบุญคุณแผ่นดิน และบุญคุณของพระเจ้าแผ่นดิน
ผมต้องการให้คนไทย ไม่ลืมพระเจ้าแผ่นดิน คำว่าพระเจ้าแผ่นดิน มันยิ่งใหญ่มาก เราลองนึกไปถึงอดีตสิครับว่า พระเจ้าแผ่นดินของเราแต่ละพระองค์ ที่ดูแลแผ่นดินมา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เวลาที่เราดูหนัง เราเห็นพระองค์ถือหอก ถือดาบ ขี่ม้า ขึ้นช้าง เอาร่างกายเข้าสู้รบ ต่อสู้กับศัตรู เรียกว่าเอาชีวิตเข้าแลก พระองค์ทำเพื่ออะไร ก็เพื่อต้องการรักษาแผ่นดิน ปกป้องแผ่นดิน
ปกป้องไว้ให้ใครครับ เพราะปัจจุบันนี้พระองค์ก็ไม่ได้อยู่แล้ว ปกป้องไว้ให้พวกเราไง แผ่นดินจึงตกมาเป็นของเราในปัจจุบันนี้ นั่นคือ พระเจ้าแผ่นดิน ในคำนิยามของผม
พอมาถึง พระเจ้าแผ่นดิน พระองค์นี้ ผมว่าพระองค์ก็กำลังรักษาแผ่นดินอย่างสุดชีวิตเช่นกัน นับแต่วันที่เริ่มขึ้นครองราชย์ รักษาอย่างไรรู้ไหมฮะ ไม่ได้ถือหอก ถือดาบ หรือถือโล่ห์ ออกไปวิ่งชนกับข้าศึกเหมือนกับพระนเรศวร
แต่พระองค์ทรงหนีบแผนที่ คล้องกล้องถ่ายรูป พระหัตถ์ถือดินสอ เสด็จพระราชดำเนินไปทุกหนทุกแห่ง ทั้งกลางแดด กลางฝน ทั่วทุกที่ของประเทศ เพื่อดูแลแผ่นดินไว้ให้กับประชาชนนั่นเอง เมื่อถึงเวลาที่พระองค์ท่านต้องจากไป แผ่นดินนี้ ก็จะยังคงอยู่กับพวกเรา และลูกหลานเรา ไปโดยตลอด ผมจึงให้ชื่องานชุดนี้ว่า พระเจ้าแผ่นดิน”
และเพราะมี พระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ชูศักดิ์จึงมีพลังในการใช้ชีวิตและมุ่งมั่นทำงานตามหน้าที่ของตนอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
“สมัยเด็กๆ ผมก็มองพระเจ้าแผ่นดินเหมือนกับที่คนอื่นมองเข้าไป แต่หลังจากที่เรามีปัญญา มีความรู้ ผมมองว่า พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี สำหรับให้คนไทยได้ประพฤติตาม
ทรงเป็นต้นแบบของคนดีในพอศอนี้ที่เรามองเห็น ตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์จนถึงปัจจุบัน พวกเรามองไม่เห็นความบกพร่องตรงไหนของพระองค์เลย ทั้งที่งานของแผ่นดิน และปัญหาส่วนพระองค์มีเยอะแยะมากมาย แต่พระองค์ไม่เคยย่อท้อ
แผ่นดินในสมัยของพระองค์นี้ เปลี่ยนผู้บริหารมาไม่รู้กี่นายกรัฐมนตรี แต่พระองค์ก็อยู่มาได้ตลอด เพราะว่าพระองค์ยึดหลักของความปรองดอง ทรงเป็นพ่อของแผ่นดิน ทรงรักประชาชนทุกคนเหมือนกับลูก เราทุกคนจึงควรยึดพระองค์เป็นต้นแบบของการดำเนินชีวิต”
>>ลูกที่ไม่หนักแผ่นดิน<<
สิ่งที่ศิลปินอาวุโสผู้นี้ อยากเห็นคนไทยทุกคน ปฏิบัติตน ให้เป็นลูกที่ไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเกิดมา “หนักแผ่นดิน” ในยุคสมัยของ “พระเจ้าแผ่นดิน” พระองค์นี้ ก็คือ
“ในฐานะที่ผมก็อายุขนาดนี้แล้วนะ ผมเห็นว่าลูกไทย หลานไทย โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดบนแผ่นดินไทย ผมอยากให้ทุกคน กลับไปมอง ไปศึกษาประวัติศาสตร์ของตนเอง
เพราะถ้าหากพวกเขาไม่รู้ประวัติศาสตร์ชาติของตนเอง ก็เท่ากับเขาเป็นคนที่น่าสงสาร เหมือนเด็กกำพร้าที่ไม่รู้จักที่มาของตระกูลตนเองแล้วก็จะเดินทางผิดพลาดไปตลอด เพราะฉนั้นขอให้ทุกคนไปศึกษาประวัติศาสตร์ แล้วทุกคนจะเข้าใจ และรักพระเจ้าแผ่นดิน”
>>นิทรรศการจิตรกรรมเฉลิมพระเกียรติ ชุด “พระเจ้าแผ่นดิน” ศิลปะเพื่อปวงชนชาวไทย โดย ชูศักดิ์ วิษณุคํารณ จัดแสดงระหว่างวันที่ 1-11 ธันวาคม พ.ศ.2554
ส่วนหนึ่งของงาน วันเกษตรแม่โจ้ ประจำปี 2554 ณ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ต.หนองหาร อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ (เปิดนิทรรศการ วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2554 เวลา 10.00 น. ) สอบถาม โทร.053-873971-2 และ 053-873046<<
Text by ฮักก้า
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ และ Celeb Online www.astvmanager.com โทร.0 -2629 – 4488 ต่อ 1530 Email: thinksea@hotmail.com
>> อัปเดตข่าวในแวดวง สังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม ศิลปะ และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net
Comments are closed.